จิตที่ยังไม่ได้เข้าถึงกุศล..เค้าเรียกว่าจิตที่ยังไม่ตั้งมั่น จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นนั่นแล จิตที่ขาดการอบรม จิตที่ขาดสติ เรียกว่าจิตที่ขาดหลัก นั้นที่เราจะรู้เอาหลักไปได้อย่างไรกำกับจิตไว้ ก็คือมีองค์ภาวนาว่า"พุทโธ" ขณะที่เรากำหนดพุทโธ มันต้องกำหนดลม คืออานาปานสติควบคู่เข้าไป เมื่อควบคู่เข้าไปนั้นแลเค้าเรียกว่าพุทโธจักมีจิตจักมีวิญญาณแห่งพระพุทธะ แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..จะเข้าไปหล่อหลอมจิตใหม่
ก็เอาจิตนี้แล เมื่อจิตเริ่มตื่นรู้ขึ้นมาบ้างแล้ว พอที่จะประคับประคองให้จิตเรานั้นพ้นจากขันธมาร ที่มันคอยสั่งคอยกักขังหน่วงเหนี่ยวเรามาหลายภพชาติเป็นเอนกชาติ คำว่าเอนกชาตินี้มันหาประมาณชาติไม่ได้ ก็เอาชาติในปัจจุบันที่เราเสวยอารมณ์นี้แลที่เรารู้ได้ เป็นที่ตั้งเป็นเบื้องบาทแห่งภพชาติต่อไป ที่จะรู้ได้ว่าชาติต่อไปจักมีอีกหรือไม่ หรือจักไม่มีอีกหรือไม่ ก็เอาปัจจุบันชาตินี้แลให้อธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้กับจิตวิญญาณที่มาสิงสู่ ที่ยังมาแฝง ที่ยังมาครอบงำ ที่คอยมากัดกินพระไตรปิฎก ที่มาคอยกัดกินรากเหง้าของดอกบัวดอกกมลชาติ ที่ไม่ให้เกิดคุณงามความดี..
ก็อธิษฐานบุญกุศลนี้ให้เค้ามีทาง ให้อาศัยผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าเจริญกรรมฐานอยู่นี้ อย่าได้มาเบียดเบียนตามบีฑา ให้เป็นเวรเป็นกรรมกัน นั่นก็คือปู่ย่าตายายที่เค้านั้นยังไม่ไปผุดไปเกิด ก็เอาอาศัยบุญนี้แลช่วยเขา แสดงว่าเขายังอยู่ในขุมนรกอยู่ ดังนั้นแลจงช่วยเขามาด้วยอำนาจแห่งกรรมฐานนี้..
การจะฉุดช่วยขึ้นมา..ทำอย่างไร ให้ตั้งจิตให้มั่น มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัยให้ถึง..ถึงยังไง ถึงลม ถึงลม..ทิ้งลม รู้ที่ตั้งของกองลม คืออยู่ในกาย รู้กาย จิตที่เรากำหนดรู้ในลมนั่นแลคือจิต อารมณ์ที่ผัสสะเข้ามาคือสัมปชัญญะที่รู้ได้ในกายสังขาร เชื่อว่าพระพุทธองค์ท่านอุบัติเกิดขึ้นมาจริง ธรรมคำสั่งสอนที่ท่านตรัสไว้นั้นสามารถทำให้เรานั้นพ้นทุกข์ได้จริง พระสงฆ์คือเนื้อนาบุญสามารถเป็นที่พึ่งที่อาศัยให้เรานั้นได้ประพฤติปฏิบัติ ได้อาศัยเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้จริง..ให้เข้าถึง
อย่าได้มีความลังเลสงสัยในธรรม หรือพระสงฆ์ หรือในครูบาอาจารย์ใดๆ ให้ตัดทิ้งไปเสียให้หมด ให้มีแต่จิตที่เป็นกุศล มีแต่จิตที่ให้..คือให้อภัย ให้อโหสิกรรม อย่าได้มีจิตที่เศร้าหมอง เมื่อจิตที่ตั้งมั่นโดยบริสุทธิ์จิตนี้แลเรียกว่าจิตนั้นพ้นจากอาสวะกิเลสชั่วขณะหนึ่ง เมื่อจิตมันเข้าถึงพระรัตนตรัยนี้ เราสามารถอธิษฐานจิตนี้ให้กับบิดามารดาผู้มีคุณ ปู่ย่าตายายที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด ก็เรียกว่าเค้ายังมีห่วง..
ก็ให้อธิษฐานว่า บุญกุศลที่ข้าพเจ้าที่เคยเป็นลูกเป็นหลาน เคยมีบุพกรรมกันมา เคยมีคุณอะไรก็ดี เคยมีเวรอาฆาตกันก็ดี เคยล่วงเกินใดๆก็ดี ในทางกาย ทางวาจา ทางจิตทางใจ ทางใดทางหนึ่งก็ดี ข้าพเจ้าผู้นี้ขออโหสิกรรม ขอบุญกุศลนี้จงอุปถัมภ์ค้ำชูให้ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายให้เข้าถึงสุคติภพภูมิ มีสุคติเป็นที่ไป ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยจงเป็นแสงสว่างนำทางให้ดวงจิตที่ยังมืดบอดอยู่นี้ให้เห็นทาง ในทางพ้นทุกข์ และได้อาศัยพระธรรมก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี อาศัยในบุญที่ข้าพเจ้าเจริญอยู่นี้ก็ดีเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ เพื่อจะได้ไม่มีเวรพยาบาทต่อกันอีกต่อไปเลย
เมื่อเราปาวารณาอบรมปาวารณาอย่างนี้แล้ว จิตมันจะค่อยๆตื่นขึ้นมา นี่เรียกว่าจิตนั้นพ้นจากโคลนตมได้ จิตที่พ้นจากโคลนตมเป็นอย่างไรเล่า จิตที่พ้นจากโคลนตมแล้วเค้าเรียกว่าจิตเริ่มตื่นขึ้นมา มีตัวรู้เข้ามา จึงเรียกว่าจิตนี้เป็นจิตว่าง สัมมาสมาธิบังเกิด ในขณะที่เป็นขณิกสมาธิ..สมาธิที่มันเฉียดฌานอยู่ แต่เมื่อจิตนั้นมันพ้นจากโคลนตม จิตที่ว่ามีกำลังเกิดขึ้นมา ความหดหู่ความเศร้าหมอง ความอ่อนล้าทางกายก็ดี เริ่มผ่อนปรนลงไป จิตเริ่มมีกำลังเข้ามาอย่างนี้เข้ามาแทนที่ เค้าเรียกว่าอุปจารสมาธิมันก็บังเกิดขึ้น สมาธิที่มันมีกำลังตั้งมั่นเข้าถึงฌาน
แต่เมื่อมันเข้าถึงแล้วถ้าเราไม่รักษา เมื่ออะไรที่เกิดขึ้นแล้วของดวงจิต จิตที่ตั้งอยู่ จิตที่เกิดขึ้น มันก็ย่อมดับไปได้ของอารมณ์นั้น นั้นคำว่าฌานก็คือคำว่าชิน คือกำหนดรู้อยู่บ่อยๆ เมื่อมันตกภวังค์ไปก็ดี มีความลืมตัวของสติไปก็ดี ก็กำหนดรู้ที่กายขึ้นมาใหม่อยู่อย่างนี้ กำหนดรู้ในอกุศลที่เรานั้นไปล่วงเกินอะไรในผู้ใดก็ตาม หรือเราจะกำหนดกายนี้ให้เข้าถึงอสุภะก็ดี อย่างนี้เรียกว่าการเพ่งโทษก็ดี เพื่อให้จิตเรานั้นตื่นรู้ขึ้นมา
ตื่นรู้ว่าในขณะนี้เรามาทำอะไร เรามาสร้างบุญสร้างกุศล คือเจริญสติมีภาวนา เมื่อเรามีองค์ภาวนาอยู่ในจิต จิตจะอยู่ในอุเบกขาฌานคือการไม่สนใจอะไร นั้นหน้าที่ของเราก็คือรักษาองค์ภาวนาไว้ให้เป็นหนึ่ง องค์ภาวนาที่เป็นหนึ่งนี้แลเรียกว่าเอกัคคตา เอกัคคตานี้แลเรียกว่าธาตุทั้ง ๔ นั้นเสมอเหมือนเป็นหนึ่ง จึงเรียกว่าฌานก็ดี กำลังแห่งสมาธิก็ดี มันมีกำลังมากเรียกว่าอัปปมาณสมาธิ..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น