#ลูกหลานถาม ; เหตุใดเล่า ฌาน แล ญาณ ของท่านผู้รู้แจ้งเห็นจริง จึงเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง บางทีศิษย์ของท่านทั้งหลายก็ถกเถียงกันว่า ญาณของใครจริง-ไม่จริง.. ขอกราบเรียนหลวงปู่อรรถาธิบายให้ลูกหลานแจ่มแจ้งด้วยเถิดเจ้าข้า ?
#หลวงปู่ตอบ ; ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย๚ .. ขออรรถาธิบายอย่างนี้
ฌาน คือ การเพ่งลงไป ณ จุดใดจุดหนึ่ง. แต่ละจุดย่อมไม่เหมือนกัน. ย่อมต่างกัน. แม้จุดเดียวกันแต่รายละเอียดของแต่ละอณูก็แตกต่างกันไป
ผู้ใดมีกมลสันดานยึดมั่นถือมั่น แต่ทว่ามีบุญสั่งสมมาดีทางด้านกำลังฌาน เมื่อตนเพ่งเล็งลงไปพบเห็นอย่างไรก็ย่อมปักใจเชื่อมั่นไปในสิ่งนั้น ใครอื่นเห็นแตกต่างออกไปก็จะไม่รับฟังรับรู้ ปฏิเสธไปเสียก่อนเลยทีเดียวเชียว
แท้ที่จริง โยคาวจรทั้งหลายจักพึงยึดมั่นถือมั่นในความรู้ความเห็นอันใดแม้ประเสริฐเลิศล้ำโอฬารตระการเพียงไร หาได้ไม่. ขืนยึดมั่นถือมั่นย่อมมิใช่พุทธศาสน์ มิใช่พุทธศาสตร์ จักเป็นไสยศาสตร์ เป็นหนทางแห่งมาร เลยทีเดียว.
ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย ๚ สิ่งอันเราได้เห็น ณ ชั่วพริบตาเดียวนั้น ครั้นเมื่อเราหันมาเจรจากับหมู่พวก สิ่งนั้นก็เปลี่ยนไปแล้ว เคลื่อนคล้อยไปแล้ว ไม่เหมือนเดิมแล้ว
หรือ จักเปรียบดั่งการเดินทางทัศนาจรไปด้วยกัน พร้อมกัน ในเส้นทางเดียวกัน. ผู้ไปพร้อมกันนั้นต่างก็แลเหลียวไปในทิศทางต่างกัน. ถึงแม้แลมองไปในทิศเดียวกัน ทัศนคติแลทัศนวิสัยต่างกัน จุดที่เพ่งเล็งต่างกัน จึงทำให้แลเห็นต่างกัน. หามีทางจักเห็นเหมือนกันทุกส่วนสัดหาได้ไม่.
สัทธรรมทั้งหลาย สำแดงให้ประจักษ์แจ้งอยู่แล้ว ว่า สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง ดังในพระคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคแต่โบราณท่านบ่งชี้ไว้ "จักขุ อหุตวา สัมภูตัง หุตวา น ภวิสสตีติ ววัตเถติ" เป็นต้น. ความหมายคือ "จักขุประสาทที่ยังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น ครั้นมีแล้วก็จักกลายเป็นไม่มีอีก" .. ดังนี้แล๚
ฌาน แล ญาณ เป็นการเห็นชั้นใน มิใช่ตาเนื้อ ก็จริง. แต่ก็หาพ้นไปจากสัทธรรมดังกล่าวไม่
ความรู้ความเห็นของท่านผู้ใดที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ความรู้ความเห็นชนิดนั้นจึงเป็นพลัง ปรโตโฆษะ เป็นโยนิโสมนสิการ ก่อเกื้อสร้างสมบุญญาบารมีให้จำเริญรุดหน้าไปได้. แต่ถ้ายึดมั่นถือมั่นเสียแล้ว ย่อมตีบตัน ติดตัน อาจเดินหน้าออกจากฝั่งไปได้หน่อยหนึ่ง แต่แล้วก็ลอยเคว้งติดบ่วงติดแร้วอยู่ท่ามกลาง มิสามารถไปถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งได้. ไม่ว่าจะใช้ยานชนิดใดในการเดินทางก็ตาม.
ในหมู่ศิษยานุศิษย์ของครูบาอาจารย์รูปเดียวกัน ลางเหล่าก็อาจเห็นว่าครูบาอาจารย์ตนเป็นสาวกยาน บรรลุอริยมรรคอริยผล แต่ลางเหล่าก็อาจเห็นว่าครูบาอาจารย์ตนเป็นพระโพธิสัตว์ยาน.. เช่นนี้ ขออย่าได้ทุ่มเถียงว่าใครเห็นถูกเห็นผิดเลย
พึงเข้าซึ้งถึงแก่นจิตเถิดว่า... สรรพยาน-สรรพญาณ นั้นแตกกิ่งก้านสาขา งอกช่อออกดอก เป็นพิพิธพันธุ์ไป ไม่สิ้นสุด.
อณูภาคส่วนหนึ่งของท่านบรรลุมรรคผลเป็นสุญญตาแล้วไซร้. ทว่าอณูภาคอีกส่วนหนึ่งเป็น "#มหายานบารมีธรรม" ดำเนินอยู่ เพื่อเกื้อกูลสรรพสัตว์ต่อไปอีก เป็นอนันตกาลประมาณมิได้.
ท่านผู้บำเพ็ญสั่งสมบารมีมาอย่างสูงส่งเกินที่ปุถุชนทั้งหลายจักคาดหมายได้ ปฏิปทาของท่านมักเป็นเช่นนี้แล.
๏ พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะชาลีติ เมตตาลาโภนะโสมิยะ อรหังพุทโธ ยะธาพุทโมนะ ขออาราธนาต้นสายแลแก่นแท้พระสัทธรรม อันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มาอำนวยพรชัยอุตดมเลิศมงคล วิวีพุทโธอิติ แก่ลูกหลานทุกคน ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพานะปัจจะโยโหตุ เทอญ ๚ะ๛
---------------------------
#ธรรมเทศนากัณฑ์น้อย
#ธรรมเทศนาหลวงปู่เทพโลกอุดร.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น