01 มีนาคม 2563

เข้าสู่ธาตุเดิม

#ทิ้งธาตุรู้... สู่พระนิพพาน..
การที่จะไปเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อนก็ต้องเข้าใจในสิ่งง่ายๆ ก่อน เมื่อเข้าใจไปจนถึงที่สุด แม้แต่ตัวตนก็ไม่มี เขาถึงเรียกว่าอนัตตา ในที่สุดจิตมันถอดถอนตัวเองออกมาจากความคิดหมดแล้ว จิตมันก็จะมาดูตัวมันเอง พอมาดูตัวเองแล้วจะรู้ว่าแม้แต่ตัวจิตเองก็ไม่มี

     มันถอดถอนความเป็นเจ้าของจิตออกเมื่อไหร่ มันก็ไม่มีตัวตน ธาตุรู้มันก็เป็นธาตุรู้เปล่าๆ ทีนี้ธาตุรู้ที่มันรู้ว่าจิตของเรา วิญญาณของเรา เพราะเราไปคิดว่ามันเป็นของของเรา ยังไปแสดงความเป็นเจ้าของนี้อยู่ ต่อเมื่อถึงที่สุด เราถอดความเป็นเจ้าของออก ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติของมัน ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ต่อไปเราไม่เป็นเจ้าของนี้ 

     เจ้าจิตของเรา วิญญาณของเรามันเริ่มไม่มีเจ้าของ มันเป็นจิตเฉยๆ มันก็กลับไปรวมกับมโนธาตุ มโนวิญญาณแบบเดิมๆ กรรมต่างๆ ที่จิตดวงนี้คิดว่าเป็นของตนก็หมดไปด้วย เพราะว่ามันไม่มีเจ้าของ มันกลายเป็นของกลางๆ เป็นมโนธาตุเฉยๆ สิ่งนี้จะซับซ้อน แต่ก็ไม่ถึงกับยาก

     ภาวะพระนิพพานนั้น ถ้ารู้และเข้าใจธาตุรู้อย่างถ่องแท้แล้ว เกิดปัญญาจากธาตุรู้ และถอนความเป็นตัวตนเจ้าข้าวเจ้าของธาตุรู้ได้ ธาตุรู้นั้นก็สอนเราให้รู้จักพระนิพพาน เพราะในที่สุดเราได้คืนธาตุรู้นี้กลับไปสู่ความเป็นเดิมแท้ของมัน

     เพราะตอนแรกธาตุรู้ก็เป็นความเดิมแท้ แต่ต่อมาเกิดเป็นอวิชชาขึ้น เกิดมีเจ้าของขึ้นมา คิดว่าเป็นของของมัน ก็เลยเริ่มมีจิตของเรา วิญญาณของเรา หลังจากนั้นจิตวิญญาณของเราที่ไปครอบครองธาตุรู้ ก็เริ่มสะสมกรรมต่างๆ ต่อจิตเมื่อเท่าทันถึงที่สุด ก็จะรู้ว่าธาตุรู้นั้นไม่มีใครเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่เราเองที่หลงผิดคิดว่ามันเป็นของของเรา ต่อเมื่อความรู้สูงสุดตรงนี้ แล้วมันปล่อยวางธาตุรู้นี้ไป เพราะธาตุรู้ไม่ใช่ของมัน ไม่มีตัวตนจริง ไม่ใช่ของของมัน ธาตุรู้มันก็เป็นธาตุรู้ ไม่มีเจ้าของ เมื่อปล่อยธาตุรู้อันนั้นไปซะ ความเป็นเจ้าของธาตุรู้ไม่มีเมื่อไหร่ ธาตุรู้นั้นก็เป็นปัญญาพระนิพพาน

     การเจริญสติจะไปถึงพระนิพพานได้อย่างไรนั้น มาจากการเจริญสติจนมีกำลังสติมาก เรียกว่ามหาสติปัฏฐาน จะมีกาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งมหาสติมันก็ดำเนินไปใน 4 อย่างนี้

     กาย คือการรู้ทางกายทั้งหมด ถ้าสติแข็งแรงจนเป็นอภิมหาสติแล้วนอกจากกายหยาบแล้ว มันยังรู้ไปถึงกายละเอียดที่ละเอียดลงไปอีก เพราะเป็นการตั้งมั่นมาก มันก็จะรู้ลึกลงไปเกินกว่าที่กายปกติ คือจะไปรู้ถึงกายละเอียดด้วย

     รู้ในเวทนานอกจากเป็นเวทนาที่จิตปกติจะรู้แล้ว พอจิตที่เป็นมหาสติมันก็จะรู้เวทนาที่ละเอียด เป็นเวทนาที่สูงขึ้นไปอีก และจิตก็เหมือนกัน จิตที่เป็นมหาสติก็เท่าทันจิตทุกอย่าง ก็เป็นจิตที่ละเอียดเข้าไปในจิตอันเป็นนามธรรม และข้อสำคัญที่สุดก็คือตอนที่มันเวียนไปเกิดความรู้ในธรรม มันจะไปรู้ธรรมที่สูงขึ้นไปอีก ละเอียดขึ้นไปอีก คือธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรภูมิ อันนี้ก็เป็นการเข้าถึงพระนิพพานด้วยการเจริญสติ อันเป็นสติปัฏฐาน 4

     คือจะรู้ละเอียดลงไป คือนอกจากในธรรมที่เวียนไปเกิดความรู้ในธรรมแล้ว มันยังไปรู้ถึงว่ามันยังไม่มีรูป เรียกว่าธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรภูมิ อันเป็นธรรมหลุดพ้น สามารถยึดจับสติเข้าไปถึงภูมิธรรมในแก่นของมันด้วยวิธีการนี้ก็ได้ เมื่อจิตตั้งมั่นสูงสุดแล้ว เพราะสติปัฏฐานสติมันจะเวียนไป 4 อย่าง เช่น รู้ว่าทำอะไร ยืน เดิน นั่ง นอน สติปัฏฐานจะรู้ในนี้ แต่พอมันเป็นมหาสติปัฏฐานขึ้นมา นอกจากกายที่รู้ในสิ่งที่กายกระทำ มันยังรู้ไปถึงกายละเอียด คือมันตั้งมั่นแล้วมันเลยไป

     ทีนี้มันเวียนไปที่จิต มันก็จะไปรู้จิตในจิต ซึ่งมันก็สูงกว่าจิตปกติ พอไปธรรมมันก็ไปรู้ธรรมในธรรม คือนอกจากการพิจารณาธรรมนี้แล้ว มหาสติปัฏฐานยังไปรู้ธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรธรรม คือธรรมที่ไม่มีสมมติบัญญัติ มันก็เลยไปถึงแก่นของแก่นที่เป็นธรรมที่สูงสุดได้เช่นกัน วิธีนี้ก็ไปบรรจบกันกับการถอดความคิดออกเป็นส่วนๆ และจิตพรากออกจากความคิด จนเข้าสู่จิตเดิมแท้.

ไม่ทราบผู้เขียน 

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...