การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา พร้อมกับมีศรัทธาเลื่อมใสและมีใจเป็นสัมมาทิฐิน้อมนำเอาพระพุทธศาสนามาเป็นศาสนาชีวิตประจำวันของตน ถือว่าเป็นโชคอย่างมหาศาลหาใดเปรียบปาน และเป็นลาภอย่างประเสริฐสุด เป็นบรมลาภเลยทีเดียว
เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารแล้วมีโอกาสเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแต่ละชาติ ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่เกิดได้ยากเย็นแสนเข็ญ ความรู้หนึ่งที่เราควรรู้ คือ เรื่องมหาวิบัติ ซึ่งเป็นความฉิบหายของสัตว์โลกอย่างใหญ่หลวง เพื่อจะได้ตระหนักว่า เป็นโชคลาภเพียงใด ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
มหาวิบัติ
ขึ้นชื่อว่าความวิบัติทั้งหลายที่มนุษย์เราต้องประสบกันอยู่เสมอในโลกนี้ ความวิบัติอื่นใดก็จงยกไว้ก่อนเถิด เพราะมิสู้จะสำคัญ แต่ความวิบัติหนึ่งนั้น เป็นความวิบัติอย่างใหญ่หลวงของสามัญสัตว์ ซึ่งจัดว่าเป็นยอดแห่งความวิบัติจริงๆ มีอยู่ ๖ ประการ คือ ๑.กาลวิบัติ ๒.คติวิบัติ ๓.ประเทศวิบัติ ๔.ตระกูลวิบัติ ๕.อุปธิวิบัติ ๖.ทิฐิวิบัติ
๑. "กาลวิบัติ"
เมื่อโลกหรือเอกภพนี้ ไร้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไร้กัลยาณมิตรที่แท้จริง แม้ได้เกิดเป็นมนุษย์ก็สูญเปล่า เพราะไร้คำสั่งสอนเพื่อความพ้นทุกข์ ใน "ภัทรกัป" มหากัปอันเจริญยิ่งยวด ที่เราโชคดีสูงสุดได้มาเกิดนี้ มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ ๕ พระองค์ และขณะนี้ก็ยังอยู่ในพุทธันดรสมัย ของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้ เราจึงไม่ควรประมาท "เสียชาติเกิด" ปล่อยให้โอกาสในการเข้าถึงมรรคผลนิพพาน โดยเร็วพลัน ในชาติปัจจุบันนี้ หลุดลอยไป ลองคิดดูว่า ถ้าหากโชคร้าย ที่แม้เราจะได้เกิดในภัทรกัป แต่ดันมาเกิดในช่วงระหว่าง ที่ว่างเว้นจากแสงสว่างแห่งพระบวรพุทธศาสนา ก็ชัวร์ได้เลยว่า เสียชาติเกิดแหง๋มๆ ยิ่งไปเกิดใน "สูญญกัป" หรือ "สูญญอสงไขย" คือกัป หรือมหากัป และอสงไขย ที่ว่างเปล่า ไร้พระพุทธเจ้ามาอุบัติแม้แต่พระองค์เดียว ก็ต้องบอกว่า "ชิ-หาย-แล้ว" สถานเดียว เพราะดันเกิดผิดเวลา ไม่มีทางที่จะพ้นไปจากกองทุกข์ได้ หนทางพ้นทุกข์มืดมน มีโอกาสพลาดพลั้ง ก่อกรรมทำเข็ญ ให้ต่ำตมลงไปสู่อบายภูมิมากมาย จึงเป็นมหาวิบัติ "โคตรแห่งความฉิบหาย" ประการที่หนึ่ง
๒. "คติวิบัติ"
แม้ในกาลนั้น มีพระพุทธเจ้าบังเกิด มีพระมหาสาวก มีพระอรหันต์และพระอริยบุคคลมากมาย มีมรรค ผล นิพพาน ความพ้นทุกข์แท้จริง ปรากฏแก่ผู้ปฏิบัติตามซื่อตรง แต่เราดันมีคติ คือเกิดในฐานะซึ่งไม่สามารถบรรลุธรรมหรือเข้าใจธรรมได้ เช่น เกิดเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือเป็นสัตว์นรก เป็น "อสัญญีสัตว์" คือพรหมลูกฟัก ที่มีแต่กายแต่ไม่มีจิต (แช่แข็ง ตรึงจิตไว้ไม่รับรู้ใดๆ ด้วยเห็นผิดว่า เพราะมีจิต จึงเป็นเหตุให้มีทุกข์) หรือเกิดเป็น "อรูปพรหม" (ไม่มีตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย ในการได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสสิ่งกระทบกาย จึงไม่สามารถเข้าเฝ้า ฟังธรรม หรือถามปัญหาพระพุทธเจ้าได้) เฉกเช่น อาฬารดาบส และอุทกดาบส ที่เมื่อแรกตรัสรู้ พระพุทธเจ้าตั้งใจจะโปรด แต่ก็ทราบโดยพระญาณว่าเสียชีวิต แล้วไปอยู่ในคติที่โปรดไม่ได้ จนถึงกับทรงเปล่งอุทานว่า "โอ้อาจารย์เรา ฉิบหายเสียแล้ว" นี้จึงเป็นมหาวิบัติ "โคตรแห่งความฉิบหาย" ประการที่สอง
๓. "ประเทศวิบัติ"
แม้ในยุคที่มีพระพุทธเจ้าบังเกิด พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ แถมตัวเราเองยังได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่ดันไปเกิดในดินแดนประเทศ ที่พระธรรมคำสอนเข้าไปไม่ถึง หรือเป็นประเทศที่มีศาสนาอื่นครอบครอง ปิดหูปิดตา ปิดกั้นให้เราต่ำตม ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เข้าถึงพุทธธรรม ยิ่งในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งคนโง่มากกว่าคนฉลาด คนดีน้อยกว่าคนชั่ว คนบาปหนามากกว่าคนมีบุญ คนรักความรุนแรงมากกว่าคนรักสันติ ชาวพุทธจึงมักจะเป็นคนกลุ่มน้อยเสมอ เป็นกลุ่มคนซึ่งรักสงบ ไม่เบียดเบียนใครก่อน จากครั้งพุทธกาล ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ เผยแผ่พระธรรมอยู่ ๔๕ พรรษา ในแถบอินเดียตอนเหนือ แล้วแผ่ขยายออกไป แต่ภายหลัง ก็ถูกเบียดเบียนจากลัทธิศาสนาอื่น จนเสื่อมสูญสิ้นไปเป็นส่วนมาก ที่เหลือและบริสุทธิ์อยู่ก็มีเป็นเพียงส่วนน้อย หากเรามี "ประเทศวิบัติ" เกิดผิดประเทศ ไม่มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา ก็ชื่อว่า "เสียชาติเกิด" นี่เป็นมหาวิบัติ "โคตรแห่งความฉิบหาย" ประการที่สาม
๔. "ตระกูลวิบัติ"
เกิดมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ในยุคที่พระพุทธเจ้ามาบังเกิด พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ แถมตัวเราเองก็เกิดในประเทศ ที่พุทธธรรมคำสอนที่แท้จริงยังประดิษฐานตั้งมั่น แต่ดันไปเกิดผิดวงศ์ผิดตระกูล ผิดครอบครัว แม้จะสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่เป็นวงศ์ตระกูลของหมู่ชนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ปิดหูปิดตา ปฏิเสธ หรือเดินสวนทางกับพระธรรม จึงทำให้ตนพลาดโอกาส จากการได้เข้ามาศึกษาพระธรรมคำสอน ในพระบวรพุทธศาสนา ชีวิตจึงจมปลักไร้แก่นสาร สร้างเหตุทุกข์บ้างสุขบ้าง งมงายไปด้วยความมืดบอด สูญเสียโอกาสในการปิดอบาย เข้าถึงมรรคผลนิพพาน ในชาติปัจจุบันโดยเร็วพลันไปอย่างน่าเสียดาย แม้บังเอิญมีโชค ได้มาศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนา แต่ก็ยากสาหัสที่จะเปลี่ยนเข้ามานับถือ ด้วยถูกปิดกั้นด้วยข้อบังคับและการลงทัณฑ์ในศาสนาเดิม อันเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายนั้นแล นี่ก็ถือว่า "เสียชาติเกิด" เป็นมหาวิบัติ "โคตรแห่งความฉิบหาย" ประการที่สี่
๕. "อุปธิวิบัติ"
หมายถึง แม้จะมีพระพุทธเจ้ามาบังเกิด พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ เกิดในประเทศอันเป็นที่ตั้งแห่งพุทธธรรมคำสอน ในหมู่ชน วงศ์ตระกูล และครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่มีใจเป็นบุญเป็นกุศล แต่ดันมี "ร่างกาย จิตใจไม่สมบูรณ์" อันเป็นมาแต่กำเนิด ด้วยอำนาจของกรรมเก่า เช่น บ้า ใบ้ หนวก บอด หรือ พิการทางสมอง หรือทางจิตใจ อันเป็นเหตุให้ไม่สามารถ ศึกษา ปฏิบัติ พระสัทธรรมได้ นับว่าเป็นความอาภัพไร้วาสนา ที่น่าเสียดายที่สุด นี่ก็ถือว่า "เสียชาติเกิด" เช่นกัน เป็นมหาวิบัติ "โคตรแห่งความฉิบหาย" ประการที่ห้า แต่ในกรณีนี้ ไม่รวมไปถึงคนที่พิการ เพราะประสบอุบัติเหตุ ถูกทำร้าย หรือป่วยไข้เพราะโรคภัยไข้เจ็บ แต่จิตใจก็ยังสมบูรณ์บริบูรณ์ดีอยู่
๖. "ทิฏฐิวิบัติ"
หมายถึง เกิดมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในยุคที่พระพุทธเจ้ามาบังเกิด พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ ในประเทศที่พุทธธรรมคำสอนแท้จริงยังคงประดิษฐานตั้งมั่น ในหมู่ชน วงศ์ตระกูล และครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่มีใจเป็นบุญเป็นกุศล มีศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนา แต่ตนเองกลับไพล่ไปคบหากับเหล่าพาลชน ที่มีความเห็นผิด เป็น "มิจฉาทิฏฐิ" เช่น เชื่อว่ากรรมและผลของกรรมไม่มี ตายแล้วสูญ หรือว่ามีเชื่อว่ามีพระเจ้าเป็นผู้กำหนดชี้ชะตาชีวิต และทดสอบความจงรักภักดี ทำอะไรก็ไม่บาป เพราะพระเจ้าจะคอยไถ่บาปให้ แล้วจะได้กลับไปอยู่กับพระเจ้าในสรวงสวรรค์ แถมยังเป็นปฏิปักษ์กับพระพุทธศาสนา หาว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ที่มีคนแต่งขึ้น เพื่อแย่งชิงศาสนิกของพวกตน มรรค ผล นิพพานไม่มีจริงหรอก จะปฏิบัติไปทำไม ไม่มีผลดี เสียเวลาเสียโอกาสไปเปล่าๆ ฯลฯ สรุปว่า นี่คือที่สุดของการ "เสียชาติเกิด" เป็นยอดของมหาวิบัติ เป็น"โคตรของโคตร แห่งความฉิบหาย" ประการที่หก ที่เป็นประการสุดท้าย บอกได้แต่ว่า...วังเวง
------------------------------------
แก้ไข ปรับปรุงจาก
"สิ่งที่ชาวพุทธควรกลัว : มหาวิบัติ ๖"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น