1). กายเนื้อ (Physical Body)
“กายเนื้อ” คือที่สิงสถิตย์ของ “ตัวตนที่สูงส่งกว่า” (Higher Self) ของคุณ
เพื่อใช้สำหรับการสำรวจตรวจค้น หาความลึกลับและความมหัศจรรย์ทั้งหลาย
ของความเป็นคุณ ที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นวัตถุธาตุแห่งนี้
ร่างกายเนื้อนี้ จะมีความไวต่อโปรแกรมต่างๆที่ถูกถ่ายทอดผ่านการสัมผัสเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่ช่วงหลายนาทีหลังจากการเกิดแล้ว มันบรรจุความทรงจำต่างๆของชีวิต
ทั้งในชาติภพนี้และในชาติภพอื่นๆเอาไว้ด้วย
2). กายทิพย์ หรือ กายละเอียด (Etheric or Astral Body)
“กรรม” ซึ่งก็คือ จุดที่เกิดการบีบอัดกัน หรือหดตัวของกระแสการไหลของพลังจักรวาล
เพราะความตระหนักรู้/ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของเรา
กรรมส่วนใหญ่ของพวกเราแต่ละคน จะไปสะสมอยู่ในส่วนของกายทิพย์หรือกายละเอียดนี้
(มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะไปสะสมอยู่ในกายเนื้อ)
กายทิพย์นี้ ประกอบไปด้วยเส้นแสงสีฟ้าจำนวนมากมาย ซึ่งจุดที่เส้นพลังงานเหล่านี้มาตัดกันนั้น
จะก่อให้เกิด “จุดที่จะใช้ฝังเข็มเพื่อการบำบัดรักษาแบบจีน” ขึ้น และรวมถึง
จะก่อให้เกิด “จักระหลัก” และ “จักระรอง” ทั้งหลายขึ้นด้วย
โดยที่ ถ้าจุดไหนมีเส้นพลังงานมาตัดกันถึง 7 จุด จุดนั้นก็จะกลายเป็นจุดที่จะใช้ฝังเข็ม
ส่วนถ้าจุดไหนมีเส้นพลังงานมาตัดกันถึง 13 จุด จุดนั้น ก็จะกลายเป็น “จักระรอง” ไป
แต่ถ้าจุดไหนมีเส้นพลังงานมาตัดกันถึง 20 จุดแล้วหละก็ จุดนั้น ก็จะกลายเป็น “จักระหลัก” ไป
กายทิพย์นี้ จะมีสนามพลังงานเป็นเส้นตรง (ปล.ตรงนี้แปลเอาตามเข้าใจของตัวเองนะครับ
เพราะต้นฉบับเขาใช้คำว่า This body is linear เท่านั้นเองครับ – ผู้แปล)
และอยู่รอบๆกายเนื้อของเราห่างออกมาประมาณ 1 นิ้ว
3). กายแห่งอารมณ์ (Emotion Body)
มันคือสนามพลังออร่า (Auric Field) ความเจ็บปวดจากอดีตทั้งหลาย
จะถูกเก็บสะสมอยู่ใน 3 ชั้นแรกของกายของเรา (ได้แก่ กายเนื้อ, กายทิพย์, และกายแห่งอารมณ์)
เพราะฉะนั้น เมื่อใดที่เราสามารถปลดปล่อยอดีตให้ผ่านไปได้แล้ว
และสามารถทำให้นิสัยสันดานของเราเกิดความสมดุลได้แล้ว กายทั้ง 3 นี้ ก็จะใสสะอาดขึ้น
มันคือสนามพลังงานที่กำลังไหลเวียน (flowing field)
และแผ่ขยายออกมาจากร่างกายเนื้อของเราราวๆ 14 นิ้ว
4). กายแห่งจิต (Mental Body)
เมื่อเราสามารถทำให้กายทั้ง 3 ของเราอยู่ในความสมดุลได้แล้ว ซึ่งรวมถึง
สามารถทำให้สมองซีกซ้ายและขวาของเราทำงานกันอย่างสมดุลได้แล้ว
กายแห่งจิตนี้ ก็จะค่อยๆเลิกขัดขวางการเข้าถึงกายแห่งจิตวิญญาณชั้นสูงๆกว่าของเราไป
กายแห่งจิตนี้ มีสนามพลังงานเป็นเส้นตรง (linear) และจะอยู่ห่างออกมาจากกายเนื้อของเราราวๆ 14 นิ้ว
5). กายแห่งอารมณ์ของจิตวิญาณ (Spiritual Emotional Body)
เมื่อใดที่เราสามารถเข้าถึงกายนี้ได้แล้ว เราก็จะเริ่มมีชีวิตอยู่ในกาลเวลาที่เป็นนิรันดร์
ซึ่งสอดคล้องกับพระประสงค์ของความไม่มีที่สิ้นสุด (The Infinite)
กายนี้มีลักษณะเป็นสนามพลังงานที่ไหลเวียน (flowing field)
ที่แผ่ขยายออกมาจากกายเนื้อของเราราวๆ 19 นิ้ว
6). กายแห่งจิตของจิตวิญญาณ (Spiritual Mental Body)
ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในกายนี้ จะประกอบไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยที่จำเพาะเจาะจงต่างๆ
ของพิมพ์เขียวแห่งชีวิตของเราในภพชาตินี้ และเมื่อใดที่เราสามารถเข้าถึงกายนี้ได้แล้ว
เราก็จะเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆด้วยมุมมองของเอกภพได้
เราจะเริ่มมองเห็นความไร้เดียงสาและคุณค่าของแต่ละชีวิตได้
ว่ามันเป็นภาพสะท้อนของความไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะในแบบที่มันเป็นอยู่นั้น
หรือในแบบที่มันไม่ได้เป็นอยู่นั้นก็ตาม
เราจะมองเห็นว่า มันไม่มีเรื่องที่ต้องให้สำนึกผิดใดๆอยู่เลย
ดังนั้น การตัดสิ้นชี้ถูกผิดใดๆจึงสูญสลายไปจนหมดสิ้น โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย
กายนี้มีสนามพลังงานเป็นเส้นตรง และอยู่ห่างจากกายเนื้อของเราออกมาราวๆ 19 นิ้ว
7). กายแห่งจิตวิญญาณ (Spirit Body)
มันจะมีเส้นใยเล็กๆของแสงสว่างนับพันๆล้านเส้น ที่แผ่ออกมาทุกทิศทุกทางจาก
“ศูนย์พลังชีวิต” (Life force Center) ของเรา
ซึ่งศูนย์พลังชีวิตที่ว่านี้ มันก็คือลูกบอลแห่งแสงสว่างสีขาว ขนาดเท่าผลส้มนั่นเอง
ซึ่งนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2007 เป็นต้นมา ศูนย์พลังชีวิตของมนุษย์ทุกๆคน
ได้เคลื่อนจากจุดตันเถียน (ตรงท้องน้อย) ขึ้นมาอยู่ที่จักระหัวใจแล้ว
ทุกสรรพชีวิตในเอกภพนี้ล้วนมีช่วงของความตระหนักรู้อยู่ในเส้นแสงสว่างเหล่านี้ช่วงใดช่วงหนึ่งทั้งสิ้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม พวกเราทุกคนถึงเป็น “จุลภาค” (microcosm) ของจักรวาล
กายนี้ คือกายที่เหล่า Shaman ทั้งหลาย ใช้เพื่อแปลงร่างไปเป็นสัตว์ต่างๆ หรือเป็นสิ่งอื่นๆ
นอกเหนือจากนี้ พวกเขายังใช้กายนี้เพื่อเข้าไปสู่จักรวาลคู่ขนานอื่นๆด้วย
พวกเขาจะใช้วิธีการย้ายตำแหน่งของจุดแห่งการเรืองแสงจุดหนึ่ง
ที่เรียกว่า “จุดเมลก” (Assemblage Point) ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของหัวใจ
เยื้องขึ้นไปทางขวามือเล็กน้อย ประมาณ 1 ช่วงแขน
กายนี้จะมีลักษณะของสนามพลังงานเป็นแบบเส้นตรง ที่แผ่ออกมาจากจุดศูนย์พลังชีวิต
ห่างออกมาราวๆ 1 ช่วงแขนของเรา
จุดเมลก” (Assemblage Point) นี้ จะอยู่ที่ขอบนอกสุดของกายแห่งแสงสว่างชั้นที่ 7 ของเรา
(กายแห่งจิตวิญญาณ) และจะมีลักษณะเป็นจุดสว่าง ที่จะเป็นตัวกำหนดว่า
เราจะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงโลกไหน
ถ้าจุดนี้เคลื่อนตำแหน่งไป จักรวาลนี้ ที่ดูเหมือนว่าเป็นของแข็งนั้น ก็จะหายไป
แล้วโลกแห่งความเป็นจริงโลกใหม่ ก็จะก่อตัวขึ้นมา
มันจะคล้ายๆกับความรู้สึกที่เราเข้าไปอยู่ในภาพสามมิติอันอื่นอย่างนั้นแหละ
การเคลื่อนที่ของจุด Assemblage point นี้แม้เพียงเล็กน้อย
ก็จะทำให้เราเข้าไปอยู่ในสภาวะอีกสภาวะหนึ่ง ที่แตกต่างไปจากเดิมได้
เช่น ในสภาวะที่จิตรวมเป็นสมาธิเป็นต้น ซึ่งด้วยการฝึกฝน
เราจะสามารถเข้าไปอยู่ในสภาวะที่จิตรวมเป็นสมาธิได้ชั่วคราว
ถ้าหากว่าเราแค่ไปที่จุดสิ้นสุดของสวนเพื่อไปรับจดหมายมาเท่านั้นเอง
มันเป็นการหยุดการเชื่อมต่อกับเสียงตะโกนของสมองซีกซ้ายชั่วคราว
จึงทำให้ข้อมูลข่าวสารที่บริสุทธิ์จากมิติที่สูงกว่าสามารถสาดส่องลงมาที่สถานการณ์นั้นๆได้
และทำให้เราได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่ยังไม่รู้นั้นๆได้
พลังงานของเราจำนวนมาก จะมาจากกายลำดับที่ 5, 6 และ 7 ของเรา
เพราะเหตุนี้ ถ้ากายชั้นในทั้งหลายของเรา มีจุดที่เป็นปมขมวดของพลังงานเกิดขึ้น
เราก็จะเหนื่อยง่าย เพราะว่ากระแสการไหลของพลังงาน จากกายชั้นที่อยู่สูงๆกว่าถูกบล็อกไว้
ดังนั้น กายแห่งอารมณ์ (emotional body) จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ในอันที่จะทำให้กระแสการไหลของพลังงานเป็นไปอย่างราบรื่น
นอกเหนือจากกายทั้ง 7 แล้ว พวกเรายังมีกายที่ใหญ่กว่าอยู่อีก 5 กายด้วยกัน
ซึ่งกายลำดับที่ 12 ของเรานี้ เป็นกายที่มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก
ใหญ่พอๆกับเอกภพเลยทีเดียว จนมันทับซ้อนอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด
ในขณะที่เรากำลังเคลื่อนเข้าสู่ขั้นตอนต่างๆของกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นอยู่นี้
พวกเรากำลังกระตุ้นให้กายทั้ง 12 ของเรา ทำงานอย่างเต็มที่อยู่
ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นแล้ว พวกเราก็จะมีจักระ 12 จักระ ไม่ใช่ 7 จักระเหมือนเดิมอีกแล้ว
เมื่อใดที่เราสามารถเข้าถึงกายทั้ง 12 ของเราได้ในภพชาตินี้ เราก็จะรู้แจ้งในทุกสิ่งทุกอย่าง
และในทุกๆภพชาติของเราเองด้วย เพราะว่าพวกมันทั้งหมดเชื่อมต่อกันอยู่
และเมื่อนั้นทุกๆการกระทำและความคิดในอดีต ก็จะกลับกลายเป็นสมบูรณ์แบบทั้งหมด
นี่คือสิ่งที่สำคัญ เพราะว่าถ้าหากว่าเราตายไปก่อนที่จะรู้แจ้ง
เราอาจจะทิ้งระลอกคลื่นเล็กๆแห่งความบาดหมางเอาไว้มากมาย
เพราะการที่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ของสิ่งที่มีระดับความสั่นสะเทือนต่ำกว่าความรักเอาไว้เยอะก็เป็นได้
เพราะฉะนั้น หากเราเปลี่ยนอดีตไปเสีย ปัจจุบันก็จะเปลี่ยนไปด้วย
และในทางกลับกัน หากปัจจุบันของเราเปลี่ยนไป อดีตก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน
ขอบคุณที่มา
เครดิต คุณชยุต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น