ทีนี้ก็มาว่ากันถึงการตัดสังโยชน์
การตัดกิเลสจริงๆ นี่
บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง
ตามที่พระสารีบุตรท่านแนะนำพระ
เมื่อพระไปเรียนกรรมฐานจากพระพุทธเจ้า
แล้วก็ลาพระพุทธเจ้าจะเข้าไปปฏิบัติกรรมฐานในป่า
สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบว่า
ถ้าพระพวกนี้ไปลาพระสารีบุตร
พระสารีบุตรจะแนะนำอะไร
ดังนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร จึงได้ตรัสถามว่า
พวกเธอจะเข้าไปในป่านี่นะ
เธอลาพระสารีบุตรแล้วหรือยัง
พระทั้งหลายเหล่านั้นก็กราบทูลว่า
ยัง พระพุทธเจ้าข้า
สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสว่า
ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถ้าอย่างนั้นพวกเธอทั้งหลายจงไปลาพระสารีบุตรก่อน
พระเหล่านั้นลาองค์สมเด็จพระพุทธชินวรแล้วก็มาหาพระสารีบุตร
เมื่อมาถึง พระสารีบุตรก็คุยกันตามปกติ
ตามแนะนำที่ผู้ใหญ่สอนเด็ก
คือคนเก่าสอนคนใหม่ พี่สอนน้อง ตามลีลาต่างๆ
เพราะว่าท่านเป็นพระอรหันต์
การที่คำแนะนำของพระอรหันต์นี้ไม่มีการผิด
ถ้าผิดแล้วท่านเป็นพระอรหันต์ไม่ได้
ถ้ารวมความว่าพระอรหันต์นี่ก็หมดชั่ว
เมื่อหมดชั่วก็ไม่นำเอาความชั่วเข้ามาแนะนำน้อง ก็มีทางดี
เมื่อคุยกันไปคุยกันมา
บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นก็ถามพระสารีบุตรว่า
ในเวลานี้ผมเป็นปุถุชน คนหนาแน่นไปด้วยกิเลส
ถ้าต้องการจะปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์
เพื่อให้เป็นพระโสดาบันจะทำอย่างไรครับ?
พระสารีบุตรก็บอกว่า
เธอทั้งหลายจงพิจารณาร่างกายคือขันธ์ 5
ที่เรียกว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
แต่ว่าถ้าว่าขันธ์ 5
อาตมาจะใช้คำว่า ร่างกายอย่างเดียว
เห็นร่างกายก็คือเห็นขันธ์ 5
จะไปยุ่ง จะไปนั่งเถียงกัน
เดี๋ยววิญญาณกับจิตมีสภาพเหมือนกันมั้ย
เดี๋ยวก็ตีกันตาย
นั่นมันเป็นเรื่องของ
ผู้ที่ได้เจโตปริยญาณหรือทิพจักขุญาณ เขาทราบ
ถ้าไม่ได้ ก็ว่าเปะปะไปตามเรื่องเป็นของธรรมดา
พระสารีบุตร ก็บอกว่า
ขอให้เธอพิจารณาว่าร่างกายนี้
มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
พอตัดอารมณ์นี้ได้เบาๆ เธอก็ได้เป็นพระโสดาบัน
พระทั้งหลายพวกนั้นก็ถามว่า
ถ้าผมจะเป็นพระสกิทาคามีล่ะ ผมจะทำยังไงครับ?
พระสารีบุตรก็บอกว่า
จับตัวนั้นแหละ พิจารณาทั้งร่างกายว่า
มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราแบบนี้
ถ้าจิตตัดกิเลสก็ละเอียดลงไปอีกนิดหนึ่ง
กิเลสสึกหรอไปหน่อยหนึ่ง
เริ่มมีความเฉื่อยชาในอารมณ์ต่างๆ
มีความโลภ โกรธ หลงเป็นต้น เฉื่อยลง
อย่างนี้จิตใจของเธอก็เข้าถึง พระสกิทาคามี
พระพวกนั้นก็ถามว่า
ในเมื่อผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว
ผมต้องการเป็นพระอนาคามีเป็นยังไง?
พระสารีบุตรก็บอกว่า
เอาอย่างนั้นแหละ อย่าขอซ้ำเลยนะ
ถ้ากำลังใจของเธอเกิดนิพพิทาญาณ
เมื่อร่างกายนี้เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก
แล้วก็น่าเบื่อหน่าย
ไม่มีความปรารถนา
แล้วมันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราด้วย แสนสกปรก
ด้วยกำลังใจช่วยรู้สึกว่า
อนิจจังมันไม่เที่ยง เลวด้วยเป็นทุกข์ด้วย
อนัตตาในที่สุดก็สลายตัว
อาการอย่างนี้เกิดขึ้น
แล้วก็ตัดทุกขัง จิตใจที่เป็นปฏิฆะ คือ
ความไม่ชอบใจ ไม่มี
ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา
เป็นกฎของกรรมอย่างนี้
เธอก็เป็น พระอนาคามี
พระทั้งหลายก็ถามอีกทีว่า
ถ้าผมอยากเป็นอรหันต์ละครับ?
เธอก็พิจารณาว่าร่างกายนี้
มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
ถึงขั้นที่สุด
จิตหยุดจากความต้องการในร่างกาย
จิตหยุดจากความต้องการในมนุษย์โลก
เทวโลก และพรหมโลก
ใจสบายทรงสังขารุเปกขาญาณ
อย่างนี้พวกท่านก็เป็น อรหันต์
พระพวกนั้นก็ยังไม่หยุดถาม ก็ถามว่า
ถ้าเป็นอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหมครับ
พระสารีบุตรบอกว่าไม่ใช่
พระอรหันต์ก็ต้องพิจารณาอย่างนี้เหมือนกัน
เพื่ออยู่ เพื่อความเป็นอยู่ เป็นสุข
นี่ก็รวมความว่า
การตัดสังโยชน์ 10 ประการนั้น
ท่านตัดตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิ
อย่างอื่นก็เป็นส่วนประกอบ
ถ้าตัดสักกายทิฏฐิที่มีความเห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา
เสียได้แล้ว สลายตัวไป
ใจไม่ติดอยู่ในร่างกายเรา
ไม่ติดอยู่ในร่างกายของบุคคลอื่น
ไม่ติดอยู่ในวัตถุธาตุใดๆ
เราก็เป็นพระอรหันต์
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น