หลวงปู่ : บทสวดไม่ต้องสวดมากหรอกจ้ะ โยมแค่ภาวนาพุทโธจนจิตตั้งมั่นเป็นกุศลนั้นแล ส่งบุญกุศลที่เราวันนั้นเจริญในทาน ศีล ภาวนา บุญกุศลอันใดที่ข้าพเจ้าทำของลูก ขอบุญกุศลนี้จงส่งตรงถึงบิดามารดาผู้ให้กำเนิดหรือผู้มีคุณ ระลึกถึงหน้าท่านก็ถึงแล้ว จิตต่อจิตย่อมถึงกันได้ เพราะเวรต่อเวรยังพยาบาทกันได้เลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่ถามว่าโยมจะสวดบทใดแล้วจะขลังแล้วจะถึง บทไหนก็ได้ถ้าโยมไม่ตั้งใจสวด..ก็หาว่าจะถึงได้ไม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมสวดด้วยความตั้งใจนอบน้อม แล้วเกิดสมาธิเกิดความสงบ..เอาความสงบนั้นแลภาวนาจิตให้ตั้งมั่น แล้วกำหนดจิตอธิษฐานจิตไป..
มนต์ที่ข้าพเจ้าได้สวดสาธยายไปแล้วนี้ ขอให้ถึงผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วด้วยดี ด้วยเอาอำนาจแห่งกระแสพระรัตนตรัย จงนำทางให้เข้าถึงในดวงจิตวิญญาณผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะตายก็ดี ล่วงลับไปแล้วก็ดี อยู่ที่ทุคติภูมิก็ดี สุคติภูมิก็ดี จงรับ..ได้เสวยในบุญกุศลนี้ จงเห็นแสงสว่างแห่งพระรัตนตรัยจงนำทาง เมื่อเห็นแล้วจงฉุดช่วยอุดหนุนค้ำชูให้มารดาของข้าพเจ้าได้พ้นทุกข์พ้นภัยในกรรมนั้นเทอญ..อย่างนี้
ทำไมถึงจะต้องอ้างพระรัตนตรัย เพราะอันว่าพระรัตนตรัยนี้..ไม่ว่าดวงจิตวิญญาณอันใด เมื่อได้เข้าถึงแม้แค่ชั่วขณะจิตเดียว กรรมที่เค้าเสวยอยู่นั้นจะถูกตัดรอนทันที นั้นอย่าได้มองข้ามในบุญกุศลที่เราภาวนาจิต หรือสาธยายมนต์จนจิตเราสงบตั้งมั่น แล้วอย่าคิดว่าบุญกุศลที่เราส่งไปนั้นไม่มีกำลัง ไม่มีอานิสงส์ แท้ที่จริงแล้วมันเป็นกำลังของจิตที่มหาศาลนัก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เพราะจิตในขณะนั้นปราศจากไฟโทสะ โมหะ โลภะ จิตปราศจากอกุศลมูล จึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์นี้ย่อมมีอำนาจมหาศาล อะไรที่เราให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ เรียกว่าเราเข้าถึงในพระรัตนตรัยนี้แล จึงเป็นบุญที่เหนือกว่าบุญทั้งปวง การอบรมบ่มจิต การสละอารมณ์ให้รู้จักการให้ รู้จักการอโหสิกรรม..เหล่านี้เรียกว่าเป็นบุญทั้งนั้น เป็นอภัยทานอย่างเลิศ
ดังนั้นการที่เรายังมีชีวิตอยู่ การสละอารมณ์เหล่านี้เป็นของสิ่งที่ทำได้ยาก อะไรที่ทำได้ยากนั่นแล..เรียกว่าเป็นทานบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าบอกว่าฉันตายแล้ว..หนูตายแล้วจะเอากายสังขารนี้จะเป็นอาจารย์ใหญ่ อุทิศให้โรงพยาบาลนั้นโรงพยาบาลนี้ มันก็มีอานิสงส์อยู่..แต่มันเป็นแค่วัตถุทาน เพราะให้ของที่เสียแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
อานิสงส์การบริจาคเลือดยังมีอานิสงส์มากกว่าอีก แต่อะไรก็ตามที่ใครทำแล้ว..ใครๆก็ทำได้นั้น ยังไม่ใช่บุญที่เป็นทานมหาบุญอันใหญ่ มันต้องเป็นทานที่ว่าสิ่งไหนก็ตามที่เรารักและหวงแหนแล้วเราสละได้ยาก..แล้วเราสละได้นั่นแล จะเป็นขั้นปรมัตถ์ของทานเป็นบารมี
เช่นในขณะที่เรายังอยู่ เราเสียสละลูกตาให้ใครคนหนึ่ง เสียสละอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ทั้งๆที่เรานั้นยังมีชีวิตอยู่ อย่างนี้เรียกว่าเป็นปรมัตถ์บารมี เป็นทานอันยิ่ง เป็นเลิศ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่การละสละอารมณ์เหล่านี้ ละอัตตาตัวตนก็ลักษณะเดียวกับปรมัตถ์บารมีเช่นเดียวกัน เรียกเป็นการสะสม..จนอัตตาตัวตนนั้นหมดไปนั้นแล ก็เข้าถึงเช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เรายังไม่มีทานบารมีอันแก่กล้าเหมือนพระโพธิสัตว์เจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี หรือพระพุทธเจ้าที่จะมาจุติบังเกิดขึ้นในโลกนี้หรือโลกหน้าก็ดี เรายังบำเพ็ญไม่ถึงขนาดนั้น..แต่เราสะสมได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นอะไรที่เรานั้นที่จะสละได้ ที่ล้วนแล้วให้เกิดเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ดี อย่างนี้เรียกว่าเป็นปรมัตถ์ทานทั้งนั้น หากสะสมเข้าไปสะสมเข้าไป เดี๋ยวมันก็มากขึ้นมากขึ้นเอง..
ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น