บุคคลที่ใดที่จะสาธยายมนต์ให้มันศักดิ์สิทธิ์โยมจงทำตัวเองนั้นให้ศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน ศักดิ์สิทธิ์อย่างไร คืออ่อนน้อมถ่อมตนให้เกียรติ์ตัวเองให้ได้ นั่นเรียกบุคคลผู้นั้นได้คารวะตัวเองได้ ย่อมไปถึงคุณบิดามารดา ผู้ให้กำเนิด ผู้ให้วิชา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเมื่อโยมไม่ให้เกียรติตัวเอง ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติคุณบิดามารดาเช่นเดียวกัน โยมทำตัวไม่ดีเขาว่าถึงบิดามารดามั้ยจ๊ะ เราเป็นต้นเหตุหรือไม่ เราทำไม่ดีเมื่อเขารู้ว่าอาจารย์คนไหน อาจารย์เสียมั้ยจ๊ะ..ไม่มีดีเลยใช่มั้ยจ๊ะ
ก็เอาสิ่งที่เสียนั่นแหล่ะจ้ะ มาไตร่ตรอง มาพิจารณาดู ไอ้ที่ดีแล้วก็ให้รักษาเอาไว้ เพราะโยมนั้นถ้าดีหมดแล้ว โยมคงมาไม่ถึงฉันหรอกจ๊ะ มันเป็นแค่เศษกากเดนที่โยมได้เกิดขึ้นมา เพราะได้อาศัยศีล ทาน บารมีที่โยมได้สะสมจึงได้เกิดมีศีลมีธรรมขึ้นมา แต่ไอ้สิ่งที่โยมติดตัวมานี่แล โยมต้องทำอยู่บ่อยบ่อย อย่าคิดว่าวันนี้ทำแล้วพอแล้ว
อย่าลืมว่าโยมต้องกินต้องใช้ทุกวัน ถ้าโยมไม่ทำทุกวัน เมื่อโยมคิดว่ารอให้มันพร่องก่อนค่อยทำใหม่ มันก็ไม่ต่างอะไรกับเรียกว่าการอดมื้อกินมื้อ บุญกุศลก็เช่นกัน ดังนั้นเมื่อเราทำอยู่เป็นนิตย์ ทำอยู่สม่ำเสมอแล้วไซร้ เรียกว่าจักบริบูรณ์ คำว่าบริบูรณ์นี้มันทำอะไรมันก็เข้าถึงได้ง่าย เพราะว่ามันมีบริบูรณ์แล้ว มันไม่พร่องแล้วนั่นเอง กำลังบารมีในความเพียรก็จะมีมากได้
ดังนั้นความศรัทธานี้โยมต้องมีให้มาก..
โยมจะศรัทธาอะไร โยมต้องศรัทธาตัวเองให้มาก ศรัทธาอย่างไร..ศรัทธาว่าเรานั้นได้เกิดมาแล้ว มีต้นทุนมหาศาล ด้วยมีกายวาจาใจ เรียกว่ามีอาการครบ ๓๒ ได้โชคดีที่ได้เกิดมาได้เจอพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดา เปรียบเสมือนว่าโยมนั้นได้เกิดทันที่ท่านได้มาตรัสรู้ คราใดที่เว้นว่างจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือผู้รู้แล้วไซร้ นั่นเรียกว่าบุคคลทั้งหลายก็เรียกว่ายังตกทุกข์อีกมาก
แต่นี่เรียกว่าถือว่าโยมนั้นได้เกิดทันในคำสอนของพระศาสดา หาว่าโยมนั้นจะมีการน้อยเนื้อต่ำใจ หรือว่าด้อยค่ากว่าสาวกขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเลยไม่ แม้ถ้าท่านยังคงอยู่ท่านก็ยังตรัสและเตือนบุคคลที่ใฝ่อยู่ในธรรม ที่จะเดินเข้าหาความหลุดพ้น แสวงหาซึ่งความพ้นทุกข์ได้ ท่านก็จะย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่ทุกเช้า ทุกทิวาราตรีเช่นเดียวกัน
บุคคลใดที่น้อมจิตน้อมกายวาจาใจเข้าไปในธรรมคำสั่งสอนของท่าน เท่ากับว่าบุคคลนั้นได้เข้าเฝ้าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ฉันจึงบอกว่าในยามเช้าถ้าโยมเข้าเฝ้าได้แล้ว โยมมีความตั้งจิตตั้งใจ ขอให้รู้ว่าในเบื้องหน้าของโยมแม้โยมจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เมื่อโยมมีความเชื่อความศรัทธาด้วยใจนั่นแหละจ้ะ ตาในเรียกว่าโยมได้เปิดแล้ว..ได้เห็น เรียกว่าได้เข้าเฝ้า ในยามเย็นโยมก็ได้เข้าเฝ้าอีกอยู่เป็นนิตย์
เมื่อโยมมีความเพียรอยู่แบบนี้ เมื่อท่านเล็งเห็นว่าโยมนั้นพอมีบารมีญาณแล้วที่จะให้ธรรมได้ ในขณะที่โยมสาธยายมนต์อยู่นั้นแล ท่านก็จะประสาทวิชาให้โยมได้ อย่าได้ตกใจหรือคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ท่านไม่มีกายสังขารวรกายแล้ว แต่อย่าลืมว่าจิตที่เป็นอมตะแห่งทิพย์นั้น ไม่มีคำว่าตายไปไหนยังคงเป็นอมตะ เรียกว่าไม่มีการเกิดไม่มีการตาย ที่ดับสูญคือกิเลสตัณหา แต่ความดีและธรรมก็ยังคงอยู่
ดังนั้นถ้าโยมเข้าใจตรงนี้และเข้าถึง โยมจะเห็นว่าองค์พระศาสดาท่านอยู่ทุกอณูอากาศ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อยู่ทุกลมหายใจเข้าออกของโยม เพราะลมหายใจนี้เมื่อครั้งให้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ท่านก็ได้ใช้ลมนี้..กำหนดรู้ลมนี้ด้วยอานาปานสติ ก็หาว่าใช่จะผิดแปลกจากโยมไม่ โยมว่าโยมมีเกียรติแค่ไหนจ๊ะ แม้ลมนี้ก็ได้ใช้แบบเดียวกับพระองค์ท่าน แล้วโยมมีอะไรที่มันด้อยค่าเล่าจ๊ะถ้าแบบนั้น ที่มันด้อยค่าเพราะโยมนั้นไม่เห็นค่าต่างหาก...
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น