บวช ๑๐๐ ปี และก็มีศีลบริสุทธิ์ทุกสิกขาบทไม่บกพร่อง แต่ว่าไม่เคยเจริญสมาธิจิต ท่านมีศีลครบก็จริงแหล่ แต่ทว่าไม่เคยทำสมาธิจิต ไม่เคยระงับนิวรณ์ บวชมาตั้ง ๑๐๐ ปี ศีลบริสุทธิ์สู้บุคคลที่ทำจิตว่างจากกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่งไม่ได้ อานิสงส์มากกว่ากัน
ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทฟังอย่างนี้อาจจะสงสัย ว่าพระอุตส่าห์อดข้าวหลังเที่ยงมาตั้ง ๑๐๐ ปี ทำไมจึงจะสู้ฆราวาสที่ปฏิบัติตนทำจิตว่างจากกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่งไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าศีลถ้าว่ากันถึงศีลจริง ๆ ก็มีอานิสงส์แค่กามาวจรสวรรค์ ถ้าหากว่าท่านผู้นั้นไม่ปฏิบัติใน สีลานุสสติกรรมฐาน นะ แค่ระวังสิกขาบทจะไปเป็นพรหมไม่ได้
และก็ประการที่ ๒ ศีลไม่สามารถจะควบคุมอารมณ์ให้ระงับจาก นิวรณ์ได้ เห็นไหมกิเลสหยาบยังท่วมทับใจอยู่ แต่ที่ทรงอยู่ได้เพราะเป็นการระวังตัวไว้เฉพาะเวลาเท่านั้นเอง สำหรับสมาธิจิต แต่ความจริงคำว่าจิตว่างจากกิเลส จะว่าถึงสมาธิอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องวิปัสสนาญาณควบคู่กันด้วย เฉพาะสมาธิจิตจริง ๆ สามารถไปเกิดเป็นพรหมได้ ถ้ามีวิปัสสนาญาณควบคุม แม้แต่วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง ก็ก้าวเข้าใกล้นิพพานเข้าไปทุกที สามารถเป็นพระอริยเจ้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอริยเจ้าขั้นโสดาบันก็ดี สกิทาคามีก็ดี ทั้ง ๒ ท่านนี้มีสมาธิไม่สูง มีปัญญาไม่มาก ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ ท่านมีทั้งสมาธิ มีทั้งปัญญา และก็ศีลบริสุทธิ์ สำหรับพระที่บวชมา ๑๐๐ พรรษา หรือ ๑๐๐ ปีมีศีลบริสุทธิ์อย่างเดียว ขาดสมาธิ ขาดปัญญา ใช่ไหม
จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๓ หน้าที่ ๘๙ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน คัดลอกโดย ด.ญ.ปุณยนุช ขจรนิธิพร
คุณประพิณ ปรัชญาภรณ์ ผู้คัดลอก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น