"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 4 (ตอน 1 )
...ผมเคยไปจำพรรษาที่วัดท่าซุง ปี ๒๕๑๘ – ๒๕๒๐ (๒ พรรษา) จากนั้นผมก็กลับมาอยู่วัดมหาธาตุ
พอทราบข่าวว่าที่วัดท่าซุงมีการสอนมโนมยิทธิปลายปี ๒๕๒๑ จึงไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๒๒
ฝึก ๒ วันจึงได้ วันที่ได้คือวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๒ (วันที่ฝึกได้นี่ผมจำได้เลย)
จากนั้นผมก็ปฏิบัติแบบมโนมยิทธิเรื่อยมา จนกระทั่งหลวงพ่อ (พระราชพรหมยาน) อนุญาตให้ผมสอนวิชานี้ได้
และได้เปิดสอนอยู่ที่วัดมหาธาตุ (ที่กรุงเทพฯ) ประมาณ ๑ ปี
...ต่อมาก็มีเหตุการณ์ที่ผมอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง ถึงคุณวิเศษของมโนมยิทธิ
ให้ผู้ร่วมฝึกมโนมยิทธิเห็นคุณค่าของวิชานี้
อย่าได้ทอดทิ้งเมื่อได้แล้ว ดังเรื่องราวที่ผมจะเล่าดังต่อไปนี้
เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๒๔ ผมไปทอดผ้าป่าที่อำเภอโขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ผมไปกับพระอาจารย์ทองสุก อนาลโย ไปกันสององค์
เมื่อทอดผ้าป่าเสร็จแล้ว ผมและพระอาจารย์ทองสุกก็แวะไปกราบหลวงพ่อชา สุภัทโท
ตอนไปคราวนั้น หลวงพ่อชาร่างกายยังปกติ รับแขกได้ (วัดหนองป่าพง)
ตอนที่ไปถึงปรากฏว่ามีคนกลุ่มใหญ่ประมาณ ๓๐ คนเดินสวนทางออกมา
พอเขาเห็นผมและพระอาจารย์ทองสุกเดินมา
เขากลุ่มนั้นก็บอกว่า หลวงพ่อชาไม่รับแขกแล้ว ท่านขึ้นกุฏิพัก
ผมก็ไม่ใส่ใจ ก็เดินสวนเข้าไป
ซึ่งขณะนั้นตอนที่ผมไปถึงวัดหนองป่าพง ก็มีญาติโยม ๑๐ กว่าคน
ซึ่งทราบภายหลังว่า มาจากจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์
เห็นผมและพระอาจารย์ทองสุกเดินเข้าไป ก็เลยเดินตามหลัง
(ทั้งๆ ที่ได้ยินคำพูดจากคนกลุ่มนั้นว่า หลวงพ่อชาไม่รับแขก ขึ้นกุฏิพักแล้ว)
เขาคงนึกว่าผมคงมีเส้นหรือมีทางอะไรก็ได้
ขณะที่ผมเดินเข้าไป ในฐานะที่ผมเคยฝึกมโนมยิทธิมาจากวัดท่าซุง
ก็เลยถอดกายทิพย์ล่วงหน้า เข้าไปกุฏิหลวงพ่อชา
❇️ กราบเรียนท่านว่า “หลวงพ่อครับ ผมขอกราบหน่อย”
พอเดินไปถึงกุฏิท่าน มองไปที่ชั้นบนเห็นท่านกำลังห่มผ้าจีวรยังไม่เสร็จเลย
พอเข้าไปถึง ท่านก็ห่มเสร็จพร้อมกับเดินลงมาพอดี
ลีลาท่านแปลก ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ท่านลองใจดูว่าจะทำอย่างไรกับท่านต่อไป
พอท่านลงมาถึง ท่านก็นั่งเก้าอี้หวาย (ดังภาพที่ผมขอถ่ายกับท่านในวันนั้น)
ท่านรับแขกอยู่ใต้ถุนกุฏิ ผมนั่งทางซ้ายมือของท่าน
และมีญาติโยมจากจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ นั่งอยู่ด้านขวาของหลวงพ่อชา
🔶หลวงพ่อชาท่านก็หันมาถามผมว่า “มาจากไหน?”
❇️ผมก็ตอบว่า “มาจากกรุงเทพฯ ครับ”
ท่านถามคำเดียว แล้วท่านก็หันหน้าไปคุยกับพวกที่มาจากจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ตั้งนาน ประมาณ ๕ นาทีได้
🔶แล้วค่อยหันมาถามผมว่า “มาจากวัดไหน?”
❇️ผมตอบไปคำเดียวว่า “มาจากวัดมหาธาตุ”
แล้วหลวงพ่อชาก็หันกลับไปคุยกับคณะญาติโยมอีกตั้งนาน
แล้วจึงหันมา
🔶ถามผมอีกว่า “มาทำอะไร?”
❇️ผมก็ตอบว่า “มาทอดผ้าป่าที่อำเภอโขงเจียม เลยถือโอกาสแวะมากราบหลวงพ่อ”
แล้วท่านก็หันกลับไปคุยกับพวกญาติโยมอีก ทำให้รู้สึกว่าท่านไม่ได้ใส่ใจในการที่มาพบท่าน
❇️ผมเลยโพล่งออกไปว่า “หลวงพ่อครับ ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” (หลวงพ่อพระราชพรหมยานในขณะนี้)
เท่านั้นแหละ ท่านกำลังคุยๆ อยู่ทางคณะญาติโยม
🔶ท่านหันกลับมาจ้องผมแล้วถามขึ้นว่า “หลวงพ่อฤาษีอยู่ในป่าหรืออยู่ในเมือง?”
ถ้าในวันนั้นผมไม่ได้ทรงอารมณ์ของมโนมยิทธิเอาไว้ คงตอบท่านไม่ได้
เมื่อท่านถามเสร็จอารมณ์จิตของผมตอบมา ๑ คำว่า
❇️“หลวงพ่อฤาษีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเรียบร้อยแล้วครับ”
หลวงพ่อชาเลยหัวเราะใหญ่ หัวเราะลงลูกคอ ชอบใจในคำตอบ
ท่านตบเข่าหัวเราะใหญ่ (แสดงว่าผมตอบถูก)
ต่อจากนั้น หลวงพ่อชาก็คุยกับผมดี ไม่หันไปทางอื่น
🔶ท่านก็ถามว่า “หลวงพ่อสอนอะไร?”
❇️ผมก็ตอบว่า “หลวงพ่อสอนตัดขันธ์ ๕ ครับ”
🔶ท่านพูดว่า “เออดี คนที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ก็ต้องตัดขันธ์ ๕ ได้ ถ้าคนไหนตัดขันธ์ไม่ได้ ก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้”
แล้วท่านก็ย้อนถามผมพร้อมกับชี้หน้าว่า “คุณตัดได้หรือยัง”
❇️ผมก็ตอบว่า “บางทีก็ได้ บางทีก็ไม่ได้”
🔶ท่านก็ร้องว่า “ว่ะ เป็นถึงครูบาอาจารย์เขา ตัดขันธ์ ๕ ไม่ได้ก็แย่ซิวะ” (ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยบอกท่านว่าผมสอนกรรมฐาน ซึ่งตอนนั้นผมเริ่มสอนมโนมยิทธิมาได้ ๑ ปีแล้ว”
🔶แล้วท่านก็ถามผมว่า “เรียนบาลีหรือเปล่า? เป็นมหาหรือเปล่า?”
❇️ก็เลยกราบเรียนท่านว่า “เรียนน่ะเรียนครับ แต่ไม่ได้สอบกับเขา”
🔶ท่านก็พูดว่า “เออดี พระนักปฏิบัติอย่างเราไม่จำเป็นต้องเรียนมาก ยิ่งเรียนมากยิ่งโง่”
❇️ผมก็เลยกราบเรียนท่านว่า “ผมสอบได้นักธรรมเอก”
🔶ท่านก็พูดว่า “เอ้ย! เรียนเกินไป นักปฏิบัติอย่างเราแค่นักธรรมตรีก็พอ ไม่ต้องเกินนักธรรมตรี”
จากนั้นท่านก็สอนวิธีปฏิบัติแบบพุท-โธ แบบสายพระอาจารย์มั่น
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ก็กราบลาท่าน
ไขปริศนา เมื่อเริ่มต้นตอนที่หลวงพ่อชาถามว่า
“หลวงพ่อฤาษีอยู่ในป่าหรืออยู่ในเมือง?”
ผมก็ตอบว่า “ท่านอยู่ริมฝั่งน้ำ”
ตามปกติผู้ฟังอาจนึกว่า มันเป็นคนละเรื่อง แต่ความจริงมันเป็นเรื่องเดียวกัน
ขณะที่เดินออกมา คณะญาติโยมจากจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ก็ถามผมว่า
หลวงพ่อชาถามผมอย่างหนึ่ง ทำไมผมตอบอีกอย่างหนึ่ง
ผมจึงต้องอธิฐานให้ฟังว่า
คำถามนั้นเป็นคำถามปริศนาธรรม
หากผมตอบว่าหลวงพ่อฤาษีอยู่ในเมือง แสดงว่าท่านเป็นพระระดับสุกขวิปัสสโกหรือเตวิชโช
แต่ถ้าตอบว่า ท่านอยู่ในป่า แสดงว่าท่านเป็นพระระดับอภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณ
แต่ในฐานะที่ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยาน) รับคำสอนจากท่าน
สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างมั่นใจ และแน่ใจว่าหลวงพ่อเป็น คือท่านเป็นพระอรหันต์แน่
จึงตอบว่า หลวงพ่อฤาษีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเรียบร้อยแล้วครับ
ความหมายของคำตอบนี้ก็คือ พระอรหันต์นั้นคือผู้ข้ามห้วงน้ำแห่งวัฏสงสารได้แล้วนั่นเอง
คำตอบที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ได้จากการที่ผมได้ฝึกมโนมยิทธิ
ขอให้ทุกๆ คนอย่าทิ้งไป จะได้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น