คำถาม บางครั้งเคยเห็นสำนักที่สอนนั่งสมาธิ มีการเชิญวิญญาณเข้ามาทรงอย่างนี้ถือว่าผิดแบบแผนทางพระพุทธศาสนาหรือไม่?
คำตอบ การฝึกสมาธิเราพยายามที่จะสร้างจิตของเราให้เป็นอิสระแก่ตัว โดยไม่ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งใด แม้แต่กิเลสเราก็ไม่อยากจะให้เป็นนายเหนือหัวใจเรา การที่จะเชิญวิญญาณเข้ามาประทับทรงนั้นไม่ใช่วิสัยของนักปฏิบัติที่ถูกต้องจะพึงทำ
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
.........................................................................
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงเทวดาว่า
เทวดาเหล่าจาตุมหาราชมีอยู่
เทวดาเหล่าดาวดึงส์มีอยู่
เทวดาเหล่ายามามีอยู่
เทวดาเหล่าดุสิตมีอยู่
เทวดาเหล่านิมมานรดีมีอยู่
เทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัดดีมีอยู่
เทวดาเหล่าพรหมมีอยู่
เทวดาที่สูงกว่านั้นมีอยู่
เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด
จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น
ศรัทธาเช่นนั้นแม้ของเรามีอยู่
เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศีลเช่นใด
ด้วยสุตะเช่นใด ด้วยจาคะเช่นใด ด้วยปัญญาเช่นใด
จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ปัญญาเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา ของตนและของเทวดาเหล่านั้น สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม เป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว เป็นจิตออกไป พ้นไป หลุดไปจากความอยาก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่า ความอยาก นี้ เป็นชื่อของเบญจกามคุณ สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำเทวตานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุสสติ ๖ ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๕
คลิกเพื่ออ่านทั้งหมด
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ บรรทัดที่ ๗๓๘๗-๗๔๓๐ หน้าที่ ๓๒๔-๓๒๖.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=22&A=7387&Z=7430&pagebreak=0
ก็เทวดาและมนุษย์ผู้มีปัญญาจักษุด้วยความแก่กล้าของญาณแห่งการถึงพร้อมด้วยการประกอบในเบื้องต้น ไม่อาศัยที่สุดทั้งสอง คือความเที่ยงและความขาดสูญ ด้วยปัญญาจักษุนั้นแล กระทำให้ประจักษ์ด้วยการเห็นข้อปฏิบัติสายกลาง. จริงอยู่ เทวดาและมนุษย์เหล่านั้นย่อมเห็นโดยไม่คิดว่า ธรรมชาตินี้อาศัยเพียงนามรูปเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เที่ยงก็ไม่ใช่ แม้ขาดสูญก็ไม่ใช่ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำมีอาทิว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดังนี้ เพื่อทรงแสดงถึงความติดเป็นต้น โดยบุคลาธิษฐาน ด้วยประการฉะนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ภวา ได้แก่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ. ยังมีภพอื่นอีก ๓ คือ สัญญีภพ (ภพของผู้มีสัญญา) อสัญญีภพ (ภพของผู้ไม่มีสัญญา) เนวสัญญีนาสัญญีภพ (ภพของผู้มีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่). ยังมีภพอื่นอีก ๓ คือ เอกโวการภพ (ภพของผู้มีขันธ์เดียว) จตุโวการภพ (ภพของผู้มีขันธ์ ๔) ปัญจโวการภพ (ภพของผู้มีขันธ์ ๕).
ชื่อว่า ภวารามา เพราะยินดีพอใจด้วยภพเหล่านี้.
ชื่อว่า ภวรตา เพราะยินดี คือยินดียิ่งในภพทั้งหลาย.
ชื่อว่า ภวสมุทฺทิตา เพราะเพลิดเพลินด้วยดีในภพทั้งหลาย.
บทว่า ภวนิโรธาย ได้แก่ เพื่อดับภพเหล่านั้นให้สิ้นสุด คือเพื่อไม่ให้เกิดต่อไป.
บทว่า ธมฺเม เทสิยมาเน ได้แก่ เมื่อนิยยานิกธรรมอันพระตถาคตทรงประกาศแล้ว คือทรงบอกอยู่.
บทว่า น ปกฺขนฺทติ ได้แก่ จิตไม่เข้าไป คือไม่หยั่งลง เพราะมีความหดหู่เป็นธรรมดาเพราะยึดมั่นในความเป็นของเที่ยง.
บทว่า น ปสีทติ ได้แก่ ไม่ถึงความเลื่อมใส คือไม่เชื่อธรรมนั้น.
บทว่า น สนฺติฏฺฐติ ได้แก่ จิตไม่ดำรงอยู่ คือไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในเทศนานั้น. เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมติดอยู่ในภพด้วยความยึดมั่นในความเป็นของเที่ยง.
บทว่า อฏฺฏิยมานา ความว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเห็นชราโรคและมรณะเป็นต้น และการฆ่า การจองจำ การตัดเป็นต้น แล้วถูกความทุกข์เหล่านั้นบีบคั้นด้วยภพ อันมีทุกข์เหล่านั้นพร้อม เป็นผู้ยึดมั่นในทุกข์.
บทว่า หรายมานา ได้แก่ ระอา.
บทว่า ชิคุจฺฉมานา ได้แก่ เผาอยู่โดยเป็นของปฏิกูล.
บทว่า วิภวํ ได้แก่ ความขาดสูญ.
บทว่า อภินนฺทติ ได้แก่ย่อมเพลิดเพลินเพราะความพะวง ด้วยความยินดีตัณหาและทิฏฐิ.
บทว่า ยโต โข กิร โภ เป็นต้น แสดงถึงอาการยินดีของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ยโต แปลว่า เมื่อใด. บทว่า โภ เป็นอาลปนะ.
บทว่า อยํ อตฺตา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงสิ่งที่พระองค์กำหนดด้วยความเป็นตัวการเป็นต้น.
บทว่า อุจฺฉิชฺชติ แปลว่า ขาดสูญ.
บทว่า วินฺสสติ ได้แก่ ไม่ปรากฏ ถึงความพินาศ คือความไม่มี.
บทว่า น โหติ ปรมฺมรณา ได้แก่ ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก.
บทว่า เอตํ สนฺตํ ได้แก่ ความขาดสูญเป็นต้นของตนนี้
ชื่อว่าสงบ เพราะสงบจากอารมณ์ทั้งปวงและเพราะสงบจากความเดือดร้อนทั้งปวง. ชื่อว่าประณีต เพราะความเป็นของละเอียด. ชื่อว่าถ่องแท้ เพราะไม่ผิดจากความจริง.
ในบทเหล่านั้น เทวดาและมนุษย์กล่าวบททั้งสองนี้ว่า สนฺตํ ปณีตํ ด้วยความยินดียิ่งในตัณหา. กล่าวบทว่า ยาถาวํ ด้วยความยินดียิ่งในทิฏฐิ. กล่าวบทว่า เอวํ ด้วยยึดมั่นในความขาดสูญตามที่กล่าวแล้วอย่างนี้.
บทว่า ภูตํ ได้แก่ ขันธบัญจก ด้วยว่าขันธบัญจักนั้นท่านกล่าวว่า ภูตํ เพราะเกิดด้วยปัจจัยและเพราะมีอยู่โดยปรมัตถ์. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภูตมิทํ ภิกฺขเว สมนุปสฺสถ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพิจารณาขันธบัญจกนี้.๓- ภิกษุย่อมเห็นโดยความเป็นจริง โดยไม่วิปริต โดยมีลักษณะและโดยสามัญลักษณะ เพราะขันธบัญจกนี้เป็นเพียงนามรูป.
____________________________
๓- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๔๕
อธิบายว่า ภิกษุย่อมเห็นขันธบัญจกนี้เป็นเพียงนามรูป ด้วยการเห็นนามรูป พร้อมด้วยปัจจัยอย่างนี้ ในนามรูปนั้น ธรรมทั้งหลายมีปฐวีธาตุเป็นต้นเหล่านี้เป็นรูป ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้นเหล่านี้เป็นนาม ขันธบัญจกเหล่านี้เป็นลักษณะเป็นต้นของนามรูปเหล่านั้น อวิชชาเป็นต้นเหล่านี้เป็นปัจจัยของนามรูปเหล่านั้น และด้วยอนิจจานุปัสสนาเป็นต้นอย่างนี้ว่า ธรรมเหล่านี้ทั้งหมดไม่มีแล้วเกิดมี มีแล้วเสื่อม เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายจึงไม่เที่ยง เพราะไม่เที่ยงจึงเป็นทุกข์ เพราะเป็นทุกข์จึงเป็นอนัตตา ดังนี้. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เป็นอันทรงแสดงวิปัสสนาภูมิ อันมีตรุณวิปัสสนา (วิปัสสนาอย่างอ่อน) เป็นที่สุด.
บทว่า นิพฺพิทาย ได้แก่ เพื่อความเบื่อหน่ายธรรมชาติอันเป็นไปในภูมิ ๓ อันได้แก่ขันธปัญจก. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพลววิปัสสนา (วิปัสสนาแรงกล้า) ด้วยบทนี้.
บทว่า วิราคาย ได้แก่ เพื่อวิราคะ คือเพื่อคลายกำหนด. ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงมรรค.
บทว่า นิโรธาย ได้แก่ เพื่อดับ. แม้ด้วยบทนี้พระองค์ก็ทรงแสดงถึงมรรคเหมือนกัน.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า นิโรธาย พระองค์ทรงแสดงถึงอนุปาทิเสสนิพพาน พร้อมด้วยปฏิปัสสัทธินิโรธ (การดับด้วยความสงบ).
บทว่า เอวํ จกฺขุมนฺโต ปสฺสนฺติ ได้แก่ ผู้มีปัญญาจักษุย่อมเห็นจตุสัจจธรรมด้วยจักษุ คือมรรคปัญญาโดยส่วนอันมีในเบื้องต้นอย่างนี้.
ในคาถาทั้งหลายพึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้.
บทว่า โย ภูตํ ภูตโต ทิสฺวา ความว่า พระอริยสาวกใดเห็นขันธปัญจกที่เกิดแล้ว โดยความเป็นจริง คือโดยสภาพที่ไม่วิปริต ด้วยมรรคปัญญาอันประกอบด้วยวิปัสสนาปัญญา ด้วยบทนี้ พระองค์ทรงแสดงถึงปริญญาภิสมัย (การตรัสรู้ด้วยกำหนดรู้).
บทว่า ภูตสฺส จ อติกฺกมํ ได้แก่ ภาวนาภิสมัย (การตรัสรู้ด้วยภาวนา).
จริงอยู่ อริยมรรคท่านกล่าวว่า ก้าวล่วงขันธปัญจกที่เกิดแล้ว เพราะเป็นเหตุก้าวล่วงขันธปัญจกที่เกิดแล้ว.
บทว่า ยถาภูเต ได้แก่ น้อมไปในนิพพานอันมีสภาพเป็นสัจจธรรมไม่วิปริต. ด้วยบทนี้ พระองค์ทรงแสดงถึงสัจฉิกิริยาภิสมัย (การตรัสรู้ด้วยการทำให้แจ้ง).
บทว่า ภวตณฺหาปริกฺขยา ได้แก่ เพราะสิ้นไป คือเพราะตัดขาดภวตัณหาด้วยประการทั้งปวง. ด้วยบทนี้ พระองค์ทรงแสดงถึงสมุทยปหาน (การละตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์).
ก็บทว่า สเจ ในบทว่า สเจ ภูตํ ปริญฺโญ โส นี้ เป็นเพียงนิบาต.
อธิบายว่า ถ้าว่า อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ขันธปัญจกที่เกิดแล้ว คือกำหนดรู้ขันธ์ เพราะสิ้นภวตัณหาด้วยมรรคอันเป็นอุบายก้าวล่วงขันธปัญจกะที่เกิดแล้ว แต่นั้นก็น้อมไปในนิพพานตามเป็นจริง.
บทว่า ภวาภเว ความว่า ภิกษุปราศจากตัณหา คือทำลายกิเลสได้แล้ว ในภพน้อยและภพใหญ่ หรือในเพราะการเห็นความขาดสูญเป็นต้น ย่อมไม่มาสู่ภพใหม่ คือถึงความเป็นผู้ไม่มีบัญญัตินั่นเอง เพราะความไม่เกิด คือไม่เกิดอีกต่อไปแห่งอัตภาพ อันได้แก่อุปาทานขันธ์ที่เกิดแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
พระองค์ตรัสถึงวัฎฏะในสูตรที่ ๑๑ ในวรรคนี้ ตรัสถึงวัฎฏะและวิวัฎฏะในสูตรที่ ๓-๔-๕ และในสูตรสุดท้ายด้วยประการฉะนี้.
แม้ในสูตรที่เหลือก็พึงทราบว่าเป็นวิวัฏฏะอย่างเดียว.
จบอรรถกถาทิฏฐิสูตรที่ ๑๒
จบอรรถกถาทุกนิบาตอิติวุตตกะ
แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อว่า ปรมัตถวิภาวินี
-----------------------------------------------------
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=5363&Z=5402
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น