31 ตุลาคม 2564

เปรตงูเหลือม(โลภ) กับเปรตแม่เสือ(โกรธ)


ความโลภเป็นเหตุให้คนทำกรรมชั่ว
ครั้นตายแล้วก็เป็นเหตุแห่งการตกนรก 
พอพ้นนรกมาแล้วก็มาเป็นเปรต 
เฝ้าทรัพย์สมบัติอันหวงแหนของตน 
ที่เก็บเอาไว้ ฝังเอาไว้ เช่น
เปรตงูเหลือมนอนขดเฝ้าสมบัติมิได้ไปไหนมาไหน
ความโกรธทำให้คนเสียคน กลายเป็นคนชั่ว
เช่น ไปฆ่าคนเพื่อเอาทรพย์สมบัติ 
เพื่อผ่อนคลายโทสะของตน 
เผาบ้านเผาช่องบุคคลอื่น 
บางคนทำบุญทำทานกันใหญ่โตมโหฬาร 
แต่เสียเพราะความโกรธ ความมีโทสะ
ความโกรธไหม้กุศลผลบุญจนหมดสิ้น
เมื่อหมดบุญหมดกุศล บาปก็พลอยทวีคูณขึ้น
ผลทานก็หนี ผลศีลก็ไม่มี 
ผลภาวนาก็หนีเข้าป่าไปหมด 
ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเปรต แต่ไม่ใช่เปรตงูเหลือม 
แต่กลายเป็นเปรตเสือเพราะความโกรธ
ตัวเป็นคน ปากมีหนวดเหมือนเสือ 
ตีนมือเป็นเสือ เหมือนเสือจริงๆ
หลวงปู่เคยถามเขาว่า 
"ทำไมหรือคุณโยมจึงมาเป็นเสือ 
ทำบุญจนจะหมดตัวอยู่แล้ว?"
เปรตเสือ ตอบว่า 
"ดิฉันโกรธมาก เมื่อความโกรธมันขึ้นมาอยู่ที่หน้าตา 
ดิฉันมองไม่เห็นใครเลย ด่าพระด่าเจ้า
ด่าข้าทาสบริวาร ด่าลูกด่าหลาน ด่าผัวด่าลูก ด่าเชื้อด่าชาติ 
ของที่เราเคารพนับถือมีคุณค่าแต่เก่าก่อนยกขึ้นมาด่าจนหมดสิ้น 
เป็นเพราะความโกรธตัวเดียวทำให้ดิฉันหมดความดี
คือ อริยทรัพย์ ตายแล้วจึงเกิดมาเป็นเสือ
เสวยทุกขเวทนาเป็นเปรตเสืออยู่อย่างนี้แหละ"
เปรตแม่เสือกับเปรตงูเหลือมมันต่างกัน
คือ เปรตงูเหลือมมีทรัพย์เฝ้า ยังมีความสุข
และยินดีในทรัพย์สมบัติ แต่เปรตเสือไม่มีอะไรจะเฝ้า
เพราะความโกรธเผาหมด เผาทั้งหัวใจเปรตให้ร้อนดังไฟสุม

ที่มา
พระอาจารย์ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล 
อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

คุณธรรมมนุษย์ที่สมบูรณ์

  

มนุษยภูมิซึ่งทุก ๆ คนได้เกิดมานี้
ก็นับว่าเป็นภาวะที่สูงอยู่ขั้นหนึ่งแล้ว 
จึงได้มีปัญญารู้จักละอายต่อสิ่งที่ควรละอาย 
เกรงกลัวต่อสิ่งที่ควรเกรงกลัว
รู้จักดีชั่วผิดชอบ 
ทางพระพุทธศาสนายังแสดงว่า
เมื่อประกอบด้วยมนุษยธรรมอีกส่วนหนึ่ง 
เป็นต้นว่า ศีลธรรมอันควรที่มนุษย์ทั่วไปจะพึงมี 
จึงชื่อว่าเป็นมนุษย์โดยรูปกาย
และเป็นมนุษย์โดยคุณธรรมโดยสมบูรณ์

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

คาถาขอลาภสมเด็จโต

💢คาถาขอลาภสมเด็จโต 💢
ทำน้ำมนต์ อาบ ล้างหน้า พรหม จะเกิดโชคลาภ

ตั้งนะโมสามจบ จะสวดว่า 
ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง 
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา 
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ 
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ 

………………

ปุตตะกาโม ละเภ ปุตตัง ธะนะกาโม ละเภ ธะนัง 
อัตถิกาเย กายะญายะ เทวานัง ปิยะตัง สุตฺวา

คำแปลไทยและความหมาย
คนที่รู้จักดูแลรักษากายและจิตใจให้ดี
ทราบว่า ตนเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายแล้ว 
หากต้องการบุตรธิดา ควรได้บุตรธิดาสมใจ
หากต้องการทรัพย์ไซร้ ก็ควรได้ทรัพย์สมหวังดังมุ่งหมาย

อิติปิ โส ภะคะวา ยะมะราชาโน เวสสะวัณโณ 
มรณัง สุขัง อะระหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ

คำแปลไทยและความหมาย
แม้เพราะเหตุดังกล่าวไว้ในเบื้องต้นนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ผู้ห่างไกลจากกิเลส ตัดสิ้นเหตุแห่งสังสารวัฎ ควรค่าแก่อามิสบูชาและธรรมบูชา ตรัสไว้ดีแล้วว่า ยมทูตและยมราช มีจริง ท้าวเวสสุวัณ มี ความตาย มี ความสุข ก็มี
ดังนี้ ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมพระพุทธเจ้า.

จิตละเอียดขั้นปรามณู

#ท่านพ่อลี ธัมมธโร
🍀ให้เอาจิตมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องราวอื่นๆ ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ในลมหายใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องราวอื่นๆ 

ให้มีสัมปชัญญะอยู่ในลมเท่านั้น มันจะไม่ดี จะโง่ จะมืด จะหนาอย่างไรก็ช่างมัน มุ่งดูลมอย่างเดียวจนจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ 

🍀ต่อไปความรู้ก็จะผุดขึ้นในตัวของมันเอง ไม่ต้องไปนั่งคิดถึงว่าอะไรมันจะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความรู้เขาจะบอกเรื่องราวเหล่านี้แก่เราเองอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ไม่ใช่ความรู้ตามสัญญาที่ได้ยินเขาบอกเล่า แต่เป็นความรู้ซึ่งเกิดจากวิปัสสนาปัญญา

🍀จิตและลมของเรามีอยู่ถึง ๕ ขั้น

ขั้นที่ ๑ ลมหยาบที่สุดก็ได้แก่ลมที่เราหายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” อยู่ขณะนี้

ขั้นที่ ๒ ลมหายใจที่ผ่านลำคอเข้าไปแล้วเชื่อมต่อกับธาตุต่างๆ ภายในให้เกิดความสบายหรือไม่สบาย

ขั้นที่ ๓ ลมหยุดนิ่งอยู่กับที่หมด ไม่วิ่งไปมา ทุกๆ ส่วนในร่างกายที่เคยวิ่งขึ้นบนลงล่างก็หยุดวิ่ง ที่เคยไปข้างหน้ามาข้างหลังก็ไม่ไปไม่มา ที่เคยพัดในลำไส้ก็ไม่พัด ฯลฯ หยุดนิ่งสงบหมด

ขั้นที่ ๔ ลมที่ทำให้เกิดความเย็นและเกิดแสง

ขั้นที่ ๕ ลมละเอียดสุขุมมากจนเป็นปรมาณู แทรกแซงไปได้ทั่วโลก มีอำนาจ ความเร็วและแรงมาก

🍀รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี้ก็อยู่อย่างละ ๕ ขั้น เหมือน​ ๆ กัน เช่น เสียงหายไป​ ขั้นที่ ๑ ก็ได้แก่ เวลาที่พูดแล้วดับไป ขั้นที่ ๒ พูดแล้วยังดังอยู๋ถึง ๒-๓ นาที จึงจะดับ ขั้นที่ ๓ อยู่ได้นานมากแล้วจึงจะหายไป ขั้นที่ ๔ พูดแล้วได้ยินถึงพรหมโลก ยมโลก และขั้นที่ ๕ เป็นเสียงทิพย์ พูดแล้วได้ยินอยู่เสมอ พูด ๑๐๐ ครั้ง ก็มีอยู่ทั้ง ๑๐๐ ครั้ง เสียงไม่สูญไปจากโลก เพราะอำนาจแห่งความละเอียดจึงสามารถแทรกแซงอยู่ได้ทุกปรมาณูอากาศ

🍀ฉะนั้น ท่านจึงว่า รูป รส กลิ่น เสียง ไม่สูญไปจากโลก เพราะโลกนี้เปรียบเหมือนกับจานเสียงที่อัดอะไร​ๆไว้ได้ทุกอย่าง 

รูป รส กลิ่น เสียง หรือกรรมดี กรรมชั่วอันใดก็ดีที่เรากระทำไว้ในโลกมันย่อมจะย้อนกลับมาหาเราเมื่อตายทั้งหมด 

🍀เหตุนั้น ท่านจึงว่า “บุญ บาป” ไม่สูญหายไปไหน คงติดอยู่ในโลกนี้เสมอ จิตละเอียดที่สุดซึ่งเปรียบเหมือน “ปรมาณู” นั้น มีอำนาจความแรงเหมือนกับดินระเบิดที่จมลงในพื้นแผ่นดิน แล้วก็สามารถระเบิดทำลายมนุษย์ให้ย่อยยับพินาศไปได้ ฉันใด จิตละเอียดที่จมลงในลมก็สามารถระเบิดคนสัตว์ให้พินาศย่อยยับไปได้เช่นเดียวกัน 

🍀คือเมื่อจิตละเอียดถึงที่สุดถึงขั้นนี้แล้ว ความรู้สึกในตัวตนของเราก็จะดับไปสิ้นไม่มีเหลือ จิตนั้นก็จะหมดความยึดถือในอัตภาพร่างกายตัวตนคนสัตว์ใดๆ ทั้งสิ้น จึงเหมือนกับ “ปรมาณู” ที่ทำลายคนสัตว์ ทั้งหลายฉันนั้น

ธรรมธาตุ

*** ธาตุธรรม ทางเลือก 
              ดวงจิตทั้งหลายในสังสารวัฏ มีเนื้อแท้ เจตนาแห่งจิตที่แตกต่างกัน แนวทางสร้างบารมี จึงย่อมแตกต่างกัน ด้วยมีธาตุธรรมต่างกัน ได้๓ ธาตุธรรมหลัก ดังนี้ 
  
* ธาตุธรรมพุทธภูมิ

 มีลักษณะดวงจิต ที่มีความเป็นอิสระในตัวเอง มีพลังในการดึงดูดผู้อื่น คิดใหญ่เพื่อคนจำนวนมาก บำเพ็ญเพียรแบบโพธิจิต เพื่อ สรรพสัตว์ คือ จิตผู้นำ ในช่วงสะสมบารมี ธาตุธรรมของพุทธภูมิ จะ“รู้ความปรารถนาพุทธภูมิของตนเอง” เวียนว่ายตายเกิด ผ่านการเป็น มหาเทพ จนบรรลุเป็นพระมหาโพธิสัตว์ และจะไม่เข้าสู่นิพพาน จนกว่าชาติสุดท้าย จะลงมาเพื่อ บรรลุ “พุทธธรรม”เรียก “พระพุทธเจ้า”
 ”
ธาตุธรรมปัจเจกภูมิ

มีลักษณะดวงจิตที่มีความเป็นอิสระในตัวเอง มีพลังดึงดูดผู้อื่นน้อย สันโดษ แยกตัว ความสามารถสูง ไม่เอื้อแก่มหาชน คือ จิตโดดเดี่ยว ในช่วงสร้างบารมี จะค้นคว้าหาธรรมด้วยตนเอง เพื่อ บรรลุ “ปัจเจกธรรม” เรียก”ปัจเจกพุทธเจ้า”บรรลุแล้วจะไม่เน้นสอนใครไปนิพพาน สอนเพียง ทาน ศีล สมถกรรมฐาน 
 
 
*ธาตุธรรมสาวกภูมิ

  มีลักษณะดวงจิตที่ มีความเป็นอิสระในตัวเองไม่มาก มีพลังดึงดูดผู้อื่นน้อย เข้ากลุ่ม ต้องอาศัยพระศาสดา เป็นผู้สอนสั่งชี้ทางสว่างให้ จึงเป็น “ผู้ตาม ในช่วงสะสมบารมี จะซักฟอกดวงจิตโยอาศัยพระธรรมของพระพุทธเจ้านำทาง จน ธาตุธรรม” มีความบริสุทธิ์สูงมาก เพื่อ บรรลุ “อรหันต์ธรรม” เรียก “อรหันตสาวกเจ้า”ช่วย เผยแพร่ คำสอน เพื่อดำรงพุทธศาสนาให้ครบ ตามกาลของพุทธะผู้นำนั้น

** ในระหว่างเส้นทางสร้างบารมี บางดวงจิตอาจมีความปารถนา และเพียรสร้างบารมี มาทั้ง ๑-๓ เส้นทางธาตุธรรม.แต่ท้ายสุดแล้ว ดวงจิตจะต้องตัดสิน เลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งอยู่ดี..อยู่ที่เจตนาแห่งจิต และความเข้มของบารมีดวงจิตนั้น ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ถ้ามีญานหยั่งรู้อดีตชาติ บุพเพนิวาสานุสติ ระลึกชาติได้ว่า ตนเองนั้น สร้างบารมี เส้นทางธาตุธรรม อันไหนมากกว่า ควรใช้เส้นทางนั้น ก็ย่อมจะสมความปารถนาได้ ..

ที่มา มโนธาตุ โพธิญาณ

จิตไปนิพพาน

🌼ก่อนที่หลวงปู่ดูลย์จะหมดลมหายใจ หลวงพ่อเยื้อนถามหลวงปู่ดูลย์ว่า "หลวงปู่ไปได้ไหม?" หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า 
"จิตไม่มีที่ยึด จิตไม่มีที่ตั้ง ถ้าจิตมีที่ยึด จิตก็มีที่เกิด ถ้าจิตมีที่ตั้ง จิตก็มีที่เกิดเหมือนกัน ก็เลยไม่มีที่ตั้ง จิตไม่มีอารมณ์" 

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

Cr.SaRaN WiKi

โมทนาบุญ

ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาเขาทำบุญ แล้วเราโมทนากับเขา แต่เราไม่ได้บอกเจ้าของไว้จะได้ไหมคะ?

 หลวงพ่อ : ไม่จำเป็นต้องบอกเจ้าของ โมทนาแปลว่ายินดีด้วยนะ อย่างในประเทศไทยเรานั่งรถไปผ่านวัดต่างๆ ที่เขาสร้างพระไว้ใหญ่ๆ สวยๆ ใช่ไหม เราเห็นเราก็ดีใจโมทนาด้วยใช้ได้เลย

   เรื่องโมทนาเฉยๆ นี่มีในพระสูตร ในพระไตรปิฎก ในวิมานวัตถุ ท่านบอกว่าเพื่อนนางวิสาขา คนหนึ่ง นางวิสาขาสร้างมากใช่ไหม ทำบุญใหญ่

   ทีนี้พระท่านไปบนสวรรค์ ท่านเจอะวิมานหลังหนึ่งหลังใหญ่มาก และก็สวยสดงดงามมาก และมีวิมานเล็กๆ อีก 2 วิมานสำหรับนั่งเล่น

   ท่านก็เข้าไปถามนางฟ้าเจ้าของวิมานว่า "ดูก่อนน้องหญิง ในสมัยที่เธอเป็นมนุษย์ ทำบุญอะไรไว้วิมานจึงใหญ่มากสวยมาก และก็มีวิมานนั่งเล่นอีก 2 หลัง"

  ท่านบอกพระองค์นั้น บอกว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์เป็นเพื่อน #นางวิสาขา แต่แกไม่เคยทำบุญเลย โมทนาอย่างเดียว แกโมทนาบุญนะ สบายดี

   ไอ้โมทนานี่เป็น #ปัตตานุโมทนามัย. ถ้าเจ้าของบุญเป็นอรหันต์ เราก็เป็นอรหันต์ เขาถึงไหนเราก็ถึงนั่น ตายไปเกิดใหม่เขารวย เราก็รวยด้วย นี่ก็เหมือนกัน

   เรื่องนี้พระไม่ควรพูด (หัวเราะ) ใช่ไหม เสียท่า ลืมไป

  ผู้ถาม : ถึงจะมานานแล้วก็ได้หรือคะ?

  หลวงพ่อ : ได้ รอคอยแกอยู่ เหนือพระธรรม ใช้ได้

 ผู้ถาม : วิมานเท่ากันไหมครับหลวพ่อ?

 หลวงพ่อ : วิมานคงไม่เท่ากัน เจ้าของเขาต้องโตกว่า แต่สังฆทานนี่ตามความเป็นจริง ต้องเกิดสวรรค์ชั้นที่ 5 แต่ส่วนใหญ่ลงที่ดาวดึงส์ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคนพูดถึงเรื่องดาวดึงส์บ่อย จิตใจก็จับด้านดาวดึงส์ก็เลยไปอยู่ที่ดาวดึงส์

   อย่างสวรรค์ชั้นที่ 5 นี่ก็สวยกว่า รัศมีกายสว่างมากกว่า แต่ว่าพระองค์นั้นท่านก็ถาม เจ้าของวิมานบอกว่า

   "เวลานี้ นางวิสาขา อยู่ที่ไหน?" เธอก็บอกว่า "อยู่ชั้นที่ 5 ชั้นนิมมานรดี"

จาก : หนังสือธัมมวิโมกข์ ปีที่ 34 ฉบับที่ 380 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2555 หน้าที่ 90 - 91 โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ใจกลางโลก สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )

ใจกลางโลก 

 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )
คำพูดของคณะบาท​หลวง​ ดูเหมือนจะดูถูกชาวสยามและท่านเจ้าประคุณ​อย่างแรง"" 

#แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์กลับหัวเราะงอหายพลางว่า
 
"เข้าใจกันไปคนละทางเสียแล้วละท่าน อาตมภาพคิดว่าเป็นการแจ้งโลกแบบโลกวิทู 
หาได้คิดไปถึงโลกกลม โลกแบนอย่างท่านกล่าวไม่ อ้ายเรืองโลกกลมอย่างท่านกล่าวนั้น 
อาตมภาพก็แจ้งเหมือนกัน ซ้ำแจ้งต่อไปอีกว่า ใจกลางของโลกนั้นอยู่ตรงไหนอีกด้วยซ้ำไป"
 
คณะบาทหลวงงุนงงด้วยคำเจรจาฉะฉานของสมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นอันมาก ต่างแลดูตากัน 
ครั้นแล้วบาทหลวงผู้หนึ่งกราบนมัสการถามว่า 
"พระคุณเจ้า ทราบถึงที่ตั้งใจกลางโลกจริง ๆ หรือขอรับ" 

"ก็จริงนะซี อาตมภาพไม่เคยกล่าวมุสาวาทเลย" ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ตอบ 
"ถ้าเช่นนั้นจะพาคณะกระผมไปดูที่ตั้งใจกลางโลกได้ไหมขอรับ?" 
พวกบาทหลวงรุมล้อมกันหมายต้อนสมเด็จให้จนมุมจนได้ 
"อ๋อได้ซิจะไปเมื่อไรล่ะ" สมเด็จพระพุฒาจารย์พูด 
"เดี๋ยวนี้ได้ไหมขอรับ?" คณะบาทหลวงเร่งเร้าเพื่อจะดูทีว่า
สมเด็จจะสามารถไปที่ใจกลางโลก ในทรรศนะของท่านอย่างไร 
"ได้" สมเด็จตอบสั้น ๆ พลางลุกขึ้นครองจีวร ให้เป็นปริมณฑลตามสมณสารูป 
แล้วเอื้อมไปหยิบไม้เท้า และกล่าวกับฝรั่งว่า "ตามอาตมภาพมา" 
บาทหลวงทั้งคณะลุกขึ้นพร้อมกัน แล้วตามท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ลงจากกุฏิ 
พากันออกมายืนอยู่ที่พื้นดินบริเวณหน้าบันไดเบื้องล่าง
 
ณ ที่ตรงนั้นเอง 
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ได้เอาไม้เท้าที่ถือปักลงไปในพื้นดิน
พลางชีมือให้คณะบาทหลวงดู แล้วกล่าวว่า 
"ใจกลางโลกอยู่ที่ตรงนี้"
 
คณะบาทหลวงทั้งหมดต้องตะลึกและงุนงง
ในเรื่องใจกลางของโลก ตามทรรศนะของสมเด็จพระพุฒาจารย์อีกครั้งหนึ่ง 
ครั้นแล้วค้านเสียงหลงว่า     
"เป็นไปไม่ได้ดอกพระคุณเจ้าขอรับ ที่นี่มันหน้าบันไดกุฏิพระคุณเจ้าแท้ ๆ "
 
สมเด็จพระพุฒาจารย์ชี้มือไปที่ไม้เท้าพลางพูดยิ้ม ๆ ว่า 
"ก็ท่านกล่าวยืนยันว่า
โลกนี้กลมไม่ใช่แบนอยู่เมื่อครู่นี้เอง 
เมื่อโลกนี้กลมจริงอย่างท่านว่า 
ที่นี่ก็เป็นใจกลางโลก 
ถ้าท่านสงสัยก็ขอให้วัดดูเถิดว่า
จากศูนย์กลางที่ไม้ปักนี้ อ้อมไปโดยรอบทุกด้าน 
แล้วที่ตรงนี้จะเป็นใจกลางโลกจริง"
 
คณะบาทหลวงเพิ่มความงุนงงกันเป็นครู่ใหญ่ 
ครั้นคิดออกก็ถอดหมวกคำนับท่านเจ้าประคุณสมเด็จพร้อมกัน แล้วกล่าวว่า
 
"จริงของพระคุณเจ้า ใจกลางโลกอยู่ตรงนี้ พระคุณเจ้าทรงคุณธรรมวิเศษจริง ๆ" 
ว่าแล้วคณะบาทหลวงก็รีบนมัสการลากลับทันที

30 ตุลาคม 2564

#กราบหลวงปู่เทพโลกอุดรในฝัน

#กราบหลวงปู่เทพโลกอุดรในฝัน
ผ่านมาประมาณ 10 ปีแล้ว  

#คืนนั้นฝันแปลก เดินหลงเข้าไปในป่าลึกลับ ไม่น่าเชื่ออยู่ในป่าลึกขนาดนี้ยังมีพระภิกษุสงฆ์อยู่เต็มไปหมด มีเสนาสนะปลูกเป็นกระต๊อบเรียงรายเป็นแถว เหมือนเป็นสถานที่สำหรับผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมโดยเฉพาะ

ขณะที่เดินอยู่นั้น เห็นผู้คนนั่งห้อมล้อมพระเถระรูปหนึ่งซึ่งนั่งแคร่อยู่ จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ สังเกตุรูปร่างลักษณะขององค์ท่านได้อย่างชัดเจน องค์ท่านมีผิวพรรณค่อนข้างคล้ำๆ ครองจีวรสีกรักเข้มคล้ายในรูป ที่สะดุดตาที่สุดคือ เส้นเกศาเป็นสีขาวทั้งศรีษะรูปร่างดูอิ่มกว่ารูปเล็กน้อย
    
จึงเดินเข้าไปกราบท่าน แล้วถอดสร้อย (ช่วงนั้นใส่บูชาครูอาจารย์) ขอโอกาสท่านอธิฐานจิตให้ เสร็จแล้วท่านยื่นคืนกลับมา ระหว่างนั้นจึงนึกขึ้นได้ จึงกำหนดจิตถามว่าท่านชื่ออะไร องค์ท่านคงรู้ด้วยจิตแต่ไม่ได้เอ่ยเป็นภาษาพูดออกมา มีแต่ตัวหนังสือลอยออกมาเป็นคำว่า #อุตระ

ช่วงนั้นผู้โพสต์เพิ่งเข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมใหม่ๆ จึงไม่ค่อยมีความรู้และรู้จักครูบาอาจารย์มากเท่าไหร่ ต่อมาภายหลังจึงได้รู้ว่า

#พระอุตระ ก็คือ #หลวงปู่เทพโลกอุดร นี่เอง
................................................................

#หลวงปู่มั่นเคยเกิดเป็นสามเณรน้อยติดตามคณะหลวงปู่เทพโลกอุดรมาเผยแผ่พุทธศาสนา ณ แคว้นสุวรรณภูมิ
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เล่าให้หลวงปู่อุ่น ชาคโรฟังว่า สมัยพระโสณะ กับ พระอุตตระ (คณะหลวงปู่เทพโลกอุดร) มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นสุวรรณภูมิ คือ ประเทศไทย พม่า ลาว ปัจจุบันนี้ นั้น. 

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต #ได้เป็นสามเณรน้อยเดินทางมาด้วย.  พระอาจารย์มั่นว่า สมัยนั้นท่านข้องคาอยู่ในการปรารถนาพุทธภูมิ ท่านจึงไม่ได้สำเร็จมรรคผลอะไร

ท่านผู้บรรลุมรรคผลที่เราได้กราบไหว้กันอยู่ทุกวันนี้ หลายท่านก็ได้บำเพ็ญบุญร่วมกันกับหลวงปู่เทพโลกอุดรมาทั้งนั้น ในลักษณะต่าง ๆ กัน เกินกว่าจะพรรณนาได้ว่าใครเป็นใคร ทำอะไรร่วมด้วยกับหลวงปู่ใหญ่มาบ้าง ในยุคสมัยนั้น 

ท่านกล่าวว่า สมัยนั้นน้ำทะเลขึ้นไปจรดกับจังหวัดสระบุรี หรือเขาวงพระจันทร์ 

พระโสณะ และ พระอุตตระ ท่านชอบใช้ไม้เท้าทางกก (ทางต้น) เป็น ๘ เหลื่อม ทางปลายนั้นเป็น ๑๖ เหลื่อม 
ท่านว่า เมืองไทยเรานี้มีคนมีบุญวาสนามากมาเกิดบ่อย ๆ และเป็นที่ชุมนุมของเทวดามเหศักดิ์ผู้มีฤทธิ์มาก ทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระบรมสารีริกธาตุก็เสด็จมาอยู่ในเมืองไทย ประเทศอินเดียไม่ค่อยมี 

เพราะเมืองไทยเรามีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองกว่าประเทศอื่น  ฉะนั้นเมืองไทยเราจึงเป็นเมืองแสนสงบสุข อุดมสมบูรณ์เป็นเอกราชมาช้านาน เพราะเป็นดินแดนที่เกิดของนักปราชญ์ทั้งหลาย

[อ้างอิงจาก บันทึกส่วนตัวของ พระครูสังวรศีลวัตร (หลวงปู่อุ่น ชาคโร) เปิดเผยความลึกลับของท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ]

27 ตุลาคม 2564

อานิสงส์การทอดกฐินและการทอดผ้าป่า

 หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง 🙏🙏🙏
🌟ผู้ถาม
การทอดผ้าป่า กับการทอดกฐิน อย่างไหนได้อานิสงส์มากกน้อยกว่ากันคะ.........?

🌟หลวงพ่อ
ความจริงผ้าป่า กับกฐิน เป็น สังฆทาน ด้วยกันทั้งคู่นะ
แต่ทว่าอานิสงส์โดยเฉพาะกฐิน ได้มากกว่าเพราะกฐินมีเวลาจำกัด
จะทอดตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ แต่อานิสงส์ได้ทั้งสองฝ่าย คือผู้ทอดก็ได้ พระผู้รับก็ได้ พระผู้รับมีอำนาจคุ้มครองพระวินัยได้หลายสิกขาบท ทำให้สบายขึ้น

☀️การทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเคยเทศน์คือ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมมุตตระ ท่านเคยเทศน์วาระหนึ่งสมัยที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นมหาทุกขตะ
คำว่ามหาทุกขตะนี้จนมาก เป็นทาสของท่านคหบดี ท่านเอาเสื้อผ้าเก่า ๆ ของตนนำไปแลกกับด้ายหนึ่งกลุ่ม เข็มหนึ่งเล่ม เอามาร่วมในการทอดกฐินกับเจ้านาย เพื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
ท่านกล่าวว่า การทอดกฐินครั้งหนึ่ง จะปรารถนาพุทธภูมิ ก็ได้ จะปรารถนาเป็นอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นพระอรหันต์ก็ได้
แต่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใดอานิสงส์จะให้ผลท่านผู้นั้น
เมื่อตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดา แล้วลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ๕๐๐ ชาติ
เมื่อบุญน้อยลงมาจะเป็นพระมหากษัตริย์ ๕๐๐ ชาติ เป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ เป็นอนุเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ เป็น คหบดี ๕๐๐ ชาติ
แต่คนที่ทอดผ้ากฐิน หรือว่าร่วมในการทอดผ้ากฐินครั้งหนึ่งก็ดี บุญบารมีส่วนนี้ยังไม่ทันจะหมดกก็ปรากฏว่าท่านเจ้าของทานไปนิพพานก่อน
🌟ผ้าป่า ก็เป็นสังฆทาน แต่อานิสงส์จะน้อยไปนิดหนึ่งแต่ทั้งสองอย่างก็เป็นสังฆทานเหมือนกัน แต่เป็นสังฆทานเฉพาะกิจ กับสังฆทานไม่เฉพาะกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าป่า ผู้ให้ก็ได้อานิสงส์ ผู้รับมีอานิสงส์แต่เพียงแค่ใช้ เป็นอันว่าทั้งสองอย่างนี้ถือว่าอานิสงส์การทอดกฐินมากกว่าผ้าป่า แต่ว่าการทอดกฐินปีหนึ่งครั้งเดียว ผ้าป่าทอดได้หลายครั้ง อานิสงส์ผ้าป่าย่อมได้มากกว่านะ

🌟ผู้ถาม
องค์กฐิน ที่แท้จริง เป็นอย่างไรคะ........?

🌟หลวงพ่อ
องค์กฐิน จริง ๆ คือผ้าไตร นอกนั้นเป็นบริวาร เวลา กรานกฐินจริง ๆ เรากรานได้แต่ผ้า
การถวายก็ไม่ยาก เรามีผ้าจีวรผืนหนึ่งหรือว่าสบงผืนหนึ่ง หรือว่าสังฆาฏิผืนหนึ่ง อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ จะถวายทั้งไตรก็ได้ ถวายมากก็ได้ ถวายน้อยก็ได้ อานิสงส์เหมือนกัน โดยเฉพาะที่วัดนี่ (วัดท่าซุง) จัดเป็นกฐินสามัคคี เป็นเจ้าภาพร่วมกันทุกคนได้อานิสงส์เท่ากันหมด

ที่มา
อ้างอิงเว็บพลังจิต tritinnapob

26 ตุลาคม 2564

ช้างปาลิไลยกะ

*** หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ

ภาค ๑๑ .. ช้างปาลิไลยกะ 
      พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพญาณมงคล ( เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖) หรือ “หลวงป๋า” ปฐมเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ราชบุรี เกิด พ.ศ. ๒๔๗๒ มรณภาพ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๑ รวมสิริอายุ 90 ปี
   หลวงป๋า ได้นำวิชชาธรรมกายของหลวงปู่สด มาเผยแพร่ จนมีลูกศิษย์มากมาย
 

 ครั้งหนึ่ง หลวงป๋า ได้นำคณะพระภิกษุ และญาติโยม เข้านมัสการเยี่ยมเยือน หลวงปู่ทองทิพย์ เมื่อปี ๒๕๔๒ หลวงปู่ท่านได้ทักทายว่า
“มาแล้วเหรอ ปาลิไลยกะ” 

เมื่อ หลวงป๋า นำพระพุทธรูปหยกหน้าตักประมาณ5นิ้ว มาถวาย หลวงปู่ทองทิพย์ จึงกล่าวขึ้นมาว่า

 “องค์นี้ก็สวยดีนะ.. แต่มีอีกองค์ที่สวยกว่า องค์เขียวๆ ที่มีฐาน ที่ท่านวางไว้ ที่โต๊ะทำงานองค์นั้นหละ ” 

    หลวงปู่ทองทิพย์ ท่านรู้ว่ามีพระพุทธรูปหยก หน้าตัก9นิ้ว มีฐานสูง วางไว้ที่ทำงานหลวงป๋า ทั้งๆที่ หลวงปู่ทองทิพย์ ไม่เคยไปวัดหลวงพ่อสดแต่อย่างใด และในภายหลัง หลวงป๋าท่านก็ได้อัญเชิญ พระพุทธรูปองค์นั้น มาถวายแก่หลวงปู่ทองทิพย์

  อนึ่ง ช้างปาลิไลยกะ เป็นช้างโพธิสัตว์ ที่ได้ปรนนิบัติพระพุทธเจ้าตลอดพรรษที่ ๑๐ นับตั้งแต่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ที่ป่ารักขิตวัน ใกล้หมู่บ้านปาลิไลยกะ ใกล้เมืองโกสัมพี ช้างปาลิไลยกะได้ปรนนิบัติต่อพระพุทธเจ้า เป็นระยะเวลา 3 จนวันที่พระพุทธเจ้าจาริกไปที่อื่น พญาช้างจึงยืนร้องไห้ แล้วจึงหัวใจวายสิ้นลงทันใด จึงได้เกิดในสวรรค์เป็นเทพบุตร ชื่อ “ปาลิไลยกะเทพบุตร” ในสวรรค์ดาวดึงส์  

 มีพุทธพยากรณ์ เกี่ยวกับช้างปาลิไลยกะว่า

“ ช้างปาลิเลยยโพธิสัตว์ ..จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “สุมังคละ” ในอนาคตกาล ”

อนึ่งมีครูอาจารย์ หลายองค์ ที่กล่าวถึง ช้างปาลิเลยยโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นามว่า.พระพุทธะสุมังคละ หรือ พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล องค์ที่๑๐ ต่อจาก พระศรีย์..

 หลวงปู่ตื้อ (อจลธมฺโม) กล่าวว่า “อดีตชาติครูบาศรวิชัย คือ ช้างป่าเลไลย์ อนาคตกาลข้างหน้าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า  

บ้างบอกว่า คือ หลวงปู่เจ้าคุณพระราชกวี วัดโสมนัส หรือ หลวงปู่อ่ำ คือ ช้างป่าเลไลย์ ซึ่งหลวงปู่อ่ำเล่าว่า ตอนเย็นท่านกำลังนั่งอยู่บนม้าหินอ่อน อยู่ ๆ มีอีกกายหนึ่งหลุดออกจากตัว เดินขึ้นฟ้า เห็นดอกบัวดอกหนึ่งใหญ่โตมโหฬาร ก้านบัวใหญ่กว่าเสาอีก อยู่สูงลิบเลย เห็นว่ามีสารพัดสี แล้วดอกบัวก็ลดลงมา ๆ เห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างบนนั้น

 "พระโพธิสัตว์องค์นั้น ท่านบอกว่าท่านคือ "พระศรีอาริยเมตไตรย" แล้วพระโพธิสัตว์องค์นั้น เล่าให้หลวงปู่อ่ำฟังว่า..หลวงปู่อ่ำปารถนาอะไร..สมัยนั้น..เกิดเป็น.....

 บ้างบอกว่า อาจาร์ยทิพากร รินไธสงค์ แห่งจังหวัดชัยภูมิ คือ ช้างป่าปาลิไลยกะ 

คำกล่าวครูอาจารย์ล้วนถูกทั้งหมด ตามญาณทัศนะอันบริสุทธิ์ญาณทัศนะ ของแต่ละองค์ท่าน ที่เห็นจริง 

***...แต่สิ่งที่ซ่อนในสิ่งที่เห็น มีความหมายที่ลึกซึ้งเกินกว่า เหตุผลทั่วไปมาวัดได้..เพราะดวงจิตแห่งมหาโพธิสัตว์ มีทั้ง จิตแบ่ง ด้วยจิตที่มีบารมีมาก ได้แบ่งดวงจิตลงมาเกิด เพื่สร้างบารมีในโลกมนุษย์..ได้หลายดวง ในช่วงเวลาเดียวกัน. เพื่อย่นระยะการเกิด. เหมือนดัง หยดน้ำที่แตกกระจายในพื้นไม้ขัดมัน..ย่อมมีหยดน้ำ แตกมาหลายหยด แต่ละหยด ไม่เท่ากัน อยู่แยกกันอิสระ ทั้งๆที่มาจากฐานหยดน้ำเดียวกัน.

***ดังนั้นถ้าดวงจิต ที่แตกมาหลายๆดวงนั้น เมื่อทำจิตให้ลึกลงไปถึง “สัญญาจิตข้างใน” แต่ละดวงจิตที่แบ่งมา จึงพบว่า รู้ว่า “ตนเองเคยเกิดเป็น...........” เหมือนกัน   

    และบารมีจิตแบ่ง ที่แบ่งมาของแต่ละดวงจิต จะไม่เท่ากัน บางดวงแบ่งมา ๑๐ ส่วน บ้างแบ่งมา ๒๐ ส่วน...เมื่อแบ่งแล้ว จะเป็นดวงจิตอิสระ สร้างกรรมรับกรรมเอง บางดวงอาจกลับมารวมกับ ดวงจิตเดิม บางดวงไปตามวิถีทางของเจตจำนงของดวงจิตนั้นๆ.ทั้งๆที่อยู่ในข่ายมหาโพธิสัตว์เดียวกัน.
………..

ที่มา 
มโนธาตุ โพธิญาณ

ความเป็นมาของคาถาเงินล้านโดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง



หลวงพ่อ :- ก่อนที่มาอยู่วัดท่าซุงนะ ฉันอยู่กระต๊อบ เงินร้อยก็หายากสำหรับคนทำบุญ คาถาวิระทะโย ก็ทำเรื่อยๆ ไป ต่อมาท่านก็มาหา ก็บอกว่าคาถาบทนี้นะ ที่เขาทำพระวัดพนัญเชิญองค์แรก มีเจ้าอาวาสองค์แรก ท่านไปนั่งกรรมฐานและเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ ปี ท่านให้ดูตัวอย่างวัดพนัญเชิง เงินขาดไหม…ฉันก็ทำมาเรื่อย

มาอีกปีหนึ่งกำลังบวงสรวง ท่านบอกว่า คาถาบทนี้ เป็นคาถาเงินแสนนะ ก็ใช้คาถาบทนั้นมาประมาณครึ่งปี คนมาทอดกฐินผ้าป่าได้เงินเป็นแสน นี่เห็นชัดนะ
แล้วต่อมาอีกปีหนึ่ง ท่านบอกว่า คาถาบทนี้ เป็นคาถาเงินล้านนะ ให้ว่าต่อเนื่องกันไป แล้วไปลง คาถาวิระทะโย ต่อมาก็จริงๆ เพราะปี ๒๕๒๗ ก็ใช้เงิน เดือนเป็นล้าน ซึ่งไอ้อย่างนี้เราก็คิดไม่ออก ต้องค่อยๆ ใจเย็นๆ
เวลาว่าไป อย่าไปว่าหวังเอาลาภ คือต้องภาวนาด้วยนะ ถ้าทางที่ดีเวลาภาวนากรรมฐาน พอจิตสบายน่ะต่อเลย เพราะเวลากรรมฐานนี่จิตเป็นฌาน ใช่ไหม… เอาอย่างนี้ดีกว่า เวลาฝึกมโนมยิทธิออกไปให้ได้นั้น ออกไปเดี๋ยวเดียวก็ได้ ออกไปได้นี่จิตเป็นฌาน ๔ เข้าเขตพระนิพพานได้ จิตสะอาดถึงที่สุด กลับลงมาต่อด้วยคาถาบทนี้เลย มากน้อยก็ช่าง ให้หลับไปเลย คือถ้าจิตสะอาดมากผลก็เกิดเร็ว
ก็สงสัยเหมือนกันนะ เมื่อปี ๒๕๒๖ ท่านบอกว่า ปี ๒๕๒๗ มีอะไรบ้างก็ตุนๆ ไว้บ้างนะ ปี ๒๕๒๘ จะเครียดมาก การค้าของใครถ้าทรงตัวได้ก็ถือว่าดีไว้ก่อน อันนี้ท่านบอกว่า “ถ้าลูกเราจะจนก็จนไม่เท่าเขา”

หลวงพ่อใช้ได้ผลมาแล้ว

หลวงพ่อ :- “ถ้าพูดถึงผล…หลวงพ่อก็นั่งดูเรื่อยๆ มาว่า เอ๊ะ! เงินแสนมันจะมีมาได้อย่างไร ภายในปีนั้นปรากฎว่า สมัยนั้นวัดต่างๆ เขายังไม่ถึงหมื่นเลย แล้วต่อมาคาถาเงินล้านก็ต้องว่าต่อ เพราะต่อไปข้างหน้าต้องใช้เงิน

พระพุทธเจ้าบอกนี่ต้องเชื่อ ต้องใจเย็นๆ ไม่ใช่ไปเร่งรัด ถ้าว่าไปแล้ว คิดว่าเราต้องรวยนี่เสร็จ…พัง ต้องว่าด้วยจิตเคารพ นานหลายปีท่านไม่ยอมเปิดกับใคร ก่อนจะเข้าถึงดีมันจะต้องเครียด ปี ๒๕๒๘ ความจริงมันน่าจะดี แต่ไปๆ มาๆ ก็มีจุดสะดุด จุดสะดุดนี่เป็นชะตาของชาติ แต่ยังไงๆ ก็ต้องไปเจอะจุดรวยแน่
ถ้าพวกนี้รวยนะ วัดท่าซุงไม่เป็นไร คือว่าหนี้นี่น่ะ อย่าคิดว่ามันโล๊ะกันได้ เมื่อปี ๒๕๓๐ นะ มันเกินค่าใช้จ่าย เดือนละ ๒ ล้านเศษ อันนี้ต้องคิด เดือนนี้ตกเกือบ ๓ ล้าน คือ ๒ ล้าน ๙ แสนเศษ
ตอนนี้ท่านให้ฉันเขียนโครงการที่จะทำให้เสร็จในปี ๒๕๓๐โครงการของท่านจริงๆ มีมาก ท่านย่าก็เคยบอก ท่านบอกว่า “ท่านไม่บอกคุณตรงๆ หรอก ท่านรู้ใจคุณ ถ้าบอกโครงการทั้งหมด คุณไม่ทำแน่”
พระพุทธเจ้าก็รู้คอนะว่าลิงซะอย่าง ไปๆ มาๆ ท่านให้นั่งเขียนตามนี้นะ ๑๒ รายการ ให้เสร็จภายใน ๒๕๓๐ เลยคิดว่าเงินที่ต้องใช้ ต้องเป็นพ้อมๆ รายการมากนะลูก ถ้าหากจะถามว่า ๑๐ ล้านพอไหม…ก็ต้องบอกว่ามันไม่ได้ครึ่งหลังที่ท่านสั่งทำหรอก

เหตุที่จะได้คาถาบทนี้

หลวงพ่อ :- วันนั้นก็ขึ้นไปที่กระต๊อบฉัน ไปถึงกระต๊อบก็ปรากฎว่า สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านประทับอยู่ที่นั่น และท่านพระเจ้าแม่ให้นามว่า “มัทรี” หรือ “พิมพา” ไปที่อเมริกา ท่านบอก “ฉันเคยเป็นแม่คุณเหมือนกัน” ถามว่าชื่ออะไร…”ชื่อมัทรี” แล้วคุมมาตั้งแต่อเมริกา เวลานี้ก็ยังคุมอยู่

ก็ไปกราบเรียนถามท่านว่า คำสั่งที่สั่งให้มันเกินวิสัย แค่อาคาร ๓๐๐ ห้อง จาก พ.ศ.นี้ไปจนถึง ๒๕๓๐ มันก็เสร็จยากเหลือเกิน และอีกหลายรายการมันก็ใหญ่ทั้งนั้น ท่านแม่มัทรีก็บอกว่า “เอาอย่างนี้ซิลูก ขออำนาจพระพุทธานุภาพ”
ก็เลยหันไปกราบพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า “ได้ ฉันต้องช่วยเธอ”
แล้วต่อมาเดินเล่นในบริเวณกระต๊อบของฉัน เล็กๆ มันมีถนนหนทางใช่ไหม…ก็ปรากฎว่าเดินไปเดินมา สมเด็จองค์ปฐมก็เสด็จมาเดินด้วย ท่านบอกว่า
“สภาพของพระนิพพานมันเป็นอย่างนี้นะ คนที่ถึงพระนิพพานแล้ว กิจอื่นที่ทำไม่มี มันเป็นอย่างนี้นะ เวลานี้เราเดินกลางบริเวณพวกเราทั้งหมด ลองนั่งดูสิ มันจะมีอะไรไหม”
ที่มันเป็นที่นั่งไม่มีเลย พอนั่งปุ๊บ ไอ้เตียงตั่งมันเสือกมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เลยคุยไปคุยมา ท่านก็เลยบอกว่า “งานที่ฉันสั่งต้องเสร็จทัน ๓๐”
ท่านย่ากับแม่ศรีก็ขึ้นไป ท่านย่าบอกว่า อำนาจพุทธานุภาพก็มีแล้ว สังฆานุภาพก็มีแล้ว พรหมานุภาพกับเทวานุภาพก็ช่วยแล้ว แต่ว่าถ้าบรรดาลูกหลานมันยากจน และปี ๒๕๒๘ มันจะเครียด ขอพรพระพุทธเจ้า ขอคาถาสักบท (ที่ท่านให้ฉันไว้นี่) ขอให้ลูกๆ หลานๆ ใช้เถอะ แล้วท่านก็ให้…อนุมัติ
ความจริงคาถาเฉพาะนี่จะให้ใครไม่ได้เลย ท่านก็เลยบอกว่า
“ถ้าอย่างนั้นไปพิมพ์แจก และก็ให้มันทำด้วยความเคารพ”

“ฉันไม่ยืนยันว่าคนที่ไม่เคารพฉัน จะมีผล จำให้ดีนะ”

จึงขอให้ทุกคน ถ้าได้รับคาถานี้ ให้ตั้งใจปฏิบัติ ด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า
ต่อไปนี้ก็จะอ่านคาถา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน และให้ทุกคนตั้งใจนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าคาถาทั้งหมดนี้ จงปรากฎอยู่ในจิตของเรา ลาภผลต่าง ๆ ให้ปรากฎแก่เรา ตามที่พระองค์ต้องการนะ…นึกถึงท่านนะ…

บทคาถาเงินล้าน

สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม
มิเตพาหุหะติ
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
สัมปะติจฉามิ
เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ
บทแรก พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ อันนี้ ตัดอุปสรรคที่ลาภจะมา แม่เขามาบอกว่ามีผลแน่นอน คือว่าแกจะไม่ยอมให้ลูกแกจน พูดง่ายๆ ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยัน บอกว่าให้ได้หมด

บทที่สอง พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม คาถาบทนี้เป็น คาถาเงินแสน ของท่าน
บทที่สาม มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม บทนี้เป็น คาถาปลุกพระวัดพนัญเชิญ
บทที่สี่ มิเตพาหุหะติ เป็น คาถาเงินล้าน
บทที่ห้า พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม เป็น คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
บทที่หก สัมปะติจฉามิ บทนี้เป็น บทเร่งรัด บทสุดท้าย

ต่อมาหลวงพ่อแนะนำให้เติม นาสังสิโม ข้างหน้า พรหมา
ต่อมาท่านให้เติม เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ ต่อจาก สัมปะติจฉามิ เพราะมีผู้นำไปใช้แล้วได้ผลดีมาก ทั้งหมดนี้ต้องสวดเป็นบทเดียวกัน บูชาเรื่อยๆ ไป

วิธีใช้คาถาบทนี้

หลวงพ่อ :- “การบูชา ถ้าบูชาเฉยๆ มันเป็นเบี้ยต่อไส้ อย่าลืมนะ เวลาสวดมนต์แล้วให้สวดคาถานี้ ๙ จบ เท่าเดิมนะ และเวลาภาวนา นอนภาวนาก็ได้ ว่าเรื่อยๆ ไป จนกระทั่งหลับไปเลย ตื่นขึ้นมาต่อจากกรรมฐานนอนก็ได้ ใจสบายๆ นะ บางทีเผลอๆ ฉันก็ต้องว่าของฉันเรื่อยๆ ไป

คาถาเงินล้านนี่มาให้เมื่อปีฝังลูกนิมิต (ปี ๒๕๒๐) ท่านบอกว่างานข้างหน้าจะหนักมาก หลังจากนี้เป็นต้นไป เงินจะใช้มากกว่าสมัยที่สร้างโบสถ์
อย่าลืมนะ เวลาว่างๆ นั่งนึกก็ได้ เดินไปก็ได้ ไม่ห้ามเลยนะ ให้มันติดใจอยู่อย่างนั้น ให้ถือว่าเป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จ เพราะคาถาที่พระพุทธเจ้าบอกทุกบท ก่อนจะทำต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน
สำหรับวันนี้ ขอให้ตั้งใจรับพรนะ ขอให้พรคนที่นี่ทั้งหมด คนที่อยู่บ้านทั้งหมด คนที่ยังไม่เกิดทั้งหมด ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และถ้าเป็นเครือที่เป็นเผ่าพันธุ์มาแล้ว ตั้งแต่อดีต ขอให้มีผลตามพุทธประสงค์ทุกคน
ปีนี้เป็นปีที่เครียดที่สุด ในเรื่องฐานะของบุคคล แต่พวกเราจะเครียดตามเขาไม่ได้ แต่ถ้าหากทุกคนเครียด ยากจน วัดท่าซุงมันไม่เสร็จ ยังไงๆ ก็ให้มันไม่เครียดไว้ สวัสดี”

ภาวนาคาถาขณะทำงาน

ผู้ถาม :- “ขณะที่ลูกใช้สมองในการคำนวณ ในการทำงานไป แล้วก็ภาวนาคาถาเงินล้านไปด้วย อย่างนี้จะมีผลหรือไม่เจ้าคะ…?”

หลวงพ่อ :- “โอ…ดีมาก อันนี้ต้องดีมากเชียวนะ ทำไปเรื่อยๆ นะ ภาวนาคาถาเงินล้านขณะทำงาน หรือเลิกงาน ภาวนาแล้วก็ดี อย่างนี้ดีจิตเป็นฌาน ทรัพย์สินจะคล่องตัว”

สวดคาถาแล้วตัวสั่น

ผู้ถาม :- “มีคนหนึ่งเขาบอกว่า หลังจากบูชาพระนั่งกรรมฐานเสร็จแล้ว ก็ต่อด้วยคาถาเงินล้านของหลวงพ่อ ว่าไปสักครู่หนึ่งปรากฎว่า กายสั่น มือสั่น ใจสั่น เหมือนกับอาการจะปลุกพระอย่างนั้นแหละ จึงเรียนถามหลวงพ่อว่า เป็นเพราะเหตุไร ต่อไปจะสั่นต่อไปได้หรือไม่ครับ…?”

หลวงพ่อ :- “จะเอาสั่นต่อหรือ…อย่าลืมนะ ถ้าไอ้ใจสั่นนี่มันผิดปกติ คือใจสั่นนี่คงจะภาวนาเร็วเกินไปหรือไม่เข้าใจ ถ้าตัวสั่นนี่เป็น อุเพงคาปีติ ดีนะ แต่ควรจะคุมอย่าให้ใจสั่น ใช่ไหม…จะสั่นหรือไม่สั่น ถ้าจิตมีกำลังสมาธิถึงนั่น มันก็สั่น ถ้าเลยไปแล้วเป็นภาวนาปกติ มันก็ไม่สั่น ถ้าต่ำลงมา มันก็ไม่สั่น และเวลาที่ว่าคาถา ไม่ควรจะคิดว่าจะสั่นหรือไม่สั่น เอาแค่จิตเป็นสุข ค่อยๆ ว่า สบายๆ ดีกว่า ทำอย่างนี้ถูกต้องนะ”

ภาวนาคาถาเงินล้านถูกหวย

ผู้ถาม :- “ภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วขอบารมีทุกๆ พระองค์ ที่เป็นเจ้าของคาถา หยิบหวยรัฐบาลปรากฎว่าถูกรางวัลที่ ๕ สองใบ การที่อาราธนาเจ้าของคาถาเอามาซื้อหวยรัฐบาล จะเป็นบาปหรือไม่ เพราะมันเป็นการพนันนิดๆ”

หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นบาป เขาไม่ถือว่าเป็นการพนัน อย่างที่เขาจับกันนี่ การพนันประเภทนี้ตำรวจเขาไม่ได้จับ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีอะไรเป็นบาปนะ แล้วเราก็ไม่ได้บังคับ ว่าเลขที่ฉันซื้อจะต้องออก เราเขียนเองออกเอง ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพราะคนหมุนกับเราคนละคนกัน ถือว่าเป็นโชคดีดีกว่า”

เงินในบาตรวิระทะโย

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันใส่บาตรวิระทะโย มันเกือบจะเต็ม ๓๐๐ ก็เพิ่มให้เต็ม ๓๐๐ บาทพอดี นำมาเปลี่ยนเป็นถวายสังฆทานชุดใหญ่ อย่างนี้จะผิดหรือไม่เจ้าค่ะ…?”

หลวงพ่อ :- “ไม่ผิด เพราะวิระทะโยเป็นเงินสังฆทานอยู่แล้ว ที่นี้ถ้าหากตั้งใจถวายเป็นของสงฆ์ เรายังไม่ถวายจริงนี่ ตอนนั้นมาเปลี่ยนเป็นสังฆทาน จิตใจมั่นคงยิ่งขึ้น ตอนนี้ไม่เป็นไร เอ…พูดแบบนี้วัดจะขาดทุนหรือเปล่านะ ไม่ควรจะถามข้อนี้เลย ไม่เป็นไร…ไม่ใช่ขโมยของสงฆ์ คือว่าทำใจให้มั่นคงยิ่งขึ้น

แต่เนื้อแท้จริงๆ เงินวิระทะโยนี่ ให้ไปก็เป็นสังฆทานตรง และก็เป็นวิหารทานด้วย ฉันใช้ ๓ อย่าง สังฆทาน คืออาหารและกระแสไฟฟ้า วิหารทาน ก่อสร้างด้วย ญาติโยมจะได้มีบุญมากขึ้น ธรรมทาน พล่องก็ช่วยและก็ได้ปัญญา
สังฆทาน ได้ร่างกายเป็นทิพย์
วิหารทาน ได้วิมานเป็นทิพย์
ได้ปัญญาเป็นทิพย์”

ผู้ถาม :- “โอ…ได้มากนะ”

หลวงพ่อ :- “ถ้าใส่ปี๊บมากกว่านี้อีก แต่ต้องให้เต็มปี๊บนะ ไม่ใช่ปี๊บละบาท”

ผู้ถาม :- “แล้วสตางค์ที่ใส่บาตรวิระโยเต็มแล้ว แลกมาเป็นแบงค์ ถวายหลวงพ่อจะได้ไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ได้…ไม่ต้องแบกมาให้หนัก”

ที่มา
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑๘-๒๖ (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

การบำเพ็ญ..เพื่อนิพพาน

  ผู้ต้องการนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้   ต้องรู้ว่าในกายเนื้อ ยังมีกายทิพย์หลายๆกาย ซ้อนกันอยู่  เราจะต้องบำเพ็ญจนได้กายอรหันต์ทุกกาย  เแล้วรวมกายกันเป็นกายอรหันต์ หรือ “กายวิสุทธิเทพ” หรือไม่ต้องรวมกาย แต่บำเพ็ญทุกกาย ให้เป็นกายอรหันต์  

  ในกายเรา  อาจมีกายทิพย์อื่นๆ  ทั้งเทพเทวดา อสูรกาย มาร สัตว์เดรัจฉาน เปรต ที่มาอาศัยขันธ์ห้าร่วมกับเราเพื่อบำเพ็ญ   ถ้าเรามีกรรมเกี่ยวพันกัน ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้า มีเปรตตนหนึ่งมาอาศัยอยู่ในกายข้าพเจ้า(วิญญาณ)..ซึ่งไม่ใช่จิตข้าพเจ้าเอง..เมื่อคนตาดีมองเข้าไป จึงเห็นว่า..ข้าพเจ้ามีกายเป็นเปรต..

 
ให้ดูในปัจจุบันนี้  ถ้าเรา เป็นคน มีมานะถือตัว ชอบแข่งขันทำดี ให้คนอื่นเชิดชู ชอบเป็นหนึ่ง และอิจฉาคนที่ทำดีกว่า  แสดงว่า เป็นคนมีมีสักกายทิฐิ สูง มีมิจฉาทิฐิ  เป็นจิตมาร  กายในจึงยังมี”กายมาร”ครอบอยู่..จึงต้องสลายกายมารนี้   ด้วยทำจิตเมตตา ให้อภัย และอ่อนน้อม    

 
หากจิตมีความบ้าฤทธิ์ บ้าเดช  หลงบ้าไสยศาสตร์ โมโหร้าย เจ้าแค้น นั่นคือจิตอสูร   กายในบางกาย จึงเป็นกายอสูร  กายยักษ์ฝ่ายร้าย    มีจิตมิจฉามาก จะต้องสลายกายอสูร  ด้วยการวิปัสสนา กายานุสติ
 
หากจิตมี ความตระหนี่ถี่เหนียว จะมี”กายเปรต”ซ้อนอยู่ ต้องแก้ด้วยการให้ทาน ให้ความรู้สึกดีๆค่อ คน สัตว์   หาก   ขาดศีลห้า  ไม่เกรงกลัวบาป จะมี”สัตว์นรก” ซ้อนอยู่   ให้แก้ไขด้วยการตั้งใจรักษาศีล 
 
หากจิตชอบทำร้าย ฆ่าสัตว์ ชนิดนั้นบ่อยๆ จะมีกายใน เป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดนั้น เช่นฆ่หมู ควาย กายในจะเป็น กายควาย กายหมู  ให้แก้ด้วยการ ทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ประเภทนั้นๆ แล้วอุทิศบุญเจาะจงไปให้

อนึ่ง กายทิพย์เหล่านี้ ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป สลายไปได้ หรือ จุติไป  อยู่ที่การกระทำของเรา ในปัจจุบันนี้ ว่ามี การ สลาย โลภ โกรธ หลง แค่ไหน และ บำเพ็ญบารมีแบบไหน

กายในของเรา  เป็นกายซ้อนๆกัน  เป็นการ แสดงสภาวะจิตของเราในแต่ละขณะ ที่เกิดจากอวิชชา ทำให้เราสร้างกรรมทับซ้อนไปมา  กายในสามารถเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ ..เหมือนเราใส่เสื้อหลายตัว หลายชั้น อยู่ที่ว่า เสื้อตัวไหนจะเด่นชัดที่สุดในตอนนี้  กายในจะแสดงถึงกรรมของเราที่แสดงมาในช่วงเวลานั้น.. เกิดจากผลกรรมมากมายในอดีตชาติ จนถึงปัจจุบัน ของเราเอง   

 เมื่อบำเพ็ญบารมี จน โลภ โกรธ หลง หมดไป จะสลายกายทั้งหมดที่ซ้อนๆกันอยู่ สลายกรรม ตัดภพตัดชาติ   จนเหลือแต่ “กายอรหันต์” ที่อยู่ชั้นในสุด ..เป็นกายที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล เรียก”กายวิสุทธิเทพ” หรือ จะไม่มีกายเลยก็ได้ 

    จะ มี หรือ ไม่มี     หาได้มีความแตกต่างกันไม่ เพราะจิตดวงนั้น อยู่เหนือคำว่า มี และ ไม่มี  ไปแล้ว  เป็นดวงจิตที่อิสระล้วน.. สิ่งไหนควรสงเคราะห์ก็สงเคราะห์ จะปรากฏเป็นกายทิพย์พิเศษให้เห็น เพื่อสอนธรรมก็ได้..พลังแห่งพุทธะ หาได้หายไปไหนไม่

ที่มา 
มโนธาตุ  โพธิญาณ

23 ตุลาคม 2564

เรื่องจิตนี้

#ธรรมะหลวงปู่ชา สุภัทโท 

การปฏิบัติเรื่องจิตนี้…ความจริงจิตนี้ไม่เป็นอะไร มันเป็นประภัสสรของมันอยู่อย่างนั้น มันสงบอยู่แล้ว ที่จิตไม่สงบทุกวันนี้ เพราะจิตมันหลงอารมณ์
ตัวจิตแท้ๆนั้นไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติอยู่เฉยๆเท่านั้น ที่สงบ ไม่สงบ ก็เป็นเพราะอารมณ์มาหลอกลวง จิตที่ไม่ได้ฝึกก็ไม่มีความฉลาด มันก็โง่ อารมณ์ก็มาหลอกลวงไปให้เป็นสุข เป็นทุกข์ ดีใจ เสียใจ
จิตของคนตามธรรมชาตินั้นไม่มีความดีใจเสียใจ ที่มีความดีใจเสียใจนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง จิตก็หลงไปตามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์ เพราะยังไม่ได้ฝึก ยังไม่ฉลาด แล้วเราก็นึกว่าจิตเราเป็นทุกข์นึกว่าจิตเราสบาย ความจริงมันหลงอารมณ์
พูดถึงจิตของเราแล้วมันมีความสงบอยู่เฉยๆ มีความสงบยิ่งเหมือนกับใบไม้ที่ไม่มีลมมาพัดก็อยู่เฉยๆ ถ้ามีลมมาพัด ก็กวัดแกว่ง เป็นเพราะลมมาพัด และก็เป็นเพราะอารมณ์ มันหลงอารมณ์ ถ้าจิตไม่หลงอารมณ์แล้วจิตก็ไม่กวัดแกว่ง ถ้ารู้เท่าอารมณ์แล้วมันก็เฉย เรียกว่าปกติของจิตเป็นอย่างนั้น ที่เรามาปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อใหเห็นจิตเดิม เราคิดว่าจิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ แต่ความจริงจิตไม่ได้สร้างสุขสร้างทุกข์ อารมณ์มาหลอกลวงต่างหาก มันจึงหลงอารมณ์ ฉะนั้น เราจึงต้องมาฝึกจิตให้ฉลาดขึ้น ให้รู้จักอารมณ์ไม่ให้เป็นไปตามอารมณ์ จิตก็สงบ เรื่องแค่นี้เองที่เราต้องมาทำกรรมฐานกันยุ่งยากทุกวันนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ เป็นอยู่นั้น มันเป็นสักแต่ว่า “อาศัย” เท่านั้น ถ้ารู้ได้เช่นนี้ ท่านว่า รู้เท่าตามสังขาร ทีนี้แม้จะมีอะไรอยู่ก็เหมือนไม่มี ได้ก็เหมือนเสีย เสียก็เหมือนได้…

ที่มา
หลวงปู่ชา สุภัทโท หนังสือ หมวด: นอกเหตุเหนือผล

วิธีชำระล้างพลังไม่ดีในอุปกรณ์ถวายบูชาในห้องพระ

วิธีชำระล้างพลังไม่ดีจากอุปกรณ์ประกอบเครื่องบูชาให้บริสุทธิ์ด้วยการนำไปอาบแสงจันทร์ประมาณ 30 นาที 
พลังจากแสงพระจันทร์ คือพลังธาตุน้ำ จะช่วยชำระล้างพลังงานที่ไม่ดีหรือมีพลังงานพลังงานที่ไม่เหมาะสมออก ช่วยปรับเครื่องหรืออุปกรณ์บูชาให้เหมาะสมในการนำไปใช้ ให้เป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว สาธุๆๆ

สนธิสัญญาสันติภาพ

“ยิง” เสียงผู้บังคับการป้อมสั่งทหาร
ทหารก็ยิง กระสุนปืนใหญ่ตกหน้าเรือรบที่กำลังแล่นเข้ามา น้ำแตกเป็นฝอยกระจาย

วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) กองเรือรบฝรั่งเศสแล่นถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นยามเย็นโพล้เพล้ใต้แสงสุดท้ายของวัน เรือกลไฟ ฌอง บัปติสต์ เซย์ นำร่องเบิกทางให้เรือปืนแองกองสตองต์กับโกแมตรุกฆาตประเทศสยาม

อาทิตย์อัสดง หัวใจชาวสยามเต้นระทึก สงครามกำลังเกิดขึ้น
นอกจากอังกฤษที่ล่าอาณานิคมในโลกตะวันออก ฝรั่งเศสก็เป็นนักล่าตัวยง ขยายอิทธิพลมาตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๑๐

ฝรั่งเศสเข้ามาสยามอีกครั้งในยุครัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๓๙๙ ตรงกับยุคจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ ของฝรั่งเศส เป็นส่วนหนึ่งของการแผ่อิทธิพลในอินโดจีน

การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ ทำให้ฝรั่งเศสก็ต้องการเค้กชิ้นนี้ สยามเองต้องการใช้ฝรั่งเศสคานอำนาจกับอังกฤษ โดยเฉพาะเมื่อเห็นอังกฤษครอบครองพม่าได้กว่าครึ่งในปี พ.ศ. ๒๓๙๖

สยามทำสนธิสัญญาทางการค้ากับฝรั่งเศสในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๓๙๘ โดยให้มีผลบังคับใช้ในปีถัดมา

แต่ฝรั่งเศสต้องการเค้กชิ้นใหญ่กว่านั้น

ราชอาณาจักรล้านช้างในสมัยก่อนไม่มีการแบ่งแยกเป็นฝั่งซ้ายฝั่งขวา ลาวกับไทยเป็นดินแดนเดียวกัน เชื้อชาติ ศาสนา ภาษาพูด ขนบธรรมเนียมประเพณี ก็คล้ายกัน สยามปกครองแคว้นลาวเช่นประเทศราช โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายใน แต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ล้านช้างให้ปกครองกันเอง ภาคเหนือปกครองโดยหลวงพระบาง ภาคกลางปกครองโดยเวียงจันทน์ ภาคใต้ปกครองโดยจำปาศักดิ์

ความวุ่นวายเริ่มเมื่อฝรั่งเศสคิดขยายอำนาจเหนือดินแดนลาว อาศัยช่วงที่สยามไม่สามารถดูแลหัวเมืองชายแดนได้ทั่วถึง และวุ่นกับการปราบกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เช่น พวกฮ่อที่รุกจากสิบสองจุไทลงมาตีเมืองหลวงพระบางในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ฝรั่งเศสเห็นเป็นโอกาสดี ก็ส่งทหารไปช่วยขับไล่พวกจีนฮ่อในแคว้นสิบสองจุไท แล้วไม่ยอมถอนทหารกลับ มีการเจรจากันระหว่างกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศกับนายออกุสต์ ปาวี รองกงสุลฝรั่งเศสประจำนครหลวงพระบาง แต่ไม่เป็นผล

เป้าหมายแรกของฝรั่งเศสคือยึดดินแดนบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ตั้งแต่ภาคเหนือของลาวจรดชายแดนเขมร ฝรั่งเศสสร้างอิทธิพลในภูมิภาคลาว หาเหตุให้ลาวขัดแย้งกับสยาม โดยเฉพาะเมื่อนายออกุสต์ ปาวี ได้เป็นเป็นกงสุลประจำสยาม

ความขัดแย้งระหว่างสยามกับฝรั่งเศสสะสมมาเรื่อย ๆ ด้วยหลายเรื่องหลายเหตุการณ์ เช่นกรณีบางเบียน ฝ่ายสยามมีความขัดแย้งกับบางเบียน ชาวลาวในปกครองของฝรั่งเศสในเรื่องการทำแผนที่ปักปันเขตแดน จนเป็นสาเหตุให้เกิดการปะทะกันที่ทุ่งเชียงคำเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๔ สยามจับตัวบางเบียน 

นายออกุสต์ ปาวี เรียกร้องให้รัฐบาลสยามปล่อยตัวบางเบียน แต่สยามไม่ยอม

ต่อมาเกิดกรณีเมืองท่าอุเทน ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๓๕ พระยอดเมืองขวาง เจ้าเมืองคำม่วนสั่งขับพ่อค้าฝรั่งเศสสามคนจากแม่น้ำโขงตอนกลาง สองคนในนั้นคือช็องเปอนัวส์ และเอสกิโลต์ ลักลอบค้าฝิ่น นายออกุสต์ ปาวี เรียกร้องให้รัฐบาลสยามจ่ายค่าเสียหาย สยามปฏิเสธ

ไม่นานจากนั้น กงสุลฝรั่งเศสในหลวงพระบางชื่อนายมาสสี ฆ่าตัวตายเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ที่เมืองจำปาศักดิ์ การฆ่าตัวตายของมาสสีและเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นถูกโฆษณาชวนเชื่อให้เกิดการต่อต้านรัฐสยาม ใส่ร้ายว่าสยามเป็นต้นเหตุให้มาสสีตาย แล้วใช้เป็นข้ออ้างใช้มาตรการที่เด็ดขาดกับสยาม

ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสประกาศว่าดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงทั้งหมดไม่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐสยาม

หนึ่งเดือนต่อมา ฝรั่งเศสก็ส่งกองทัพเข้าไปและอ้างสิทธิครอบครองดินแดนลาว รัฐสยามขอเจรจา ฝรั่งเศสปฏิเสธข้อเสนอฝ่ายสยาม กลับส่งเรือรบ เลอ ลูแตง เข้าไปจอดหน้าสถานทูตฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ท่าทีของฝรั่งเศสแสดงชัดว่าไม่สนใจเจรจาด้วยสันติวิธี แต่เจตนาใช้เรือปืนเป็นเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์

กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการทรงเสนอให้ใช้อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศช่วยตัดสินกรณีพิพาท ขอให้สหรัฐอเมริกาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย ฝรั่งเศสปฏิเสธ ยืนกรานว่าไทยต้องยกดินแดนฝั่งซ้ายให้

ทันใดนั้นสยามก็เตรียมรับศึก ปรับปรุงป้อมต่าง ๆ ตามหัวเมืองชายทะเลตะวันออก สร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าที่แหลมฟ้าผ่า สั่งซื้อยุทธภัณฑ์เพิ่มจากต่างประเทศ ส่งทหารไปประจำที่เกาะกง แหลมงอบ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จตรวจความพร้อมด้วยพระองค์เอง

นอกจากนี้ก็จมเรือสำเภาและเรือบรรทุกหินในแม่น้ำเพื่อใช้เป็นแนว บังคับให้เรือศัตรูเดินตามเส้นทางที่กำหนด รองรับด้วยปืนใหญ่

.

ฟางเส้นสุดท้ายคือเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ พระยอดเมืองขวาง ข้าหลวงเมืองคำม่วนฝ่ายสยามถูกกล่าวหาว่าฆ่าผู้ตรวจราชการฝรั่งเศสและชาวอินโดจีนหลายคน กรณีนี้ถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อรุกรานสยาม

วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๒ กองเรือรบฝรั่งเศสแล่นถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา

ฝ่ายสยามแจ้งฝรั่งเศสว่านี่เป็นการละเมิดอธิปไตยของสยาม

ฝรั่งเศสไม่สนใจ พลเรือตรี เอ็ดการ์ อูมัน วัยห้าสิบห้า รู้ว่าสยามเตรียมการรบ ทว่าพวกเขามั่นใจในพลานุภาพฝ่ายตน

การรบอุบัติ

อาทิตย์อัสดง หัวใจชาวสยามเต้นระทึก สงครามกำลังเกิดขึ้น

ผู้บังคับการป้อมพระจุลจอมเกล้าสั่งทหารยิงเตือน

“ยิง” ปืนเตือนนัดแรกคำรามกึกก้อง เรือรบฝรั่งเศสไม่หยุด

“ยิง” ปืนเตือนนัดที่สองตามมา

เรือรบฝรั่งเศสเดินหน้าไม่หยุด คราวนี้ผู้บังคับการสั่งใช้กระสุนจริง มันตกลงในน้ำเบื้องหน้าเรือฌอง บัปติสต์ เซย์

แล้วยุทธนาวี ณ ปากน้ำเจ้าพระยาก็ระเบิด ในแสงสุดท้ายของวัน ทั้งสองฝ่ายยิงใส่กัน 

เรือปืนฝรั่งเศสจมเรือปืนฝ่ายสยามได้หนึ่งลำ แต่เรือฌอง บัปติสต์ เซย์ ถูกปืนใหญ่สยามยิงเกยตื้นที่แหลมลำพูราย 

เรือแองกองสตองต์และโกแมตอาศัยความสลัวของต้นราตรีแล่นฝ่าปราการต่าง ๆ เข้ามาได้ ทหารไทยเสียชีวิตแปดคน บาดเจ็บสี่สิบคน ทหารฝรั่งเศสเสียชีวิตสามคน บาดเจ็บสามคน

ครั้นถึงยามเช้า ทหารไทยมุ่งหน้าไปที่เรือฌอง บัปติสต์ เซย์ หมายจะจมเรือ แต่ไม่สำเร็จ ทัพฝรั่งเศสส่งเรือปืนฟอร์แฟตมาช่วย ทั้งสองฝ่ายยิงสู้กัน ฟอร์แฟตถอยกลับ

เรือแองกองสตองต์และโกแมตในสภาพถูกยิงแล่นฝ่ากระสุนไปจอดที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส ถนนเจริญกรุง

วันที่ ๒๐ กรกฎาคม แองกองสตองต์และโกแมตหันกระบอกปืนไปที่พระบรมมหาราชวัง พร้อมกับที่นายออกุสต์ ปาวี ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลสยามหกข้อ ให้ตอบภายใน ๔๘ ชั่วโมง

๑. ให้สยามเพิกถอนสิทธิเหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงและเกาะต่าง ๆ

๒. ให้สยามรื้อถอนด่านทั้งหมดบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งเดือน

๓. ให้สยามจัดการปัญหาทุ่งเชียงคำ เมืองคำพวน และจ่ายค่าเสียหายที่ฝรั่งเศสได้รับจากการรบ

๔. ให้สยามลงโทษทหารไทยที่ยิงปืนใส่เรือฝรั่งเศสที่ปากน้ำ

๕. ให้สยามชดใช้ค่าเสียหายต่อฝรั่งเศสเป็นเงินสองล้านฟรังก์

การที่เรือรบฝรั่งเศสบุกเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงเป็นภาพที่คนไทยทั้งประเทศตะลึง ราชสำนักสยามตกอยู่ในสภาวะสับสนอลหม่าน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯและสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ทรงตั้งความหวังว่าอังกฤษจะช่วยฝ่ายไทย แต่อังกฤษปฏิเสธ

ในระหว่างที่รอคำตอบจากฝ่ายไทย ฝรั่งเศสเตรียมเรือรบมาสมทบอีกเก้าลำ เรือลูแตงเข้ามาเสริมก่อน นอกจากนี้ก็มีเรือฟอร์แฟต เรือลียง เรืออาสปิก เรือวีแปร์ เรือปาแปง เรือตรียงฟังต์ เรืออาลูแอตต์ กับเรือตอร์ปิโดสองลำ ทั้งหมดได้รับคำสั่งให้มาปิดอ่าวไทย

แผนการรบของฝรั่งเศสคือทำลายกองเรือรบสยามให้สิ้นซากก่อน แล้วออกไปโจมตีป้อมต่างๆ ค่อยกลับมาปิดกรุงเทพฯอีกครั้ง

ในระหว่างการเผชิญหน้ากันของสองชาติ พระยาชลยุทธโยธินทร์ แม่ทัพเรือคนหนึ่งของกองทัพเรือสยามชาวเดนมาร์ก (ชื่อเดิม Andreas Richelieu) ทูลขอพระบรมราชานุญาตนำเรือพระที่นั่งมหาจักรี เข้าประจัญบานเรือรบฝรั่งเศส แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต เหตุผลเพราะกำลังเรือรบสยามสู้ฝรั่งเศสไม่ได้ และมีจำนวนน้อยกว่าการรบกับฝรั่งเศสในช่วงนั้น จะทำให้ฝรั่งเศสฉวยโอกาสยึดสยามเป็นเมืองขึ้น เช่นเดียวกับที่ทำกับญวน เขมร และล้านช้าง

เมื่อไม่มีชาติตะวันตกชาติใดคิดเข้ามาปรามฝรั่งเศส รัฐสยามไม่มีทางเลือก ยอมรับทุกข้อ ยกเว้นการเพิกถอนสิทธิเหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ฝรั่งเศสจึงส่งเรือรบไปที่เกาะสีชัง ปิดล้อมอ่าวไทย สยามจำต้องยอมรับเงื่อนไขของฝรั่งเศสโดยสิ้นเชิง แต่รัฐบาลฝรั่งเศสได้คืบเอาศอก ขอเพิ่มเติมเงื่อนไขคือ ขอยึดปากน้ำและเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกัน จนกว่าสยามจะชดใช้ค่าเสียหายครบถ้วน นอกจากนี้ยังให้สยามถอนกำลังทหารออกจากเมืองพระตะบองและเสียมราฐ และพื้นที่ในรัศมี ๒๕ กิโลเมตรบนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง 

สยามยอมรับเงื่อนไขที่เพิ่มเติมมาโดยไร้ทางเลือก

เหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ สิ้นสุดลงด้วยการลงนาม ‘สนธิสัญญาสันติภาพ’ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ 

สยามพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง

แต่จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย?

.

เสนาบดีพระคลังถวายรายงานว่า “จำนวนเงินในพระคลังไม่พอกับที่พวกฝรั่งเศสเรียก”

พระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่พระองค์หนึ่งตรัสว่า “ยังมีเงินถุงแดง”

เงินถุงแดงคือเงินพระคลังข้างที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเก็บสะสมไว้ เก็บไว้ในถุงแดง

สมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงมีพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนมากตั้งแต่ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ เพราะทรงค้าสำเภาเป็นการส่วนพระองค์ ครั้นครองราชย์แล้ว ก็ทรงจัดเรื่องการค้าสำเภาหลวงด้วย เป็นที่มาของเงินถุงแดง

“พระราชทรัพย์เหล่านี้สมเด็จพระนั่งเกล้าฯตรัสว่า ให้เก็บไว้เผื่อไถ่บ้านไถ่เมือง”

“มีจำนวนเท่าใด?”

“สมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงมีเงินในพระคลังข้างที่เหลือจากจับจ่ายในราชการแผ่นดินจำนวนสี่หมื่นชั่ง ทรงขอไว้หนึ่งหมื่นชั่งเพื่อสร้างวัดที่ค้างไว้ ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ เงินแผ่นดินที่ส่งต่อมานั้นมีจำนวนมากกว่าที่อ้างถึงอีกห้าพันชั่ง รวมทั้งหมดเป็น ๔๕,๐๐๐ ชั่ง”

อันเงินถุงแดงที่รัชกาลที่ ๓ ทรงเก็บไว้เป็นเหรียญเงินเม็กซิโก ด้านหนึ่งเป็นรูปนกอินทรีกางปีก เรียกว่า เหรียญนก เวลานั้นเงินเม็กซิโก เปรู รูปีของอินเดีย เป็นที่ยอมรับในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากันทั่วไปในภูมิภาค

เงินถุงแดงซื้อเอกราชให้ประเทศ

สยามจ่ายเงินให้ฝรั่งเศสสองล้านห้าแสนฟรังก์ ก้อนหนึ่งชำระผ่านธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ อีกก้อนหนึ่งชำระด้วยเหรียญนกจากท้องพระคลังจำนวน ๘๐๑,๒๘๒ เหรียญ หนักถึง ๒๓ ตัน (๑ เหรียญเม็กซิกันมีค่าเท่ากับเงินฝรั่งเศส ๓.๒๐ ฟรังก์ เทียบเท่า ๒,๕๖๔,๑๐๒ ฟรังก์) เจ้าหน้าที่ขนเหรียญนกออกจากวังทางประตูต้นสน ไปลงเรือที่ท่าราชวรดิฐทั้งกลางวันและกลางคืน

ทหารฝรั่งเศสยินดีปรีดาที่รบชนะ ขนเงินไปไซ่ง่อนจำนวนมหาศาล

บันทึกฝรั่งเศสเขียนว่า “ด้วยนายทหารฝรั่งเศสเพียง ๕๐ นาย ทหารญวน ๑๕๐ นาย และผู้เชี่ยวชาญทางปืนใหญ่อีก ๔-๕ นาย ก็สามารถยึดสยามทั้งประเทศไว้ได้สำเร็จ”

วันที่ ๓ กันยายน เรือลูแตงบรรทุกเงินจำนวนมหาศาลไปถึงไซ่ง่อน สองวันต่อมาก็เริ่มขนย้ายเงินที่กองไว้ขึ้นบก เหรียญนกมีจำนวนมากมายเกินจะนับกัน ต้องใช้การชั่งน้ำหนักแทน

เหตุการณ์ครั้งนี้ สยามเสียดินแดนครั้งใหญ่ คือราชอาณาจักรลาวเกือบทั้งหมด และสิบสองจุไทย รวมเนื้อที่ประมาณ ๑๔๓,๘๐๐ ตารางกิโลเมตร 

อังกฤษผสมโรงถ่มน้ำลายใส่คนไทยทั้งชาติ หนังสือพิมพ์ The Sketch ​ฉบับวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๓๖ ลงภาพการ์ตูนล้อเลียนกองทัพสยาม เป็นรูปทหารไทยเป็นหุ่นไม้แข็งทื่อปล่อยให้ทหารฝรั่งเศสแทงตามใจชอบ แสดงให้โลกเห็นว่าสยามเป็นลูกไก่ในกำมือของฝ่ายตะวันตกหลายปีผ่านไป แม้สยามปฏิบัติตามสัญญาหกข้อครบถ้วน ฝรั่งเศสยังไม่ยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี ธาตุแท้ของหมาป่าเผยโฉม ครั้งนี้ต้องการยึดครองจันทบุรีอย่างถาวร

รัชกาลที่ ๕ ทรงมีรับสั่งให้เสนาบดีว่าการต่างประเทศและอัครราชทูตพิเศษที่กรุงปารีส พระยาสุริยานุวัตร (เกิด บุนนาค) เจรจากับฝรั่งเศสให้ถอนทหารออกจากจันทบุรี

ฝ่ายฝรั่งเศสกล่าวว่า “เรามีทหารฝรั่งเศสแค่ ๒๕ คนรักษาเมืองจันทบุรี คนแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นการยึดครอง”

“ทหารต่างชาติหนึ่งคนในแผ่นดินของเราก็ถือว่าเป็นการยึดครอง” 

“เราต้องเสียค่าใช้จ่ายปีละสองล้านฟรังก์ปกครองจันทบุรี เราจะทิ้งค่าใช้จ่ายนี้ได้อย่างไร?”

“เราขอร้องให้พวกท่านช่วยปกครองจันทบุรีหรือ?”

“ถ้าเราไม่ไป พวกท่านจะทำอะไรหรือ?”

สยามก็ทำอะไรกับฝรั่งเศสไม่ได้จริง ๆ ในที่สุดสยามก็ถูกบีบให้ลงนามอนุสัญญา ณ กรุงปารีสวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๖ และพิธีสารลงนามวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๗ สยามยกมโนไพร จำปาศักดิ์ หลวงพระบางฝั่งขวา เมืองด่านซ้ายและเมืองตราด ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส ฝรั่งเศสจึงยอมถอนทหาร ‘๒๕ คน’ ออกจากจันทบุรี

แต่ฝรั่งเศสยังไม่สิ้นลายหมาป่า เสนอให้สยามแลกนครวัดซึ่งเป็นของสยามกับเมืองด่านซ้ายและเมืองตราด การเจรจาดำเนินต่อไป ฝ่ายสยามมีนายเอ็ดเวิร์ด สโตรเบล ที่ปรึกษาราชการ ฝ่ายฝรั่งเศสมีนายวิกเตอร์ คอลแลง เดอ ปลังซี อัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสยาม 

ในที่สุดสามารถทำข้อตกลงเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ สาระสำคัญคือสยามยอมยกเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณให้แก่ฝรั่งเศส แลกกับที่ฝรั่งเศสยกเมืองด่านซ้าย เมืองตราด และเกาะต่าง ๆ จำนวนหนึ่งคืนให้ไทย และสิทธิสภาพนอกอาณาเขตไม่มีผลหลังลงนามในหนังสือสัญญานี้

เป็นการสิ้นสุดวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ที่ยืดเยื้อมาสิบสามปี

ชาวสยามทั้งแผ่นดินยุคนั้นหลั่งน้ำตา จดจำว่าฝรั่งเศสยุคนั้นรังแกเราอย่างไร

ตลอดช่วงเวลาวิกฤตินั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯทรงพยายามแก้ไขวิกฤติการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ทั้งวิธีทางการทูต ไปจนถึงการขอความช่วยเหลือจากมหาอำนาจอื่น แต่ไม่เป็นผล การเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสียพระราชหฤทัยอย่างสุดซึ้ง น้ำพระเนตรไหล และทรงพระประชวร 

ทว่าทรงมองภาพกว้างว่า มันเป็นการเสียอวัยวะ (เมือง) เพื่อรักษาชีวิต (ประเทศ)

ตามข้อเขียนของมหาเสวกเอก พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์) : “ทรงรับสั่งเป็นเชิงปรารภว่า การเสียเขตแดนแต่เพียงเล็กน้อยตามชายพระราชอาณาจักรซึ่งเราเองก็ทำนุบำรุงรักษาให้เจริญเต็มที่ไม่ได้นั้น ก็เปรียบเหมือนกับเสียปลายนิ้วของเราไป ยังไกลอยู่ รักษาหัวใจกับตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

ทว่าทรงรู้ดีว่าหากลูกแกะไม่ทำอะไร หมาป่าได้คืบจะเอาศอกต่อไปไม่สิ้นสุด

สี่ปีหลังจากเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก เป้าหมายเพื่อหาพันธมิตรมาคานอำนาจศัตรู 

ซาร์ นิโคลาสที่ ๒ แห่งรัสเซีย

.ที่มา

จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม ๒

วินทร์ เลียววาริณ

ผู้ไม่กังวลห่วงใยอนาคตแล้ว ย่อมพ้นจากอดีตด้วย

...ตะกี้หลวงตาดูวีดีโอรายการพระพุทธเจ้ามหาศาสดา นั่งน้ำตาซึม...
ผู้หญิงสวยใส่บาตรพระ พระบอกพอแล้ว และคืนให้นางครึ่งหนึ่ง
พระเจ้าอชาตศัตรูมองเห็นอยู่ จึงเดินเข้ามาหาพระ พูดว่า 

พระเจ้าอชาตศัตรู : ขอถามหน่อยได้ใหม
พระ : ได้
พระเจ้าอชาตศัตรู : เราเห็นนักบวช บัณทิตมามาก พวกเขามีอาการตึงเครียด ไม่ปลอดโปร่งเหมือนท่าน ทำไมท่านจึงดูมีความสุขแท้
พระ : ผู้ไม่กังวลห่วงใยอนาคตแล้ว ย่อมพ้นจากอดีตด้วย
 
คำตอบนี้สิ้นลง พระเข้าชาตศัตรูมองพระ มือถอดมงกุฎจากเศียรใส่ลงบนบาตพระ 
     "เราขอฝากสิ่งนี้ถวายพุทธด้วย" 

หลวงตาขอน้อมกราบแทบบาท พระพุทธพระองค์นั้น ขอขมาที่หลวงตายังร้องไห้อยู่

- หลวงตา -

พระสยามเทวาธิราช เทพศักดิ์ดาแห่งสยามประเทศ

#พระสยามเทวาธิราช เป็นเทวรูป หล่อด้วยทองคำสูง 8 นิ้ว ประทับยืนทรงเครื่องกษัตริยาธิราช ทรงฉลองพระองค์อย่างเครื่องของเทพารักษ์ มีมงกุฎเป็นเครื่องศิราภรณ์ พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์ พระหัตถ์ ซ้ายยกขึ้นจีบดรรชนีเสมอพระอุระ 

องค์พระสยามเทวาธิราชประดิษฐานอยู่ในเรือนแก้วทำด้วยไม้จันทน์ ลักษณะแบบวิมานเก๋งจีน มีคำจารึกเป็นภาษาจีนที่ผนังเบื้องหลัง แปลว่า "ที่สถิตแห่งพระสยามเทวาธิราช" (暹國顯靈神位敬奉) เรือนแก้วเก๋งจีนนี้ประดิษฐานอยู่ในมุขกลางของพระวิมานไม้แกะสลักปิดทอง พระวิมานไม้แกะสลักปิดทองนี้ เรียกว่า พระวิมานไม้แกะสลักปิดทองสามมุข ด้านหน้าขององค์พระสยามเทวาธิราชตั้งรูปพระสุรัสวดี หรือพระพราหมี เทพเจ้าแห่งการดนตรีและขับร้อง มุขตะวันออกของพระวิมาน ตั้งรูปพระอิศวรและพระอุมา มุขตะวันตกของพระวิมาน ตั้งรูปพระนารายณ์ทรงครุฑตั้งอยู่เหนือลับแลบังพระทวารเทวราชมเหศวร์ ตอนกลางพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง
หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดการศึกษาประวัติศาสตร์ มีพระราชดำริว่าประเทศไทยมีเหตุการณ์ที่เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง แต่เผอิญให้มีเหตุรอดพ้นภยันตรายมาได้เสมอ คงจะมีเทพยดาที่ศักดิ์สิทธิ์คอยอภิบาลรักษาอยู่ สมควรที่จะทำรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นสักการบูชา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการปั้นหล่อเทวรูปสมมุติขึ้น ถวายพระนามว่าพระสยามเทวาธิราช ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งทรงธรรมในหมู่พระที่นั่งพุทธมณเฑียร ในพระอภิเนาว์นิเวศน์

หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า

"ตอนมหาอำนาจทางตะวันตกทำการเปิดประตูค้ากับพวกตะวันออก ในระยะเวลาต้น ๆ ศตวรรษที่ 19 ของคริสต์ศักราชนั้น พวกเมืองข้างเคียงไม่รู้ทันเหตุการณ์ภายนอกว่า ทางตะวันตกมีอำนาจปืนเรือพอที่จะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย จึงพากันไม่ยอมทำสัญญาด้วย ซ้ำยังขับไล่ ใช้อำนาจจนเกิดเป็นสงครามขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่คนมีแต่มีดจะต้องแพ้ผู้มีปืน แล้วถูกเป็นเมืองขึ้นไปโดยสะดวก ฝ่ายทางเมืองไทยเรานั้นมหาอำนาจตกลงกันให้อังกฤษมาเป็นผู้เปิดประตูทำสัญญาค้าขาย ซึ่งตามที่จริงก็เคยมีไมตรีกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้ว แต่เมื่อบ้านเมืองมีเหตุการณ์ศึกสงครามเกิดขึ้นชาวต่างประเทศไปมาค้าขายไม่สะดวกได้ ก็จำต้องหยุดการติดต่อกันไปเป็นพัก ๆ การเป็นเช่นนี้แก่ทุกบ้านทุกเมือง ฉะนั้น เมื่อเสร็จศึกกับพม่าในรัชกาลที่ 1 แล้ว ถึงรัชกาลที่ 2 ชาวโปรตุเกสก็เข้ามาจากเมืองมาเก๊า เพื่อขอทำสัญญาค้าขายใน พ.ศ. 2363 โปรดเกล้าฯ ให้รับสัญญาเพราะเรายังต้องการซื้อปืนไฟจากชาวตะวันตกอยู่ ต่อมาอีก 2 ปี มิสเตอร์ จอน ครอเฟิด (John Crawford) ทูตอังกฤษเข้ามาขอทำสัญญาจากผู้สำเร็จราชการอินเดียใน พ.ศ. 2365

ถึงรัชกาลที่ 3 อังกฤษเกิดรบกันขึ้นกับพม่าเป็นครั้งแรก ครั้นชนะแล้วจึงให้กัปตันเฮนรี่ เบอร์เนย์ (Henry Burney) เข้ามาทำสัญญาเมื่อ พ.ศ. 2368 ทูตอเมริกัน มิสเตอร์ เอ็ดมอนด์ โรเบิต (Edmond Roberts) เข้ามาทำสัญญาเมื่อ พ.ศ. 2375 มิสเตอร์ริดชัน (Ridson) ทูตอังกฤษเข้ามาทำสัญญาขอซื้อช้างเมื่อ พ.ศ. 2381 และเซอร์เจมส์ บรู้ค (Sir James Brooke) ผู้เคยเป็นรายา (White Raja) ผู้ครองเกาะซาราวัก (Sarawak) เข้ามาขอทำสัญญาอีกเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2393 ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เสด็จสวรรคต รวมทูตอังกฤษที่เข้ามาทำสัญญากับเมืองไทยถึง 4 ครั้ง แต่ก็ได้ทำแต่เรื่อง เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเรื่องผ่านแดนไทยกับพม่า และสัญญาซื้อขายช้าง ม้า และแลกเปลี่ยนสินค้าบางอย่าง ไม่ได้ทำสัญญากับเมืองไทยโดยตรงอย่างเมืองอื่น ๆ ส่วนทางเมืองไทยก็ยังไม่มีใครเชื่อว่าจะมีผู้ใดจะเกะกะทางนี้ได้ บางคนนึกเลยไปว่าเหล็กจะลอยน้ำได้อย่างไร ในเมื่อมีใครมาเล่าว่าทางมหาอำนาจตะวันตกนั้นมีเรือรบที่ทำด้วยเหล็ก ไทยจึงไม่เต็มใจจะเปิดประตูค้ากับผู้ใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่รับข้อที่จำเป็นในเวลานั้นเท่านั้น แต่ในที่สุดเราก็ได้พบรายงานของเซอร์เจมส์ บรู๊ค ผู้ซึ่งเข้ามาครั้งสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 ว่า

‘..พระเจ้าแผ่นดินกำลังเสด็จอยู่บนพระแท่นสวรรคต และพระองค์ที่จะเสวยราชย์ใหม่ก็มีหวังจะพูดกันได้เรียบร้อย ฉะนั้น จึงขอรอการใช้กำลังบังคับไว้ก่อน...’

ตามรายงานนี้เห็นได้ชัดว่า เขาเตรียมจะใช้กำลังกับเราอยู่แล้ว เผอิญให้เกิดมีการสวรรคตและเปลี่ยนแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นมาเสวยราชย์ในเวลาที่ทรงทราบเหตุการณ์นอกประเทศดีอยู่แล้ว เพราะทรงมีเวลาศึกษาเพียงพอ ในเวลาที่ผนวชเป็นพระภิกษุถึง 27 ปี พอเสวยราชย์ได้ 4 ปี เซอร์จอน โบว์ริง (Sir John Bowring) เจ้าเมืองฮ่องกง ก็มีจดหมายส่วนตัวเข้ามากราบทูลว่า คราวนี้ตัวเขาจะเข้ามาเป็นราชทูตแทนพระองค์ควีน วิคตอเรีย ไม่ใช่เป็นแต่เพียงทูตมาจากผู้สำเร็จราชการอินเดียเช่นคนก่อน ๆ เพราะฉะนั้นจึงหวังว่าจะไม่มีเรื่องเดือดร้อนถึงต้องขัดใจกัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบข้อไขอันนี้ดี จึงเปิดประตูรับในฐานะมิตร และเป็นผลให้เราได้พ้นภัยมาได้แต่ผู้เดียวในทางตะวันออกประเทศนี้

เมื่อเหตุการณ์เรียบร้อยแล้ว ทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยเรานี้มีเหตุการณ์หวิด ๆ จะต้องเสียอิสรภาพมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เผอิญให้มีเหตุรอดพ้นได้เสมอมา ชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งที่คอยพิทักษ์รักษาอยู่ จึงสมควรจะทำรูปเทพพระองค์นั้นขึ้น ไว้สักการบูชา แล้วโปรดให้พระองค์เจ้าดิษฐวรการ (หม่อมเจ้ารัชกาลที่ 1) นายช่างเอกทรงปั้นรูปเทพพระองค์นั้น เป็นรูปทรงต้นยืนถือพระขรรค์ในพระหัตถ์ขวา ขนาด 8 นิ้วฟุตงดงามได้สัดส่วนแล้วหล่อด้วยทองคำแท่งทั้งพระองค์ ทรงถวายพระนาม "พระสยามเทวาธิราช" แล้วประดิษฐานไว้ในพระวิมานกลางพระที่นั่งไพศาลทักษิณจนทุกวันนี้ ท่านผู้ใหญ่ชั้นคุณย่าของข้าพเจ้าเล่าว่า ในรัชกาลที่ 4 ทรงถวายเครื่องสังเวยเป็นราชสักการะทุกวัน และเป็นที่นับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก บัดนี้เนื่องแต่ทางพระราชสำนักต้องตัดทอนรายจ่ายมากมายมาแต่ในรัชกาลที่ 7 จึงคงยังมีเครื่องสังเวยถวายแต่เฉพาะวันอังคาร และวันเสาร์ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง และในเวลาปีใหม่ก็มีการบวงสรวงสังเวยเป็นพิธีใหม่ มีละครรำของกรมศิลปากรในเวลาเช้าวันสังเวยนั้น..

..อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ต่าง ๆ ดังเราท่านได้ประสบมาด้วยตนเอง ยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นว่าพระสยามเทวาธิราชนั้นมีจริง เราจงพร้อมใจกันอธิษฐานด้วยกุศลผลบุญที่เราได้ทำมาแล้วด้วยดี ขอให้เทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์พระองค์นี้ จงได้ทรงคุ้มครองป้องกันภัย และโปรดประสิทธิ์ประสาทความสมบูรณ์พูนสุขให้แก่ประชาชนชาวสยามทั่วกันเทอญ..

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเครื่องสังเวยเป็นราชสักการะเป็นประจำวัน เครื่องสังเวยที่ถวายเป็นประจำนั้น จะถวายเฉพาะวันอังคาร และวันเสาร์ก่อนเวลาเพล โดยจะมีพนักงานฝ่ายพระราชฐานชั้นใน เป็นผู้เชิญเครื่องตั้งสังเวยบูชา เครื่องสังเวยประกอบด้วย ข้าวสุกหนึ่งถ้วยเชิง หมูนึ่งหนึ่งชิ้น พร้อมด้วยน้ำพริกเผา ปลานึ่งหนึ่งชิ้นพร้อมด้วยน้ำจิ้ม ขนมต้มแดงและขนมต้มขาว กล้วยน้ำว้า มะพร้าวอ่อนหนึ่งผล ผลไม้ตามฤดูกาลสองอย่าง และน้ำสะอาดอีกหนึ่งถ้วย โปรดเกล้า ฯ ให้จัดพระราชพิธีสังเวยเทวดา ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเลียนแบบพระสยามเทวาธิราชแต่แปลงเค้าพระพักตร์ให้เหมือนสมเด็จ พระชนกาธิราช เพื่อทรงสักการะ พระบรมรูปองค์นี้ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

ต่อมาในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า พระอภิเนาว์นิเวศน์พระพุทธมณเฑียร และพระที่นั่งทรงธรรม ซึ่งเป็นโครงสร้างเสาไม้หุ้มปูน ที่ได้สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ชำรุดทรุดโทรมลงมาก ยากที่จะบูรณะให้คงสภาพเดิมไว้ได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อลงทั้งหมด และอัญเชิญพระสยามเทวาธิราชไปประดิษฐานไว้ ณ พระวิมานทองสามมุขเหนือลับแลบังพระทวารเทวราชมเหศวร์ ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ตราบจนถึงทุกวันนี้

พระราชพิธีบวงสรวงใหญ่พระสยามเทวาธิราช ตามประเพณีกำหนดไว้ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี อันเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติแบบโบราณ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เสด็จแทนพระองค์มาทรงถวายเครื่องสังเวยเป็นราชสักการะพระสยามเทวาธิราช และมีละครในจากกรมศิลปากรรำถวาย

เมื่อครั้งฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ระหว่างวันที่ 7 - 30 เมษายน พ.ศ. 2525 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระสยามเทวาธิราชจากพระวิมานในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ขึ้นเสลี่ยงโดยประทับบนพานทอง 2 ชั้น สู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ประดิษฐาน ณ บุษบกมุขเด็จ เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวง ในวันพุธที่ 7 เมษายน 2525 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สาธุชนเข้าถวายสักการะพระสยามเทวาธิราชหลังเสด็จฯ กลับ จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2525 นับเป็นครั้งแรกที่ประชาชนมีโอกาสได้เข้าถวายสักการะพระสยามเทวาธิราชเฉพาะพระพักตร์

การก่อสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม

_________________________________
พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงกังวนพระราชหฤทัยยิ่งข้อหนึ่งก็คือ นายช่างที่จะทำการก่อสร้าง ทั้งนี้เนื่องจากแต่แรกที่เดียวทรงพระราชดำริที่จะสร้างพระที่นั่งอันเป็นท้องพระโรงองค์ใหม่นี้ตามสถาปัตยกรรมไทยแบบขนบโบราณ แต่มีข้อติดขัดอยู่ว่า นายช่างที่มีฝีมือถึงขนาดอันอาจจะทำการฉลองพระเดชพระคุณได้ตามพระราชประสงค์ มีเพียงพระยาราชสงคราม (กรหงสุล) ผู้เดียวเท่านั้น ทรงวิตกว่า การจะไม่เป็นไปโดยตลอดลอดฝั่ง ก็จะกลับเป็นการเสียพระเกียรติยศไปในนามประเทศ จำเป็นจะต้องจ้างช่างฝรั่งจากต่างประเทศเข้ามาช่วยทำการ ความกังวลพระราชหฤทัยข้อนี้ ได้เคยมีพระราชกระแสรับสั่งกับเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ในระหว่างเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทครามหนึ่ง เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้บันทึกพระราชกระแสไว้ว่า 

“พระองค์ทรงแสดงพระราชโทมนัสมาก ถึงแก่รับสั่งว่า ต่อไปข้างหน้าเขาคงพากันติอินว่า สมัยพระจุลจอมเกล้าฯนี้ ช่างโปรดตึกฝรั่งเสียจริงๆ” 

(ประกาศกระทรวงวัง ให้เรียกนามพระที่นั่งที่จะสร้างขึ้นใหม่ที่วังสวนดุสิต ว่าพระที่นั่งอนันตสมาคม)​
_________________________________ 

พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นท้องพระโรงของพระราชวังดุสิต ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งอัมพรสถาน เป็นพระที่นั่งใหญ่ที่สร้างเป็นองค์สุดท้ายของพระราชวังนี้ กล่าวคือ สร้างหลังจากเริ่มสร้างพระราชวังดุสิตมา 10 ปี ในปี พ.ศ.2451 เป็นพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสร้างอย่างหรูหราที่สุดในรัชกาลที่ 5 ใช้เวลาสร้างกว่า 8 ปี จนสำเร็จสมบูรณ์ในปีพ.ศ.2459 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ออกแบบและก่อสร้างโดยคณะวิศวกรสถาปนิกอิตาเลียนของกรมโยธาธิการ นำโดยคาร์โล อัลเลอกรี วิศวกรใหญ่ มาริโอ ตามานโย และแอนนิบาลเลริกอตตีเป็นสถาปนิก เขียนแบบตามกระแสพระบรมราชโองการ 

ดังนั้นการที่มีผู้เขียนต่างๆ กล่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดตั้งแต่แรกจะให้เป็นแบบไทยนั้น น่าพิจารณาดูว่าเป็นไปได้เพียงไร และถ้าเป็นดังนั้น “อาคารแบบไทย” ที่ไม่ได้สร้างนั้น จะเข้าได้กับพระที่นั่งอื่นในพระราชวังดุสิตได้เพียงไร 

(สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยามสมัยรัชกาลที่ 4 - พ.ศ.2480 / สมชาติ จึงสิริอารักษ์)

เพียงจิตถึง...ลงยันต์ได้ทุกจุดได้...ทั่วโลก

🌼คราวหนึ่งมีคุณยายได้เข้าไปกราบนิมนต์หลวงพ่อโอภาสี ให้ท่านไปเจิมหน้าจั่วที่บ้านของคุณยาย
🌼หลวงพ่อโอภาสี ท่านได้หยิบกระดานชนวนขึ้นมาแล้วเขียนอักขระ จากนั้นก็โยนกระดานชนวนนั้นลงไปในกองไฟ แล้วกล่าวว่า

"ทำให้แล้ว"

🌼เมื่อคุณยายกลับถึงบ้าน ปรากฏว่าที่หน้าจั่วของบ้านมีอักขระยันต์ตัว "อ" ตามที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ โดยที่หลวงพ่อไม่ต้องเดินทางมาแต่อย่างใด

หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด

Cr.SaRaN WiKi

ลืมคิดไปว่า.."เราต้องตาย"

#ยามที่เรายังมีชีวิต 
สิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตมากที่สุด คือ เงิน
เงินสามารถหล่อเลี้ยงเราให้มีความสุขในทุกๆด้าน หากปราศจากเงินคงยากที่เราจะสามารถดำรงชีวิตสืบต่อไปได้

#หลายคนจึงเสาะแสวงหาทรัพย์กัน หาตั้งแต่หนุ่มสาว จนเจริญวัย และล่วงเข้าสู่วัยชรา บางคนก็ยังดิ้นรนอยู่ 

ทุกคนทราบดีว่า...เงินสำคัญเพียงใด ไม่เฉพาะตนเพียงคนเดียว แต่ยังสำคัญต่อครอบครัว และคนที่เรารัก

จนลืมคิดไปว่า..
"เราต้องตาย"

🟢 #เมื่อหาเงินจนกายแตกทำลายลงไป ทุกอย่างที่หามาได้นั้น.. #ดุจดั่งความว่างเปล่า

ทั้งทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ 

🟢 #หลับตาเพียงวูบเดียวเหมือนหน้าจอทีวีดับลงชั่วนิรันดร์ 

#ชีวิตหลังความตายนั้น #เป็นของน่ากลัว ที่เราไม่สามารถพกเงินเพื่อไปซื้อสิ่งมี่ต้องการได้

ถ้าเราหิวโหยตอนมีชีวิต ยังพอจะหาซื้อมาได้ 

แต่ตอนตายแล้ว เราต้องพึ่ง

สิ่งที่เรียกว่า "บุญ" #เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

🟢 #บุญนั้นเป็นที่พึ่งพิงได้จริง ไม่ว่ายามเราเป็นหรือตาย บางดวงจิตไร้บุญเร่ร่อน เป็นสัมภเวสี อาศัยรอญาติมิตรอุทิศไปให้

เราอาจจะร่ำรวย หรือมีทรัพย์เพียงพอต่อการใช้จ่ายดำรงชีวิตในชาตินี้ 
#แต่เราอาจจะเป็นคนที่ยากจนข้นแค้นเมื่อเราตายลงไป

🟢 #อย่าลืมที่จะสร้างบุญกุศลให้งอกงามขึ้น #ก่อนที่ตัวเราเองจะไม่เหลืออะไรเลย
#มีติดตัวเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น และใช่ว่าญาติมิตรจะอุทิศให้เราได้ตลอด

เมื่อเรามีเงินของตนเองแล้ว ควรจะมีบุญของตนเองบ้าง "อย่าลืมว่าหลังจากใช้เงินต้องใช้บุญด้วย"

วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๖.๓๖ น. :- การบรรยายธรรมจากการกราบสมเด็จองค์​ปฐม​ในสมาธิ

บันทึกธรรมโดย ธรรมรัตน์

22 ตุลาคม 2564

21 ตุลาคม วันพยาบาลแห่งชาติ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี บุคคลสำคัญของโลก

21 ตุลาคม วันพยาบาลแห่งชาติ

วันที่ 21 ตุลาคม เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในฐานะที่พระองค์ท่านทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการพยาบาล และตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจในการพัฒนาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา และด้วยพระวิริยะอุตสาหะ นำสิริสุขแก่ปวงชนทุกก้าวพระบาทที่เสด็จไปถึง สมควรเป็นแบบอย่างแก่ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล ให้ตระหนักในภารกิจของวิชาชีพแห่งตนว่าเป็นงานบริการสุขภาพที่มีความสำคัญ และมีคุณค่าแก่สังคม

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าวแล้วนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี ให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันพยาบาลแห่งชาติ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2533 สภาการพยาบาล และสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในนามของพยาบาลและผดุงครรภ์ทั้งประเทศถือเป็นสิริมงคลอันสูงยิ่ง และได้ร่วมกันจัดงานวันพยาบาลแห่งชาติ ในวันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีนับแต่นั้นเป็นต้นมา

การจัดงานวันพยาบาลแห่งชาติ ได้จัดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 21 ตุลาคม 2533 โดย สภาการพยาบาล ร่วมกับสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ ในฐานะตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ในประเทศไทยทุกคน เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี การจัดงานวันพยาบาลแห่งชาติในครั้งนั้น สภาการพยาบาลได้จัดทำกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย การจัดเดินเทิดพระเกียรติ การให้บริการตรวจสุขภาพ และให้คำปรึกษาด้านสุขภาพแก่ประชาชน การประชุมวิชาการ และพิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ให้ได้รับรางวัลพยาบาลดีเด่นในสาขาต่างๆ และได้จัดงานประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลพยาบาลดีเด่น เป็นประจำต่อเนื่องกันมาทุกปี จนถึงปัจจุบัน และยังได้กำหนดให้ใช้ ดอกปีบ เป็นสัญลักษณ์ของพยาบาลไทย ตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา

คําขวัญวันพยาบาลแห่งชาติ

การจัดกิจกรรมวันพยาบาลแห่งชาติของทุกปี ได้รับความร่วมมือและความสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่งจากสมาชิกพยาบาลและผดุงครรภ์ทั่วประเทศ เนื่องเพราะพยาบาลทุกคนต่างร่วมกันตั้งปณิธานที่จะปฏิบัติภารกิจตามรอยเบื้องพระยุคลบาทตลอดไปสมกับคำขวัญ วันพยาบาลแห่งชาติที่ว่า

การพยาบาลก้าวไกล เพราะน้ำใจเหล่าพยาบาล เสียสละและบริการ ตามปณิธานสมเด็จพระบรมราชชนนี

 

สัญลักษณ์ของพยาบาลไทย

ดอกปีบ เป็นสัญลักษณ์ของพยาบาลไทย เพราะมีสีขาว กลิ่นหอม เปรียบกับพยาบาลในชุดสีขาวผู้พร้อมที่จะประกอบคุณงามความดี ประดุจกลิ่นหอมของดอกปีบ เป็นไม้ยืนต้น ขึ้นได้ในที่ดินแห้งแล้ง ใช้เป็นสมุนไพรได้อีกด้วย

วัตถุประสงค์หลักการจัดงานวันพยาบาลแห่งชาติ

  1. เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในฐานะที่พระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวิชาชีพการพยาบาล
  2. เพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลได้ตระหนักและสำนึกในหน้าที่ เยี่ยงพระกรณียกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติเสมอมา
  3. เพื่อเป็นการเดินตามรอยพระบาทในการสร้างสรรค์สุขภาพดีถ้วนหน้าให้แก่ประชาชน
  4. เพื่อเป็นศูนย์รวมความสามัคคีของพยาบาลทั่วประเทศ

กิจกรรมวันพยาบาลแห่งชาติ

จัดกิจกรรมเพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน และย้ำเตือนให้ผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาลได้ตระหนักและสำนึกในหน้าที่ของตน มอบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับพยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี


๒๑ ตุลาคม
“ผู้หญิงคนนี้” เกิดในยุคที่ยังไม่มีนามสกุล
กำพร้าพ่อตั้งแต่ ๓ ขวบ
กำพร้าแม่เมื่ออายุได้เพียง ๙ ขวบ 
“ผู้หญิงคนนี้”
จำต้องอาศัยนามสกุลผู้อื่นใส่หลังชื่อในหนังสือเดินทาง เมื่อได้รับคัดเลือกไปเรียนพยาบาลต่างประเทศ

“ผู้หญิงคนนี้”
มีชีวิตครอบครัวอันแสนอบอุ่นอยู่ได้เพียง ๙ ปี (พ.ศ. ๒๔๖๓– ๒๔๗๒) ก็ต้องสูญเสีย “เสาหลัก” ของชีวิตไปเมื่ออายุเพียง ๒๙ ปี และต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูลูกๆ ๓ คน ตามลำพัง บนแผ่นดินที่ไม่ใช่บ้านเกิด

"ผู้หญิงคนนี้" 
ต้องแบกรับภาระที่ไม่เคยคาดคิดหรือเตรียมการ
เป็น “แม่” ของพระเจ้าแผ่นดิน ที่พระชนมายุเพียง ๙ พรรษา แต่

เพียง ๑๒ ปี กับ ๙๙ วัน ผู้หญิงที่เป็น “แม่” ของพระเจ้าแผ่นดินผู้นี้ก็ต้องประสบความสูญเสียครั้งใหญ่หลวงในชีวิตเมื่อ “ลูก” ซึ่งมีพระชนมายุเพียง ๒๐ พรรษาจากไปอย่างไม่ได้คาดคิด เมื่อ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙

และยังต้องแบกรับภาระเป็น “แม่” ของพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อมาขณะที่พระชนมายุเพียง ๑๙ พรรษา

“ผู้หญิงคนนี้” 
ตรากตรำงานหนักไม่เคยหยุดหย่อน เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขผู้คนในประเทศนี้ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส และห่างไกลทุรกันดาร ตลอดแผ่นดินที่ ๙

เพียงแต่ “แม่” ผู้นี้
ไม่ต้องทนรับทุกข์โทมนัสกับความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต อีกครั้ง 
เมื่อ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙

“ผู้หญิงคนนี้” 
คือสามัญชนที่เป็น “แม่” ของพระเจ้าแผ่นดินถึงสองพระองค์
คือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บุคคลสำคัญของโลก
คือ “สมเด็จย่า” “แม่ฟ้าหลวง” ของปวงไทย

Cr.Duke Rangson

การที่ใครคนนึงจะมารักเราสักคนนั้น #ย่อมเกิดจากบุญกุศลที่ร่วมสร้างกันมาแต่กาลก่อน

ในวันนี้เขาอาจจะรักเรา
แต่อนาคต... #ย่อมหาความเที่ยงแท้อะไรมิได้
เพราะว่าคนทุกคนนั้น #ล้วนเป็นไปตามกรรม
สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ 

..เขารักเราได้ เขาก็สามารถเหวี่ยงเราลงได้เช่นเดียวกัน..

#เพราะที่ใดที่มีรัก มีสุขสรรเสริญ 
#ที่นั่นย่อมมีทุกข์ภัยรอคอยอยู่เสมอ

🟢 #ให้รักกันด้วยปัญญา พึ่งพาอาศัยกันด้วยความเมตตา 
เพราะถ้ารักกันด้วยเปลือกนั้นยากที่จะหารักที่มีความจีรังยั่งยืนได้

#สิ่งสำคัญคือ..
#เราควรรักตัวเองเป็นลำดับแรก การรักตัวเองไม่ใช่เห็นแก่ตัวจนเกินไป #เรารักตัวเองโดยไม่เบียดเบียนใคร

เมื่อรักตนเองแล้ว
เราก็สามารถแผ่กว้างความรักไปยังบุคคลอื่นต่อไปได้

#และไม่คาดหวังหรือบีบบังคับคนที่เรารักมากจนเกินไป #ให้ถ้อยทีถ้อยอาศัย คบกันด้วยมิตรภาพที่ยั่งยืนดีกว่า

🟢 เพราะแต่ละคนนั้น #ล้วนมีที่มาแตกต่างกัน ทั้งการเลี้ยงดู ฐานะ และความคิดความอ่านทั้งหลาย #ย่อมมีอัตตาตัวตนที่ต่างกันออกไป

สิ่งสำคัญคือ เมื่อเราได้มาอยู่ร่วมกันนั้น เราสามารถที่จะยอมรับนิสัยของอีกคนได้มากน้อยเพียงใด 

ถ้ายอมรับด้วยความเสียมิได้ หรืออารมณ์ มากเข้าจะเกิดความอดทนไม่ไหว

แต่ถ้ายอมรับและมองด้วยความเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น 
#ความรักนั้นจึงจักยืนนาน

🟢 การที่ใครคนนึงจะมารักเราสักคนนั้น #ย่อมเกิดจากบุญกุศลที่ร่วมสร้างกันมาแต่กาลก่อนทั้งสิ้น

อย่าลืมพาบุคคลที่ท่านรัก ไปสร้างความดีงามทำบุญตักบาตร สร้างทาน ศีล ภาวนา ร่วมกัน 

#ความรักเช่นนี้จักยืนยาวกว่า และเป็นการต่อบุญต่อกุศลร่วมกัน 

หากกระทำได้มากพอจะทำให้ความรักที่มีต่อกันยืนยาวมากยิ่งขึ้นด้วยผลของบุญกุศล

วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๖.๕๙ น. :- การบรรยายธรรมจากการกราบสมเด็จองค์​ปฐม​ในสมาธิ

บันทึกธรรมโดย ธรรมรัตน์

#ความรู้ความเข้าใจในหลักพุทธศาสนา#คีอานูรีฟ/นักแสดงฮอลลีวูด


"...ในขณะที่ผมไปเนปาลเพื่อลองชุด
ที่ต้องใช้ในการถ่ายทำ
ผมก็ได้พบท่านอาจารย์
ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสนาพุทธ
ผมได้คุยกับท่านอยู่หลายครั้ง
ท่านสอนผมให้ฝึกร่างกาย
เพื่อให้เข้าถึงสมาธิ
และท่านสอนผมว่าทำอย่างไร
จึงจะละวางตัวตนได้หมดไป
ท่านบอกผมว่า จงอย่าเชื่อในสิ่งที่ท่านพูด
ท่านให้ผมคิดทุกอย่างที่ได้ฟังมา
ทดสอบกับสิ่งที่ผมเคยรู้
เพื่อให้ผมรู้ได้ด้วยตัวเองว่า
มันเป็นอย่างนั้นหรือไม่
นั่นคือ "ศาสนาพุทธที่แท้จริง"
มันไม่ใช่แค่ "การศรัทธาแล้วก็เชื่อ"
มันเป็นความโดดเด่นของศาสนานี้
มันไม่ใช่การเกลี้ยกล่อม
ให้เปลี่ยนความเชื่อ
หรือชักชวนให้เปลี่ยนศาสนา
พระไม่ได้บอกคุณว่า...
"เฮ้ ปาวารณาตนเข้ามา แล้วฉันจะให้รางวัลคุณนะ
แต่เขาบอกคุณว่า...
เขาได้ชี้ทางให้คุณแล้ว
ให้คุณลองคิดดู
และนี่มันทำให้ผมสนใจศาสนานี้
เพราะว่าพุทธ เป็นศาสนาที่ศึกษาเกี่ยวกับ"ความจริง"
หลักธรรมอย่างแรกที่ต้องรู้คือ
ความจริงสี่ประการ (อริยสัจ4)
เกี่ยวกับ ทุกข์
สาเหตุแห่งทุกข์
หนทางดับทุกข์
และวิธีพ้นไปจากทุกข์
ศาสนาพุทธ เชื่อในการปล่อยวาง ตัวของเรา
ซึ่งก็คือ อีโก้(ego)
พุทธนั้นสอนว่า...
สิ่งที่เรานึกว่ามันเป็น "ตัวเรา"นั้น
ที่แท้มัน "ไม่มีอยู่จริง"
พุทธบอกให้เรามองสิ่งที่เกิดบนโลกนี้
ในรูปแบบของความจริง (Fact)
ที่เรียกว่า กรรม (Karma)
ซึ่งขึ้นกับ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ซึ่งทั้งหมดจะรวมกันเป็น กรรม
ที่หมายถึงการรับผิดชอบ ต่อชีวิตของคุณเอง
เมื่อเรามีทุกข์ เรามักหาที่พักพิง
สิ่งที่เราใช้กันประจำคือ เหล้า เซ็กส์ ยา
อำนาจหรือเงินตรา
แต่ในที่สุด มันก็ไม่ยั่งยืน
จนเราไม่รู้ว่า อะไรคือ"ความสุขที่แท้จริง"กันแน่
ในปรัชญาแห่งพุทธ ที่พึ่งที่ดีที่สุดคือ...
พระรัตนตรัย ซึ่งประกอบไปด้วย
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธ คือองค์พระศาสดา
ผู้เปรียบเหมือนนายแพทย์
ที่ค้นพบวิธีพ้นทุกข์
พระธรรม คือตัวยา
ที่จะฆ่าเหตุแห่งทุกข์ออกไปจากเรา
และ พระสงฆ์ คือคณะแพทย์
ที่รู้ว่าเราเหมาะกับยาใด
เรียนรู้พระรัตนตรัย
จะทำให้เราพบกับความสุขที่ยั่งยืน"
บทสัมภาษณ์ คีอานู รีฟ
  
ทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับกับแนวคิดนี้ครับผม
_____________________________
ที่มา : นิตยสาร ซีเคร็ท
https://i-d.vice.com/en_uk/article/597a93/keanu-reeves-achieved-nirvana-in-the-90s
#KEANUREEVES
#สวนธรรมเพียงรู้
Cr.ข้อมูล,ภาพ

หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ ปัจฉิมบท..คำสอนหลวงปู่...

***. หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ 
 ปัจฉิมบท..คำสอนหลวงปู่...
* ผู้ได้พบเจอหลวงปู่เทพโลกอุดร 

“ใครที่ได้พบเจอหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้น ถือว่าเป็นผู้มีบุญมาก เพราะท่านอยู่เหนือโลก อยู่นอกเหนือความแก่ ความตาย จะสามารถแปลงเป็นอะไรก็ได้ จะแปลงเป็นหนุ่ม เป็นแก่ เป็นเด็ก หรือเป็นแมลงอะไรก็ได้ หรือจะไปไหนก็ได้”

  *มนุษย์กายสิทธิ์ 

 “คนเรานั้น มีที่โดดขึ้น โดดลง สวรรค์..โดยบ่อต้องใช้ร่ม (ไปด้วยกายเนื้อ) มีไม่น้อย ที่ยังมีชีวิตเป็นๆ อยู่เนี่ยนะ แต่เขาเหล่านั้นมีนิสัยไม่ยุ่งเกี่ยวกับนิสัยมนุษย์ คือไม่ข้องอยู่ในโลกธรรม ๘ ให้ลูกทำดีเข้าไว้นะ ทาน ศีล ภาวนา เป็นคนดีอย่างนั้นเนี่ยหนา ถึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ผู้กายสิทธิ์ มนุษย์ที่ศักดิ์สิทธิ์”
 
* การขุดให้ถึง-การเดินให้สุด

   ..” เอาทานศีลภาวนาและประพฤติ รักษาพรหมจรรย์ของเราให้ไพบูลย์ จะทำให้จิตของเราสำเร็จอักษร สร้างกรรมฐานให้แก่กล้า จะได้รับมรรคผลโดยเร็ว อาจจะได้ตรัสรู้ เพื่อสืบสายศากยะบุตรหรือประวัติศาสตร์ของมหาบุรุษ ผู้ฉลาดรอบรู้ เป็นนักปราชญ์ชั้นเยี่ยม เหมือนที่ว่าขุดบ่อ มันจะออกน้ำ ถ้าไม่ถึงกำหนดมันก็น้ำไม่ออก เดินไม่สุด คือเดินน้อยๆ ถ้าเดินไม่หยุดยั้งฉันใด คือปราชญ์ผู้ฉลาด จะเดินให้สุด ทานดี ศีลดี ภาวนาดี  

*..๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์..ที่สั้นที่สุด..

  ในอดีตกาล ในโอกาสทำบุญใหญ่ ณ พระธาตุพนม ได้มีการจัดการแข่งขัน โดยให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร เทศน์คำสอนในพระไตรปิฎกทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ว่าใครที่เทศน์ใช้เวลาได้สั้นที่สุดเป็นผู้ชนะ ทุกองค์ต่างย่นย่อให้สั้นมาเรื่อยๆ..สุดท้าย มีสามเณร เดินขึ้นแท่นธรรมมาสน์ สามเณรจึงเริ่มเทศน์ว่า “ อด ! เอวัง ด้วยประการละฉะนี้ ” แล้วเดินลงมา ผู้ที่ชนะคือสามเณรรูปนั้น ...(สามเฌรรูปนั้น..คือ...) ..อด .ภาษาอีสาณ.คือ.. อดทน..

 
*..ธรรมโพธิสัตว์
บุคคลที่ถึงธรรมนี้ของพระโพธิสัตว์นั้น ท่านจัดว่าเป็นปรมัตถะปารมี หลังจากนั้นก็เทวดา หรือพระอินทร์เชิญขึ้นไปเบื้องบนสวรรค์มอบราชสมบัติให้ เสวยราชสมบัติอยู่เมืองดาวดึงส์ ได้ ๗ วันเท่านั้น เพราะว่า เพราะเมืองสวรรค์ ของสวรรค์เป็นของทิพย์  

ตัวเราที่สร้างกุศล มีรักษาศีลบารมีเพื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า จนกว่าเราจะได้รับพระพยากรณ์ รีบๆ ทำไป เมื่อ ชาตินี้หมดชาตินี้ ก็ไปชาติหน้าไป ทำอย่างนี้แหละที่ไม่ถอย เอาสังขารบูชาพระรัตนตรัยไปเลย ไม่ใช่ว่าปรารถนาแล้วโอ๊ย ! ไม่ค่อยเอา ... อีกอย่างหนึ่ง ที่ยังไม่ได้รับพระพยากรณ์ ไม่ย่อท้อ จนกว่าว่าเราจะ เห็นหน้าองค์พระพุทธเจ้า ค่อยเป็นปรมัตถะปารมี 
  
* ธรรม กรรมฐาน 

  ...กรรมฐานต้องเบื่อ ถ้าไม่เบื่อไม่ใช่กรรมฐาน
....ตัดความโลภ จะเป็นผู้มีลาภ...ตัดความโกรธ..จะเป็นผู้มีศีล...ตัดความหลง จะเป็นผู้มีปัญญา
.....ข้ามไฟสามกอง ยิงนกหกตัวก็จบ" ไฟสามกองคืออะไร ก็คือไฟโกรธ ไฟโลภ ไฟหลง ยิงนกหกตัว ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยิงให้มัน ตายจากกิเลส  

       
.... ลูกนามมะโน ผู้น้อยยังด้อยปัญญา หากลงบทความ ที่ ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ขอน้อมกราบขอขมาหลวงปู่ ขอโปรดเมตตา อดโทษให้ลูกด้วยเทอญ..ลูกขอกราบโมทนาในมหาบารมีหลวงปู่ทุกภพทุกชาติด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ.

                                        (จบบริบูรณ์)

ที่มา 
มโนธาตุ โพธิญาณ

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...