11 มิถุนายน 2563

จาปาเถรี : #บ่นผัวว่าขี้เกียจ #ผัวหนีไปบวช สำนึกผิด ออกบวชตามผัว #งานนี้ต้องขอบคุณศรีภรรยา


อดีตสามีของจาปาชื่อ อุปกะ เป็นนักบวชประเภทอาชีวก อาชีวกเป็นนักบวชเร่ร่อน ดูเหมือนมีสองประเภท ประเภทที่ไม่นุ่งห่มผ้า เรียก "อเจลก" ประเภทนุ่งห่มผ้าเรียก "อาชีวก" หรือ "อาชีวิกา" (สตรี)
.
อุปกะพบพระพุทธเจ้าระหว่างทาง ขณะพระพุทธองค์เสด็จพุทธดำเนินเพื่อไปโปรดปัญจวัคคีย์ ได้สอบถามถึงครูบาอาจารย์ของพระพุทธองค์
.
พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่มีครูอาจารย์ พระองค์เป็นสัมมาสัมพุทธะ (ตรัสรู้ชอบเอง) อุปกะ (ตามตำนานไทยว่า) ไม่เชื่อ สั่นศีรษะแล้วหลีกไป
.
แต่ถ้าดูตามคำพูดที่อุปกะพูดว่า "ผู้มีอายุ ที่ท่านพูดนั้นอาจเป็นไปได้ ถ้าอย่างนั้นท่านก็เป็นอนันตชินะ" และการสั่นศีรษะแล้ว แสดงว่าอุปกะเชื่อพระพุทธเจ้า เพราะตามธรรมเนียมแขกการสั่นศีรษะ หมายถึง การยอมรับ
.
เมื่ออุปกะจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไปอยู่ในหมู่บ้านนายพรานใกล้ฝั่งน้ำแห่งหนึ่ง ตกหลุมรักลูกสาวนายพราน สึกมาอยู่ด้วยกัน จนมีบุตรชายนามว่า สุภัททะ 
.
นางจาปา ผู้ภรรยา เวลาโกรธลูกชายที่ไม่อยู่ในโอวาท มักด่าลูกกระทบพ่อว่า 
.
"ไอ้ลูกฤาษีขี้เกียจ มึงนี้ขี้เกียจตัวเป็นขนเหมือนพ่อมึง" บ้าง 
"ไอ้ลูกปริพาชกมาแต่ตัว ไอ้ลูกคนยากจนไม่มีสมบัติอะไร" อะไรทำนองนั้น
.
@@@@@@
.
อุปกะได้ฟังก็สะท้อนใจ เมียรักแรกๆ ก็เอาอกเอาใจดี พอมีลูกแล้วกลับดูถูกสามีว่ามาแต่ตัว เป็นคนยากคนจน ชีวิตหนอชีวิตมันเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วเราจะอยู่ให้เขาดูถูกอยู่ทำไม เราไปอยู่กับ "อนันตชินะ" ดีกว่า
.
เมื่อสบโอกาสเหมาะ อุปกะก็ออกจากบ้าน มิไยภรรยาจะทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟัง มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ เมื่อพบพระพุทธเจ้าแล้วก็ขอบวชเป็นสาวก
.
พระพุทธเจ้าตรัสปฏิสันถารว่า "อุปกะ หลังจากวันที่เราได้พบกัน เธอไปอยู่ที่ไหน" อุปกะก็กราบทูลเรื่องราวเบื้องหลังให้พระพุทธองค์ทรงทราบ ดังข้อความข้างต้น แล้วกราบทูลขอบวช
.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อุปกะ บัดนี้เธอแก่แล้วจะบวชไหวหรือ" เมื่ออุปกะรับแข็งขัน จึงทรงประทานอุปสมบทให้ พระอุปกะหลังจากบวชแล้วไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัต
.
ฝ่ายภรรยาเมื่อสามีทิ้งไป ก็สำนึกว่าตัวผิดที่ทำให้สามีน้อยใจหนีไป จึงมอบลูกชายไว้ให้ตายายเลี้ยง แล้วก็ออกจากบ้านตามสามี เมื่อพบตัวและทราบว่าสามีได้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว จึงไปบวชอยู่ในสำนักนางภิกษุณี
.
หลังจากบวชแล้ว จาปาภิกษุณีก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมอยู่ในโอวาทของอุปัชฌาย์อาจารย์ ไม่ช้าไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
.
@@@@@@
.
ขณะที่บรรลุธรรม พระจาปาภิกษุณีเปล่งอุทานขึ้นมา ข้อความค่อนข้างยาว น่าแปลกว่า แทนที่จะเป็นอุทานแสดงปีติปราโมทย์ที่ได้บรรลุธรรม กลับเป็นอุทาน ที่ย้อนรำลึกเรื่องเบื้องหลังที่ตนเป็นสาเหตุให้สามีหนีไป 
.
นัยหนึ่งอาจแสดงถึงความโง่เขลาในอดีต ที่หลงจมอยู่ในชีวิตผู้ครองเรือนยาวนาน ก่อนจะสละออกมาบวชได้
.
อุทาน (นำมาเพียงบางบท) มีดังนี้ครับ
.
    "เมื่อก่อนจาปาดูหมิ่นเรา ปลอบบุตรเยาะเย้ยเรา เราจึงตัดใจสละนางจาปาออกบวช
     ข้าแต่ท่านกาฬะ (อุปกะ) จงกลับมาเถิด จงมาบริโภคกามสุขเหมือนเมื่อก่อน เราและญาติทั้งหลายจักอยู่ในโอวาทของท่าน
     ข้าแต่ท่านกาฬะ ท่านเป็นผู้ให้บุตรกำเนิดมา เหตุใดท่านจึงละทิ้งเราและบุตรไปเสียล่ะ
     ผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมละทิ้งบุตรภรรยา ทรัพย์สมบัติ อันเป็นเครื่องผูกพันออกบวชกันทั้งนั้น
.
     ท่านกาฬะ ถ้าฉันพึงทุบตีหรือแทงบุตรของท่าน เหยียบให้จมดิน ท่านจะยังไม่เศร้าโศกถึงบุตรเชียวหรือ
     นางชั่วช้าเอย เด็กนั้นก็บุตรของเจ้าเช่นกัน ถึงเจ้าจักทิ้งบุตรให้สุนัขจิ้งจอกกิน ก็อย่าหมายว่าเราจักกลับคืนไป
     ท่านกาฬะ บัดนี้ท่านจะไปไหน จักไปสู่บ้าน นิคม นคร ราชธานีไหนเล่า
     เราจะไปหาพระพุทธเจ้า บัดนี้พระองค์ประทับอยู่ริมฝั่งเนรัญชรา ทรงแสดงธรรมโปรดเหล่าสัตว์ให้ละทุกข์ทั้งปวง
.
     ถ้าเช่นนั้นขอท่านจงกราบไหว้พระองค์ กระทำประทักษิณพระองค์แทนฉันด้วย
     จาปาเอย คำขอนี้เราทำให้เจ้าได้ เราจักกราบไหว้ จักทำประทักษิณพระพุทธองค์แทนเจ้าได้
     จากนั้น ท่านกาฬะก็จากเราไป ไปถึงแม่น้ำเนรัญชรา ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถวายบังคมพระพุทธองค์ กระทำประทักษิณสามรอบแทนเรา ได้ขอบวชเป็นสาวก ทำตามคำสั่งสอนของพระองค์ ได้บรรลุวิชชาสามประการแล้ว"
.
@@@@@@
.
อุทานทั้งหมดนี้บรรยายเรื่องเบื้องหลังของนางกับสามี ทำให้มองได้อีกแง่หนึ่งว่า อุปกะได้เมียปากร้าย ถูกเมีย (ซึ่งแรกๆ ก็รักกันดี) ด่าว่ากระเทียบเปรียบเปรยดูถูกว่ามาแต่ตัว จึงหนีไปบวช แสดงว่า ความร้ายของภรรยาเป็นเงื่อนไขปัจจัยให้สามีได้พบทางสว่าง
.
ฝ่ายภรรยาเอง เมื่อสำนึกว่าตนได้ผิดต่อสามี อยากจะตามไปขอโทษ แต่เมื่อเห็นสามีบวชเป็นพระแล้ว จึงบวชตามบ้าง แล้วก็ได้พบความสว่างทางธรรมเช่นกัน
.
ชีวิตครอบครัวที่ไม่เป็นสุขของคนทั้งสอง ผลักดันให้ได้พบความสงบเย็นได้ในที่สุด นับว่าโชคดี เพราะน้อยรายนักจะลงเอยอย่างนี้

ที่มา________________
ชื่อเดิมของบทความนี้ : จาปาเถรี : อดีตภรรยาของอุปกาชีวก by เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ขอบคุณที่มา : http://www.cusa2527.com/home/knowledge_conner1.html
ขอบคุณภาพจาก : http://www.kunkroo.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...