หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา และต้นโกสินทร์ เมื่อหลวงปู่มีอายุ 2พันกว่าปี แต่เมืองหลวงแห่งแรกของไทย คือ เมือง สุโขทัย ที่มีอายุเมืองเพียง 600 กว่าปีเอง..หลวงปู่จึงเห็นการสร้างเมือง สุโขทัย กรุงศรีอโยธยา กรุงธนบุรี รัตนโกสินทร์
หลวงปู่ต้นบุญ ติกขปัญโญ แห่งวัดพระธาตุศรีจำปามหารัตนาราม อ.พังโคน จ.สกลนคร . ได้บันทึกไว้ว่า
..//. ณ บ้านอุรุเวลาเสนานิคม ท่านสุปัณณะกะเศรษฐี มีภรรยาชื่อนางสุปัณณะกะมาตา ทั้งสองท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ได้นิมนต์พระมหากัสสปะมาฉันบิณฑบาตรที่บ้าน จึงได้ขอประทานบุตรชายจากพระมหากัสสปะ ท่านจึงกล่าวว่า จากนี้ไปอีก ๔ เดือนจะมีผู้มีบุญมาเกิด และบุตรชายจะได้บวชในพระพุทธศาสนา
#.. หลังจากนั้น ๔ เดือนนางสุปัณณะกะมาตาได้ตั้งครรถ์ และกำเนิดบุตรชายรูปร่างสมบูรณ์ ผิวพรรณผ่องใส เมื่อวันอาทิตย์ชขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ ท่านสุปัณณะกะเศรษฐี ได้ตั้งชื่อบุตรชายว่า “สุปัณณะกะกุมาร”
++...ทั้งสองนำบุตรชายไปถวายแด่ พระมหากัสสปะ ได้ให้บรรพชาเป็นสามเณร มีอายุครบ ๒๐ ปี จึงได้อุปสมบท เข้าป่ารับพระกรรมฐานจากพระมหากัสสปะ ได้เดินธุดงค์ในประเทศอินเดีย พม่า และจีน อยู่นานถึง ๔ ปี จึงได้กลับมา
&…หลังจากกลับมาพระมหากัสสปะได้มีอาการอาพาธ ท่านได้เรียกพระภิกษุ ๓ รูปคือ ๑.พระสุปัณณะกะ ๒.พระภิคิยะ ๓.พระสุวรรณกะ เข้ามารับโอวาทครั้งสุดท้าย และได้ฝากพระทั้งสามให้ดูแลพระศาสนาในที่ต่างๆ ให้ยั่งยืนสืบไป ดูแลพระภิกษุสามเณร ตามอารามทั่วไป พร้อมกำชับให้นำร่างที่ละสังขารไปไว้ที่ภูเขาหิมาลัย ณ ถ้ำปัญจนรดี เทือกเขาที่สูงที่สุดในหิมาลัย
*-*.. สำหรับหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร(พระธรรมลักขิต) ได้เดินธุดงค์จากประเทศอินเดียมาพม่า ได้รับลูกศิษย์ไว้มากมาย จนเข้าเขตประเทศไทยด้าน “จังหวัดราชบุรี”..ได้มาพักจำพรรษาที่”ดงพญาไฟ” อยู่จำพรรษาที่ดงพญาไฟใน”ถ้ำสุมณฑา” หรือ” เขาพิลาศ” หรือ” พิศาลโรงธรรม” ธุดงค์สอนธรรมในป่าทั่วไป
***...หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ได้บูรณะ..”พระพุทธบาทสระบุรี”เป็นองค์แรก และได้จาริกไปนมัสการอยู่เสมอ …ต่อมา หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ไปจำพรรษาอยู่อีกฝากของลำน้ำโขง (ประเทศลาว)ในปัจจุบัน ไปอยู่ภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่า” ภูเขาควายน้อย “..เพราะสมัยก่อนพวกควายป่ามักพาแม่ควายมาออกลูกที่นี่ หน้าถ้ำมีหินทรายแดงลักษณะคล้ายวัว หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรจึงได้ตั้งชื่อว่า “ถ้ำอศุภลาศ “ลูกศิษย์พากันเรียกว่า..” ถ้ำวัวแดง..”
///…ต่อมา หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ..ได้สร้างเมืองขึ้นมาชื่อว่า “เมืองศรีวิชัย “ภายหลังเกิดโรคระบาดจึงได้ย้ายไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา ชื่อเมือง “โพนแก้ว “ หรือ “หลวงพระบางศรีวิชัย”.. และได้สร้างวัดขึ้นมาชื่อว่า “วัดพุทธรักษาราม “อยู่มาได้ประมาณ ๓๐๐ ปี เมืองนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ก็พบกับภัยธรรมชาติทำให้เมืองนี้สูญสลายไป
...+-*...หลวงปู่จึงได้พาชาวเมืองไปสร้างเมืองใหม่ ชื่อ “เมืองตะโพนชัย” เมืองนี้อยู่ได้ ๒๐ ปี ชาวเมืองเกิดฆ่ากันเพื่อแย่งสมบัติเงินทอง จนเมืองล่มจม
...***//..หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ได้พากลุ่มชนคนไทที่เป็นเชลยขอมในสมัยนั้น สร้างบ้านเมืองขึ้นมาชื่อ เมืองไท ต่อมาพากันเรียกว่า “สุโขทัย” ..
***//…….หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (พระธรรมรักขิต) ได้รับลูกศิษย์ กลับไปถ้ำภูเขาควายน้อย เพื่อศึกษาในระดับภูมิธรรมที่สูงขึ้น ,มากมาย.. ลูกศิษย์ จะออกเผยแพร่พระธรรม จนพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองตราบเท่าทุกวันนี้ ภายหลังหลวงปู่ท่านได้รับปู่สิงขรเข้ามาเป็นลูกศิษย์อีกผู้หนึ่ง และส่งไปศึกษาเรียนที่ ภูแซ (เขาสามบรรพต) เป็นสถานที่รวบรวมพระธรรมวินัย จนภายหลังได้เป็นคณาจารย์ใหญ่ของภูแซ
-ขออนุญาตเล่า เมื่อคืน 4 มีค.62..ข้าพเจ้านิมิตฝันไปว่า..มีคนนำกรอบรูปเป็นผ้าสีขาว ขนาดเท่าประตู มีภาพวาดต่างๆ..ทั้งพืช สัตว์ คน น้ำ..หลากหลาย..สักพัก กรอบภาพตั้งขึ้นขยายใหญ่ เท่าบ้าน..และตัวข้าพเจ้าก็ลอยขึ้นจากพื้น..พุ่งไปหาบ้านรูปภาพ พอเอามือไปแตะตรงรูปไหน ก็กลายเป็นของจริงทันที พอแตะตรงต้นไม้..ก็กลายเป็นต้นไม้จริง เป็นนก คน จนกระทั้ง เป็นแม่น้ำ..ท่อนไม้ ท่อนซุง ที่หักโค่นเพราะน้ำท่วม.
.//.มองเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่ง ท่านบอกว่า..”เตรียมรับพระ”..ข้าพเจ้าเห็นกองทรายกลายเป็นกองพระเครื่องมากมาย..แล้วกองพระเครื่องก็ไหลลงมาใส่มือข้าพเจ้า.หลายร้อยองค์..ส่วนมากเป็นพระเก่า ทำด้วยดิน ที่จำได้และหยิบไว้ คือ พระรอดลำพูน..จึงมีพระเครื่องเต็มอ้อมกอด..
.เสียงพระสงฆ์องค์นั้นพูดว่า..”เอาองค์นี้ไปด้วยสิ พระดี” เห็นพระองค์หนึ่ง ขนาด 3 นิ้ว แต่แปลก ตัวเป็นองค์พระ แต่หน้าตาเป็นควาย มีเขาโค้ง..จึงหยิบไว้..(ลืมตาขึ้นมา..จิตบอกว่า..ท่านต้องการให้เราใช้ปัญญาตีนิมิตเอง จิตบอกว่า เป็นนิมิตบอกว่า..คือพระจากภูเขาควาย..ที่เป็นภูเขาแดนลาว ที่หลวงปู่ใหญ่มาอยู่บ่อยๆ..
หลับตา..นิมิตฝันต่อ..ในเรื่องเดิม..มันแสดงถึงภัยธรรมชาติ น้ำท่วม.และ หลังภัยพิบัติ..จะไม่ขอเล่า...(หมิ่นเหม่ต่อ..ผิด พรบ.คอมพิวเตอร์..ทำให้คนตื่นตกใจ)..
ที่มา มโนธาตุ โพธิญาณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น