23 มิถุนายน 2563

เหตุไม่ฉันเนื้อสัตว์ " -: พระธรรมเทศนาพระจารย์มั่น ภูริทัตโต :- เกี่ยวกับการฉันเจ..!

"หลวงปู่ผาง"ท่านพูดเกี่ยวกับการที่ท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์ว่าดังนี้ “ปูปลาน้อยคืนลาเมือเมืองเกลี้ยงออหลอ ยังแต่กบเขียดน้อยอีกสองมื่อจังซิต่าวเมือ” พวกปูปลา หรือพวกสัตว์ใหญ่มาลาท่านจนไม่เหลือ จะเหลือแต่กบเขียดหรือพวกสัตว์เล็กๆ อีก ไม่นานก็จะลากลับเหมือนกัน เหตุที่ลากลับก็เพราะมนุษย์กินหมด

ครั้งหนึ่ง ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงปู่ได้เที่ยวธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ตามป่าเขาลำเนาไพร ได้ปักกลดพักปฏิบัติภาวนา อยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ขณะนั่งภาวนาอยู่นั้น ได้ปรากฏในนิมิตว่า มีพวกวิญญาณ ของสัตว์ชนิดต่างๆ มาปรากฏต่อหน้าท่านเยอะแยะเต็มไปหมด ต่างตัวก็ต่างฟ้องร้องเรียนและลาต่อท่านว่า “พวกเราได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส  ทุกข์ทรมานมาก เพราะต้องถูกพวกมนุษย์หูกิ้นๆ(หูสั้นๆ) ตามล่าฆ่ากินเป็นอาหาร ขอให้หลวงปู่ได้โปรดแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้พวกเราได้พ้นจากทุกข์ด้วย ที่สำคัญ ขอให้หลวงปู่ ได้ช่วยสั่งสอนพวกมนุษย์ทั้งหลาย ให้มีเมตตาอย่าได้พากันเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยเถิด”

เมื่อท่านได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความสังเวชสลดใจสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง สะเทือนเข้าไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ ฝังลึกมาก รู้สึกเมตตาสงสารพวกวิญญาณ ของสัตว์เหล่านั้นอย่างจับใจ โอ มนุษย์หนอมนุษย์ คนหนอคน ช่างโหดร้ายใจดำ เบียดเบียนทำลายชีวิตของผู้อื่นได้ โดยไม่ได้คิดถึงว่าเขาก็มีชีวิต เราก็มีชีวิต ต่างก็รักตัวกลัวเจ็บกลัวตายกันทั้งนั้น ไปฆ่าไปแกงเขา รังแกเบียดเบียนทำลายเขาได้ไม่เป็นไรกลับมีความสุข มองไม่เห็นความทุกข์ของผู้อื่น พอใจดีใจว่าตัวเองได้อยู่ดีกินดี

มันเป็นเช่นนี้นี่เอง โลกในนี้ เป็นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว มนุษย์ย่อมเอาเปรียบสัตว์ รังแกสัตว์ที่ไม่มีทางสู้ เมื่อสั่งสมบาปจิตใจหยาบช้ามากขึ้นไปกว่านั้นอีก ก็รังแกเบียดเบียดเบียนมนุษย์ด้วยกันเอง ถ้าโหดไปกว่านั้นอีก จิตใจไม่รู้จักบุญจักบาปแล้ว ก็สามารถฆ่าแกงคนแล้วแร่เนื้อถือหนัง ชำแหละอวัยวะออกเป็นชิ้นๆ ได้โดยจิตใจไม่สะดุ้งสะเทือน เกรงกลัวต่อบาปกรรม ที่ตัวเองจะได้รับ

   เมื่อท่านพิจารณาเห็นดังนั้น จึงได้ตั้งใจว่า “ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปจะฉันแต่อาหารเจ งดเว้นเนื้อสัตว์ทุกชนิด” และได้ตั้งใจปฏิบัติภาวนาอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตา ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ทั่วแดนโลกธาตุ

วันต่อมาท่านได้เดินธุดงค์ต่อไป ขณะเดินอยู่กลางป่านั้น ก็ได้เห็นเหตุการณ์แปลกประหลาด อันน่าสลดหดหู่ จะเป็นน้ำมือของมนุษย์คนใดก็สุดที่จะเดาได้ ท่านได้เห็นภาพที่น่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก ท่านว่า เห็นพวกกบเขียดทั้งหลาย เอาคางตัวเองปักเสียบเข้ากับหนามแท่ง ห้อยโตงเตงตายแห่งคาหนามอยู่เต็มไปหมด ก็ทำให้ท่านยิ่งสังเวชสลดใจ เมตตาสงสารสรรพสัตว์ทั้งหลายหนักเข้าไปอีก เป็นการตอกย้ำถึงความตั้งใจที่ได้ไว้เมื่อคืนนี้ แต่นี้ต่อไปจะฉันเฉพาะอาหารเจ งดเว้นเนื้อสัตว์ และได้ปฏิบัติตามความตั้งใจตั้งแต่นั้นเป็นตันมา จนถึงวันท่านมรณภาพ..

เรื่องอาหารการกินนี้ องค์หลวงปู่ถึงแม้ท่านจะฉันอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ แต่ท่านก็ไม่ได้ชักชวนใคร หรือแนะนำใคร บังคับใคร ให้เอาอย่างท่านแต่ประการใด ท่านปฏิบัติของท่านคนเดียวอย่างนั้น เพราะท่านรู้ดีว่า เรื่องการอยู่การกินนี้ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติไว้ชัดเจนแล้ว เรื่องเนื้อ ๓ ประการ คือ ไม่เห็นฆ่า ๑ ไม่ได้ยินว่าเขาฆ่า ๑ ไม่ได้รังเกียจสงสัยว่าเขาฆ่าเจาะจงมาถวายตน ๑ ทรงอนุญาตให้ภิกษุสามเณรฉันได้ ไม่เป็นอาบัติ ถ้าตรงกันข้ามจากนี้ คือได้เห็น ได้ยิน หรือรังเกียจสงสัยว่าเขาฆ่าเจาะจงมาถวายตน ท่านห้ามไม่ให้ฉัน ถ้าฉันต้องอาบัติทุกกฎ

อีกประการหนึ่ง เนื้อ ๑๐ ประการ ที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม คือ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาว เนื้อหมี เนื้องู เนื้อสุนัข เนื้อมนุษย์ เนื้อ ๑๐ ประการนี้ ท่านห้ามไม่ให้พระฉัน ถ้ารูปไหนฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ ส่วนฉันเนื้อมนุษย์ และเนื้อดิบ เป็นอาบัติถุลลัจจัย

แม้หลวงปู่มั่น ท่านก็เคยสอนลูกศิษย์ สมัยพักอยู่ป่าเปอะ จังหวัดเชียงใหม่ว่า

“คนเรามันไม่ได้วิเศษวิโส เพราะการกินผักกินเนื้อนะ แต่มันวิเศษด้วยการกินเพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้า เนื้อนั้น มันไม่ได้รู้เรื่องดีเรื่องชั่วเหมือนคนเรา จิตเราดอก พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณาแล้วนำมาสอนตน จะทำให้เราดีขึ้นได้

เรื่องกินอยู่หลับนอนอะไรๆ พระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับการกินเจไม่กินเจ กินเนื้อไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ฉันได้ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลอเป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมสุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลสจบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอก วัวควายเป็นต้นนั่นแหละ มันจะสิ้นกิเลสก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่หญ้า เต็มปากเต็มพุง มันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ท้องนา

ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของเลิศ วัวควายมันเลิศก่อนแล้ว เพราะมันเกิดมาก็กินแล้ว โดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควายกินหรอก เพราะวัวควายมันปฏิเสธเนื้อโดยประการทั้งปวง กินแต่ผักแต่หญ้า

ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่การไปตำหนิคนโน้นคนนี้ ว่ากินเนื้อเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วมาหลงตน ยกยอตนว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วันๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน คนเรามันประเสริฐได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ส่วนเรื่องการกิน เป็นเรื่องรองๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องเอก” ดังนี้

อีกประการหนึ่ง การฉันเจนี้ หลวงปู่ผาง ท่านอนุโลมตามธาตุขันธ์ขององค์ท่าน ดังที่ท่านเคยบอกลูกศิษย์ลูกหา “ธาตุขันธ์ของผมมันไม่ให้แล้วนะ หมู่เพื่อน ช่วงหลังมานี้ ฉันเนื้ออะไรแล้ว มันไม่ย่อย จะฉันอะไรก็พากันฉัน ฉันตามได้ตามมีตามเกิดนั่นแหละ” ส่วนใครจะฉันเหมือนองค์ท่านหรือไม่นั้น ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วแต่อัธยาศัยของใครของมัน

ขอบคุณที่มา
  * หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต *

ขออนุโมทนาบุญท่านผู้มีส่วนเผยแพร่โอวาท
ธรรมและภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ขอจงเจริญ
รุ่งเรืองในธรรม พบสุขอันเกษม.
สาธุอนุโมทามิ นิพพานะปัจจะโยโหตุ...

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...