แท้จริงแล้ว พระพุทธองค์ไม่เคยตรัสถึงบัวสี่เหล่า ตามที่คนส่วนหนึ่งเข้าใจ พระพุทธองค์ตรัสไว้เพียงสามเหล่าเท่านั้น บัวสี่เหล่านั้นอยู่ในชั้นของอรรถกถา อรรถกถาจารย์ได้ขยายความเป็นสี่เหล่า
.
@@@@@
.
บัวสามเหล่า (ตามโพธิราชกุมารสูตร)
.
ในพระไตรปิฏก พระพุทธองค์ทรงพิจารณาตามคำเชื้อเชิญของท้าวสหัมบดีพรหมที่เชิญให้พระองค์แสดงธรรม พระพุทธองค์จึงทรงพิจารณาตรวจสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ และทรงเห็นว่าสัตวโลกที่ยังสอนได้มีอยู่ (เรียกว่าเวไนยสัตว์) เปรียบด้วยดอกบัว 3 จำพวก ดังความต่อไปนี้
.
ครั้นอาตมภาพทราบว่า ท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนา และอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ.
.
เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่ง...
- มีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี
- มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี
- มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี
- จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี
.
บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ
.
1. บางเหล่ายังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้
2. บางเหล่า ตั้งอยู่เสมอน้ำ
3. บางเหล่า ตั้งขึ้นพ้นน้ำ น้ำไม่ติด ฉันใด
.
ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้น ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี
______________________
จาก : มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ทรงเปรียบบุคคลด้วยดอกบัว ๓ เหล่า
.
@@@@@
.
บุคคลสี่จำพวก (ตามอุคฆฏิตัญญุสูตร)
.
อุคฆฏิตัญญุสูตรและมโนรถปูรณีได้อธิบายบุคคล 4 จำพวก ไว้ดังนี้
.
1. อุคคฏิตัญญู พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
2. วิปจิตัญญู พวกที่มีสติปัญญาดี เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
.
3. เนยยะ พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
.
4. ปทปรมะ พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
.
สามจำพวกแรกเรียกว่า "เวไนยสัตว์" (ผู้แนะนำสั่งสอนได้) ส่วนปทปรมะเป็นอเวไนยสัตว์ (ผู้ไม่อาจแนะนำสั่งสอนได้)
.
@@@@@
.
บัวสี่เหล่า (ตามนัยสุมังคลวิลาสินี)
.
สุมังคลวิลาสินีระบุว่าพระพุทธเจ้าทรงเปรียบบุคคลเป็นดอกบัว 4 เหล่า โดยนำปทปรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอุคฆฏิตัญญุสูตร บุคคลวรรค อังคุตตรนิกาย มาเปรียบเป็นบัวเหล่าที่ 4 จึงได้เป็นแนวคิดดอกบัว 4 เหล่า ดังนี้
.
บุคคล ๔ จำพวก คือ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยย ปทปรมะ ก็เปรียบเหมือนดอกบัว ๔ เหล่านั้นแล.
.
ในบุคคล ๔ จำพวกนั้น
.
1. บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลาที่ท่านยกขึ้นแสดง ชื่ออุคฆฏิตัญญู.
.
2. บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกความแห่งคำย่อโดยพิสดาร ชื่อว่าวิปจิตัญญู.
.
3. บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับด้วยความพากเพียรท่องจำ ด้วยการไต่ถาม ด้วยทำไว้ในใจโดยแยบคาย ด้วยคบหาสมาคมกับกัลยาณมิตร ชื่อว่าเนยย.
.
4. บุคคลที่ไม่ตรัสรู้ธรรมได้ในชาตินั้น แม้เรียนมาก ทรงไว้มาก สอนเขามาก ชื่อว่าปทปรมะ.
_______________________
จาก : อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร ธมฺมเทสนาธิฏฺฐานวณฺณนา
................................................................................
ขอบคุณที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/บัวสี่เหล่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น