นักศึกษาปริญญาโทคนหนึ่งเข้ามาถามหลวงพ่ออย่างไม่เข้าใจ
“ผมเห็นมีแต่คนกราบไหว้ท่าน ท่านยังเป็นมนุษย์อยู่ อย่างนี้ไม่เรียกว่างมงายหรอกหรือครับ? กระผมไม่เคยกราบใคร กระผมกราบตัวเอง”
“โยมเคยตีแบตหรือตีปิงปองไหม?”
“เคยครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ผมถามหลวงพ่อละครับ?” เขาตอบและย้อนถามกลับไป
“แล้วโยมตีแบตทำไม? ลูกขนไก่นะ ต่อให้ไม่มีใครตีมันมันจะเสียใจไหม? คนตั้งเยอะตั้งแยะพากันรุมตีมัน เพราะต้องการให้มันเละใช่หรือเปล่า?” หลวงพ่อถามกลับบ้าง
“ไม่ครับ ที่เราเล่นแบตก็เพราะต้องการฝึกฝนออกกำลังกายและความสนุกสนานครับ”
“หากไม่ใช้ลูกขนไก่ แต่เอาอย่างอื่นมาตีแทนได้ไหม?” หลวงพ่อถามต่อ
“แล้วมันจะเรียกว่าตีแบตได้ยังไงละหลวงพ่อ เดี๋ยวคนที่เห็นก็หาว่าเราบ้านะสิครับ!”
“โยมตอบได้ดี! ลูกขนไก่เป็นเพียงอุปกรณ์ เป็นอุปกรณ์ที่นำมาซึ่งสุขภาพและความรื่นเริง ในเมื่อร่างกายยังต้องฝึกฝน แล้วจิตญาณล่ะต้องฝึกฝนไหม?” หลวงพ่อกลับเป็นฝ่ายถามไปเสียแล้ว
“ตอบตามเหตุผลก็สมควรครับ แต่ว่า เอ๊ะแล้วจิตญาณนี่เราจะฝึกฝนกันยังไงล่ะครับ?”
“คนเรา เมื่อเคารพศรัทธาในสิ่งใด ก็จะยกมือพนมก้มกราบไหว้อย่างหมดจิตหมดใจ นั่นเป็นการแสดงออกซึ่งความอ่อนน้อม ความยอมรับ ความสำนึกผิด ความสำนึกคุณ และขอความช่วยเหลือ ในขณะที่จิตเกิดความนอบน้อม กายก็แสดงออกถึงความอ่อนน้อม เช่นนี้เรียกว่าสลายอัตตาตัวตน นี่คือการฝึกฝนจิต ที่ญาติโยมกราบไหว้อาตมา ก็เพราะว่าอาตมาคือตัวแทนแห่งพระพุทธ อาตมาเป็นเพียงอุปกรณ์ซึ่งไม่ต่างอะไรกับลูกขนไก่ที่ให้ผู้คนตีไปตีมา เพียงแต่ว่าอาตมามิใช่ลูกขนไก่จริงๆ อาตมาเป็นเพียงลูกขนไก่แห่งจิตญาณเท่านั้นเอง”
“อ่อ ขอรับ” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากหลวงพ่อหยุดมองเขาครู่หนึ่ง
“ส่วนที่คนเราต้องกราบไหว้บรรพชน ก็เพราะฝึกฝนบ่มเพาะจิตกตัญญูรู้คุณ อิงจิตเคารพนบนอบสำนึกคุณต่อบรรพชนผู้เป็นต้นแห่งสายชีวิต
ส่วนที่ต้องไหว้พระแม่โพสพพระนางธรณีเจ้าที่ศาลพระภูมิ ก็เพราะสำนึกคุณเจ้าที่เจ้าทางที่คอยปกปักรักษา ให้เราอยู่รอดปลอดภัย มีพืชพันธุ์ธัญญาหารอันสมบูรณ์หล่อเลี้ยงชีวิต
ที่กราบไหว้แม่น้ำคงคา ก็เพราะสำนึกบุญคุณและสำนึกขอขมาต่อเทพแห่งสายน้ำ ที่ช่วยหล่อเลี้ยงชุบชูชีวิตกายสังขาร ร่างกายของคนเรา70%ประกอบไปด้วยน้ำ ภูมิปัญญาของคนโบราณนั้นแยบยลนัก ทุกสิ่งอย่างล้วนมีปรัชญาแฝงอยู่
ในยามที่กราบไหว้ด้วยความเคารพนั้น คนกราบและคนที่ถูกกราบก็คือเนื้อแท้เดียวกัน ไม่มีเธอต่ำต้อยหรือฉันที่สูงศักดิ์ บางคนไม่เข้าใจปรัชญานี้ก็ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนพวกนี้มันบ้า! คุณไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ยอมไต่ถามแถมเอาไปโพนทะนาเสียๆหายๆ คุณนั่นแหละที่เป็นคนบ้าเสียเอง!”
“โห! หลวงพ่อ ท่านนี่ช่างแยบยลนัก ขอให้รับการกราบจากผมสัก3กราบเถิด”
เขาคุกเขาก้มลงกราบหลวงพ่อด้วยความศรัทธาเลื่อมใส
“ยังไงละ เข้าใจในการฝึกฝนจิตแล้วหรือยัง?” หลวงพ่อถามเมื่อเขากราบเสร็จ
“เข้าใจแล้วครับๆ”
“นี่แหละ ที่ใครๆเรียกอาตมาว่าพระอาจารย์ ก็เพราะอาตมาสอนสั่งและไขข้อข้องใจให้โยมได้ ไม่ว่าจะเป็นทางความคิดและการกระทำ”
@ผู้มีความฉลาดอัดแน่นไปด้วยอัตตาคือความยึดมั่นถือมั่น เปรียบดั่งรวงข้าวที่มีเมล็ดข้าวเต็มรวง มันรู้สึกจองหองว่าตนเองอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเมล็ดข้าว จึงเชิดรวงตั้งตรงชี้ขึ้นปลายฟ้า
ผู้มีปัญญาอัดแน่นไปด้วยกาลัญญุตาคือความรู้กาล เปรียบดั่งรวงข้าวที่กำลังสุกเต็มที่ มันรู้สำนึกคุณว่ามันเจริญเติบใหญ่ได้ก็เพราะฟ้า ดิน คน เป็นผู้ชุบเลี้ยงฟูมฟัก จึงน้อมรวงลงต่ำโค้งหัวให้ อันเป็นการแสดงถึงความเคารพนั่นเอง
คนเรา ไม่มีครูบาอาจารย์สอนสั่ง เราเอาความรู้มาจากไหน?
เรียนรู้จากธรรมชาติ ธรรมชาติคือครูของคุณ!
เสิร์จหาเองจากกูเกิล กูเกิลนั่นแหละคือครูของคุณ!
ไม่มีใครที่ไม่มีครู เป็นศิษย์ จึงต้องบูชาครู
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ที่มา ~นุสนธิ์บุคส์~
Cr. Thaitaishop Karaked
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น