31 มีนาคม 2563

การรักษาศีลและการสวดมนต์ป้องกันและรักษาโรคได้

ถ้าโยมมีศีลจิตโยมมีธรรม โรคที่เป็นกาฬโรคก็ดี อหิวาตกโรคก็ดี เรียกว่าไม่สามารถที่จะเข้ามาให้โทษให้คุณได้กับผู้ที่มีศีล
เพราะศีลนี้มันจะป้องกัน หรือเรียกว่ามีภูมิป้องกันโรค หากโยมไม่มีกรรมที่ไปเกี่ยวข้อง แม้โยมจะโดนหรือรับเชื้อมาก็ตาม..แต่ร่างกายสังขารมีภูมิต้านทานโรค มันก็สามารถจะผลักดันป้องกันได้
.
แต่ถ้าโยมนั้นมีกรรมที่จะต้องรับ..ติดเชื้อในโรคระบาดนี้ แม้โยมจะไปอยู่ที่ไหน อยู่ในห้องที่มีอะไรป้องกันที่ว่าปลอดภัยก็ดี ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากภัยจากโรคระบาดนี้ไปได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
.
มันไม่ได้เป็นเฉพาะบุคคล เค้าเรียกว่ามันเป็นทั้งโลก แล้วการที่เราเจริญศีลเจริญภาวนาจิตนี้ เมื่อเราปรับสมดุลแห่งธาตุและเลือดก็ดี..ให้มันสามารถมีภูมิต้านทานในสิ่งที่ดี นั้นโรคหรือสิ่งที่ไม่ดี..เมื่อเราปรับจิตมันดี ร่างกายสังขารธาตุเราก็ดีแล้ว ไอ้สิ่งที่ไม่ดีมันจะเข้ามา..มันก็จะถูกผลักออกไป นั่นก็หมายถึงมันต้องมีแต่สิ่งที่ดีๆเข้ามา เข้าใจมั้ยจ๊ะ หรือเมื่อเรามีสิ่งที่ไม่ดี เมื่อมันมีสิ่งที่ไม่ดีมันก็จะดึงดูดกับสิ่งนั้น
.
นั้นการใช้ชีวิตก็อย่าได้วิตก อย่าได้ประมาท เมื่อเรากลัวจนเกินไปนั้นมันก็จะขาดสติได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไอ้เรื่องโรคระบาดนี้มันยังไม่ได้จบเท่านี้ เดี๋ยวมันจะมีโรคอื่นมาอีก มันเป็นยุคของโรคที่มันจะระบาด..เรียกว่ามันถึงเวลา เพราะมันเพาะเชื้อมานานแล้ว มันก็เป็นภัยอย่างหนึ่ง
.
แต่นี่โยมถือศีลภาวนาสวดมนต์อธิษฐานจิตแผ่เมตตากันอยู่อย่างนี้ มันก็จะเป็นพลังต้านทานกับสิ่งเหล่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วการที่โยมสาธยายมนต์ ก็จะมีเทพเทวดาท้าวจตุโลกบาลก็ดีเสด็จมารับสดับฟังธรรม พวกมารก็ดีพวกภูติผีปีศาจที่จะเอาโรคห่าโรคอะไรมาก็ดี เมื่อเทพเทวดาเค้ามาสถิตมาชุมนุม ณ ที่แห่งนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ต้องอันตรธานหายไป หลีกหนีหลบหนีไป เหมือนครั้งหนึ่งที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสด็จไป ก็จะมีเทพเทวดาเสด็จตามมาสถิตมารับเสด็จ..
.
แต่ในยุคนี้แล้วแม้ไม่มีองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ในขณะใดที่โยมสาธยายมนต์ก็ดี จิตเรานอบน้อมในพระรัตนตรัยทำการนมัสการ เมื่อเราตั้งนะโมก็ดี ก็คำสวดนั้นก็จะเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน เทพเทวดาทั้งหลายได้ยินได้สดับแล้วด้วยญาณด้วยจิตวิถีก็จะเสด็จเข้ามาน้อมทำอัญชลี กราบนมัสการบังคมต่อบทคำสวดนั้น ก็จะเป็นชื่อเป็นมงคลกับสถานที่แห่งนั้น ก็จะทำให้ที่แห่งนั้นสะอาดสว่าง
.
นั้นหมายถึงว่าสถานที่ใดมีการชุมนุมแห่งบุคคลที่มีการเจริญศีล เจริญภาวนา เจริญมนต์ สถานที่นั้นย่อมเป็นที่กำจัดโรคไปในตัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วการสวดมนต์นี้เป็นการขับไล่สิ่งอัปมงคล ภูติผีปีศาจชั่วร้ายที่สิงสู่ก็ดีก็จะอันตรธานหายไป แม้โรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ อำนาจแห่งการสวดมนต์ย่อมขับพิษไข้ ขจัดปัดเป่าให้บรรเทาไม่มากก็น้อย..หากไม่เกินวิสัยแห่งกรรม
.
ดังนั้นไอ้โรคระบาดเหล่านี้ที่มันเกิดขึ้น หากว่าไม่มีใครมีวิบากมีกรรมที่ไปพัวพันด้วย..ก็ไม่สามารถจะรับกรรมนั้นได้ แม้จะติดเชื้อมาก็ดีก็จะมีภูมิต้านทาน ไม่ทำให้ถึงกับชีวิต แต่ผู้ที่มีกรรมภูมิต้านทานนั้นที่อ่อนแอ เมื่อรับเชื้อเหล่านี้เข้าไปแล้ว..ก็เรียกว่ามันก็มีกรรมเพิ่มเป็นสองเท่า
.
นี้โรคระบาดเหล่านี้ก็เรียกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างหนึ่ง ที่ตามหาคู่เวรคู่พยาบาทคู่อาฆาต ดังนั้นเมื่อเราสวดมนต์ภาวนาเจริญเมตตาจิต จนจิตเรานั้นเกิดความสงบตั้งมั่นแล้ว เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เมื่อเราภาวนาจิตเกิดปัญญา เจริญเมตตาคือการอภัยทานแล้ว ไม่มีความอาฆาตพยาบาทกับใคร จิตเรานี้เมื่อไม่มีเวรพยาบาท เค้าเรียกว่าอกุศลกรรมก็ดีเมื่อไม่เกิดขึ้นในจิตแล้ว ดวงจิตดวงวิญญาณเหล่าใดก็ตามที่จะพยาบาทเรานั้น ที่จะมาให้ผลมากระทำมาจองเวรมาอาฆาตก็ดี ณ ขณะนั้น กระแสแห่งพระรัตนตรัยก็ดีในบุญกุศลก็ดีในขณะนั้นมันยังปกปักรักษาเราอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
.
เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆ มันก็ห่างไกลจากสิ่งเหล่านั้น เมื่อจิตเรานั้นให้อภัยอยู่บ่อยๆ มันก็จะห่างไกลจากสิ่งเหล่านั้น แต่การให้อภัยทานก็ดี..แม้เราจะให้อภัยทานใครก็ตามร้อยหนสักกี่หนพันหนก็ตาม มันก็ยังสู้ธรรมทานไม่ได้ เพราะการให้อภัยทานนี้แม้เราให้อภัยทานเค้าไปแล้ว ถ้าเค้ายังมีการสร้างเวรสร้างพยาบาทอีก เค้าก็ไม่รอดพ้นจากคมหอกคมดาบหรือทุกข์ภัยได้
.
แต่การให้ธรรมทาน..หากเราให้สติเค้าได้ ให้ปัญญาเค้าได้ เค้าจะได้คุ้มครองเอาตัวรอดได้ แต่การให้อภัยทานของเรานั้นเป็นการไม่สร้างเวรสร้างพยาบาท แต่เค้านั้นจะไปสร้างเวรสร้างพยาบาทกับใคร อันนั้นก็เพราะวิบากกรรมของเค้า นั้นไม่ว่าใครจะทำให้เรานั้นเจ็บช้ำน้ำใจ หรือมีความผูกโกรธอาฆาตพยาบาท แต่ถ้าเราไม่พยาบาทตอบ..กรรมนั้นก็ไม่อยู่ที่เราแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
.
เมื่อกรรมนั้นไม่อยู่ที่เราแล้ว เรานั้นก็ไม่มีเวรมีกรรมกับเค้า แสดงว่าถ้าเค้านั้นยังจองเวรอยู่ แสดงว่าเค้านั่นแหล่ะเป็นผู้มีกรรม เป็นผู้ที่รับผลแห่งกรรม เป็นผู้ต้องเสวยกรรม ความทุกข์จะอยู่กับผู้ใดเล่าถ้าเป็นอย่างนั้น ก็อยู่กับผู้ที่มีเวรมีพยาบาทมีกรรม เมื่อผู้ที่ไม่มีเวรพยาบาทแล้ว เค้าจะมีกรรมได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่มีค่ะ) เมื่อไม่มีแม้เค้าจะอยู่ใกล้กับคนแบบนั้น เมื่อเค้าไม่เอาความทุกข์ไม่เอาพยาบาทแล้ว เค้าอภัยแล้ว เค้าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ล่ะจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นสุขค่ะ)
.
ไอ้พวกโรคภัยไข้เจ็บก็เหมือนกัน แม้เราจะอยู่ใกล้ก็ดี แต่เรานั้นไม่มีกรรมร่วมก็ดี ก็จะหลีกหนีกันไปได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไอ้เรื่องหนีความตาย ถ้าโยมจะไปหลีกหนีความตาย ความเจ็บไข้ ความป่วยไข้..มันก็หนีกันไม่ได้ เมื่อถึงเวลาถึงที่ที่ไหนก็ตามมันก็ต้องตาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

.
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
เพจ : ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...