ดูก่อนอานนท์!!
บุคคลผู้ใดปรารถนา พระนิพพาน จงยังอสุภ กรรมฐานในตนให้เห็นแจ้งชัดเถิด
ครั้งไม่เห็นก็ให้พิจารณา ปฏิกูลสัญญาลงในตนว่า
แม้ตัวของเรานี้ถึงยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นของน่าพึงเกลียดพึงเบื่อหน่ายยิ่งนัก
ถ้าหากว่าไม่มี หนังหุ้มห่อไว้แล้ว ก็จะเป็นของน่าเกลียดเหมือนอสุภะแท้
เพราะมีหนังหุ้มห่อไว้จึงพอดูได้
⚔️⚔️
อันที่แท้ตัวตนแห่งเรานี้ จะตั้งอยู่ได้ก็ด้วยลมอัสสาสะ ปัสสาสะเท่านั้น
ถ้าขาดลมหายใจเข้าออกแล้ว ตัวตนนี้ก็จะเน่าเปื่อยผุพังไป
แต่นั้นก็จะเป็นอาหารของสัตว์ทั้งหลายมีหนอนเป็นต้น จะมาเจาะไชกิน
ส่วนลมหายใจเข้าออกซึ่งเป็นเจ้าชีวิต นั้นเล่า ก็เป็นอนัตตา
ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ของของตัว เขาอยากอยู่ เขาก็อยู่ เขาอยากดับเขาก็ดับ
เราจะบังคับบัญชาไม่ได้ ตามปรารถนา
ถ้าขาดลมหายใจเข้าออกแล้ว ความสวย ความงามในตน และความสวยความงามภายนอก
คือ บุตรภรรยาและข้าวของเงินทองเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งปวง ก็ย่อมหายไปสิ้นด้วยกันทั้งนั้น
เหลียวซ้ายแลขวาจะได้เห็นบุตรภรรยาและหลานก็หามิได้
ต้องอยู่คนเดียวในป่าช้าหาผู้ใดจะเป็นเพื่อนสองมิได้
⚔️⚔️
ดูก่อนอานนท์ บุคคลผู้ใดพิจารณาเห็นอสุภะกรรมฐาน ๓๒ ประการ
เห็นซากผีดิบในตน ชื่อว่าได้ถือเอาความสุขในทางพระนิพพาน
วิธีเจริญอสุภกรรมฐานตามลำดับ คือ ให้ปลงจิตลงในเกสา (ผม) ให้เห็นเป็นอสุภะ แล้วให้สำคัญในเกสานั้นว่าเป็นอนัตตา
แล้วให้เอาโลมา (ขน) ตั้งลงปลงจิตให้เห็นเป็นอสุภะเป็น อนัตตา
แล้วเอานขา (เล็บ) ทันตา (ฟัน) ตั้งลงปลงจิต ให้เห็นเป็นอสุภะเป็นอนัตตา
แล้วให้เอาตโจตั้งลงตาม ลำดับไป จนถึงมัตถเกมัตถลุงคังเป็นที่สุด
พิจารณาให้เห็นเป็นอสุภะเป็นอนัตตาโดยนัยเดียวกัน
⚔️⚔️
ดูก่อนอานนท์ เรา ตถาคตแสดงมานี้โดยพิสดาร
ให้กว้างขวางทั้งเบื้องต้นและ เบื้องปลาย
แท้จริงบุคคลผู้มีปัญญารู้แล้ว ก็ให้สงเคราะห์ลงใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เท่านั้น
บุคคลผู้มีปัญญา จะเจริญอสุภกรรมฐาน ท่านมิได้เจริญแต่ต้นลำดับไปจน ถึงปลาย เพราะเป็นการเนิ่นช้า
ท่านยกอาการอันใดอันหนึ่งขึ้นพิจารณาสงเคราะห์ลงใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ท่านก็ย่อมได้ถึงมรรคผลนิพพานโดยสะดวก
⚔️⚔️
การที่เจริญ อสุภกรรมฐานนี้ ก็เพื่อจะให้เบื่อหน่ายในร่างกายของตน
อันเห็นว่าเป็นของสวยของงามทั้งวัตถุภายในและภายนอก ให้เห็นเป็นของเปื่อยเน่าผุพัง
จะได้ยกตนให้พ้นจากกิเลส ตัณหา
ผู้มีปัญญารู้แล้วไม่ควรชื่นชมยินดีในรูปตนและผู้อื่น
ทั้งรูปหญิงรูปชาย ทั้งวัตถุข้าวของดีงามประณีตบรรจงอย่างใดอย่างหนึ่งเลย
เพราะว่าความรักทั้งปวงนั้นเป็นกอง กิเลสทั้งสิ้น
ถ้าห้ามใจให้ห่างจากกองกิเลสได้ จึงจะได้รับ ความสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า
ถ้าหากใจยังพัวพันอยู่ใน กองกิเลสแล้ว ถึงแม้จะได้รับความสุขสบายก็เพียงชาตินี้ เท่านั้น
เบื้องหน้าต่อไปไม่มีทางที่จะได้เสวยสุข มีแต่ เสวยทุกข์โดยถ่ายเดียว
ผู้มีปัญญาเมื่อได้เจริญอสุภานุสสติ กรรมฐาน เอาทวัตติงสาการ ๓๒ เป็นอารมณ์
ก็ควรละกองกิเลสตัณหาให้ขาดสูญ
⚔️⚔️
เมื่อรู้แล้วปฏิบัติตามจึงจะเห็น ผลเป็นกุศลต่อไป
เมื่อรู้แล้วไม่ปฏิบัติตามก็หาผลอานิสงส์ มิได้ เพราะละกิเลสตัณหามิได้
เปรียบเหมือนบุคคลผู้ตก เข้าไปในกองเพลิง เมื่อรู้ว่าเป็นกองเพลิง
ก็รีบหลีกออกหนี จึงจะพ้นความร้อน
ถ้ารู้ว่าตัวตกเข้าอยู่ในกองเพลิง แต่มิได้พยายามที่จะหลีกออกหนีออก
จะพ้นจากความร้อน ความไหม้อย่างไรได้
ข้ออุปมานี้ฉันใด บุคคลรู้แล้วว่าสิ่งนี้เป็นโทษแต่มิได้ละเสีย
ก็มิได้พ้นจากโทษเหมือนกับผู้ไม่พ้นจากกองเพลิงฉะนั้น
⚔️⚔️
ดูก่อนอานนท์ ผู้รู้แล้วมิได้ทำตามนั้น จะนับว่าเป็นคนรู้ไม่ได้ เพราะไม่เกิดมรรคเกิดผลเลย
เราตถาคตอนุญาตตั้งศาสนธรรมคำสั่งสอนไว้นี้
ก็เพื่อว่า เมื่อผู้รู้แล้วว่าสิ่งใดเป็นโทษให้ละเสีย
มิใช่ตั้งไว้เพื่ออ่านเล่น ฟังเล่น พูดเล่น เท่านั้น
บุคคลทั้งหลายล้วนเสวยทุกข์ในมนุษย์และในอบายภูมิทั้งนั้น ไม่ใช่สิ่งอื่นเลย
เป็นเพราะ กิเลสราคะตัณหาอย่างเดียว
ถ้าบุคคลผู้ยังไม่พ้นจากกิเลสราคะตัณหาตราบใด ก็ยังไม่เป็นผู้พ้นจากอบายทุกข์ได้ จนตราบนั้น
..
คัดลอกมาจาก คีรีมานนทสูตร
🦌🦌
บทพิจารณาอาการ ๓๒ ประการ
อะยัง โข เม กาโย-กายของเรานี้แล
อุทธัง ปาทะตะลา-เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธเกสะมัตถะกา-เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต-มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปุโรนานัปปะการัสสะ อสุจิโน-เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ
อัตถิ อิมัสมิง กาเย-มีอยู่ในกายนี้
เกสา-ผมทั้งหลาย
โลมา-ขนทั้งหลาย
นะขา-เล็บทั้งหลาย
ทันตา-ฟันทั้งหลาย
ตะโจ-หนัง
มังสัง-เนื้อ
นะหารู-เอ็นทั้งหลาย
อัฏฐี-กระดูกทั้งหลาย
อัฏฐิมิญชัง-เยื่อในกระดูก
วักกัง-ม้าม
หะทะยัง-หัวใจ
ยะกะนัง-ตับ
กิโลมะกัง-พังผืด
ปิหะกัง-ไต
ปัปผาสัง-ปอด
อันตัง-ไส้ใหญ่
อันตะคุณัง-สายรัดไส้
อุทะริยัง-อาหารใหม่
กะรีสัง-อาหารเก่า
ปิตตัง-น้ำดี
เสมหัง-น้ำเสลด
เสโท-น้ำเหงื่อ
เมโท-น้ำมันข้น
อัสสุ-น้ำตา
วะสา-น้ำมันเหลว
เขโฬ-น้ำลาย
สิงฆานิกา-น้ำมูก
ละสิกา-น้ำมันไขข้อ
มุตตัง-น้ำมูตร
มัตถะเก มัตถะลังคัง-เยื่อในสมอง
เอวะมะยัง เม กาโย-กายของเรานี้อย่างนี้
อุทธังปาทะตะลา-เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธเกสะมัตถะกา-เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต-มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปุโรนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน- เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆอย่างนี้แล
..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น