วันที่ 14 ตุลาคม 2521
วันหลวงพ่อจรัญประสบอุบัติเหตุคอหัก
ใช้หนี้หักคอนก
ในเวลาต่อมา อาตมาก็นั่งสมาธิ ๖ เดือนเศษที่จะถึงวาระแห่งความตายก็มีนิมิตบอกอาตมาให้ทราบว่า พระเดชพระคุณท่าน วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เที่ยงสี่สิบห้าต้องจากวัด ตายไปใช้หนี้นกที่หักคอ วันที่ ๑๖ ตุลาคมออกพรรษา อาตมาก็มานึกดูว่าเราต้องลาเขา ก็ประชุมสงฆ์มอบอัฐบริขาร เสียสละปลงบริขารให้หมด มอบให้องค์อื่น เงินวัดมีเท่าไรมอบให้มัคทายกแล้วก็องค์ไหนจะเป็นสมภารต่อไปก็มอบ
อาตมาก็บอกให้พวกโยมผู้หญิงมานั่งกรรมฐานคนละเดือน พอโยมหญิงกลับแล้ว เอาโยมผู้ชายมานั่งแทน ต่อไปก็จะไม่มีคนสอนจะขอลาแน่นอน วันที่ ๑๔ ตุลาคม นี่มันรู้ล่วงหน้าได้ มันมีประโยชน์มากนะ ท่านทั้งหลาย
ถ้ารู้ล่วงหน้าไม่ได้ลำบากมาก สติตัวนี้เป็นการรวมผลงาน สัมปชัญญะมันบอกได้ดังนี้ อาตมาก็ขอลาเขาหมดแล้ว แบ่งงาน แบ่งภาระหน้าที่แล้ว อาตมาก็คิดว่าตามหลักพระพุทธเจ้าสอนไหนๆ เราจะตายแล้วก็ขอลาเขาเสีย แล้วคนที่มาเราก็บอกได้ คนที่ไม่มาจะทำยังไงเขาจึงจะรู้ได้ ก็เจริญกรรมฐานเดินจงกรม นั่งกรรมฐาน มีโยมท่านหนึ่งชื่อ โยมชาญ กรศรีทิพา ที่รู้จักอาตมาเนื่องจากว่า บริษัทนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ คุณชาญ กรศรีทิพา เขามีโรงงานน้ำตาลที่สิงห์บุรี
เขาก็ฝันว่า รัชกาลที่ ๕ ไปเข้าฝันบอกให้เขามาที่วัดนี้ พระบรมฉายาลักษณ์ของท่านที่วัดนี้ เขาก็พูดลักษณะได้ถูกต้องโดยที่รัชกาลที่ ๕ เคยเสด็จทางชลมารคสมัย ร.ศ. ๑๒๕ และพระองค์ได้ถวายพระบรมฉายาลักษณ์ ตอนพระองค์ขึ้นเสวยราชย์ในวันนั้นท่านสมภารก็อยู่ด้วย คุณชาญ พร้อมด้วยคุณสุเมธ ก็เดินเข้ามา อาตมาก็ไม่รู้จัก บอกโยมมีธุระอะไร เมื่อทั้งสองมาเห็นรูปก็เลยเล่าเรื่องที่ฝันให้ฟัง ก็เลยรู้จักกันเป็นเวลาหลายปี
ในเวลาต่อมาอาตมาเห็นว่าคนนี้มีประโยชน์ต่อวัด ถ้าหากเราจะเป็นอะไรไป เราต้องบอกเขาเสียก่อน อันนี้เอาไปใช้ได้เวลาจะแผ่เมตตา กระแสจิตนี่เป็นพลังงานอันหนึ่ง อาตมาพิสูจน์ได้ เช่นเอาผ้าขาวมากอง แล้วเราเอากระดาษสีมาทับแล้วเอาพลังงานกระแสแดดหรือไฟฟ้าส่องจะทำให้กระแสนี่ไปติดผ้าขาวได้ เหมือนอย่างแผ่ส่วนกุศล ขอให้ท่านทำจิตดีๆ ติดได้ แต่ก็หาคนทำไม่ได้ง่ายๆ นัก ต้องทำจิตใจให้ถึงก่อน
ส่งกระแสจิตลาตายกลายเป็นตัวหนังสือ
อาตมาก็เริ่มต้นว่าใกล้วันที่ ๑๔ ตุลาคมแล้ว เราก็มาสวดมนต์ไหว้พระแล้วแผ่เมตตาบอกโยมชาญ ว่าโยมกับอาตมาก็ชอบกันมาหลายปีแล้ว อาตมาขอลานะ วันที่ ๑๔ ตุลาคม อาตมาคอหักแน่ ตายอยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ก็บอกเขาอย่างนั้น ขอลา ในเวลาต่อมาคุณชาญเขาก็ไปทำงานบริษัท ไปนั่งเขียนหนังสือ ไอ้ข้อความที่เราแผ่เมตตาไป ไปติดที่กระดาษเขา ลายมืออาตมาด้วยตามที่เราแผ่เมตตาตรงกับตัวหนังสือ วิธีการแผ่ส่วนกุศลท่านทั้งหลายจำตำรานี้ไว้ให้ดี สามารถทำเป็นตัวหนังสือได้ สามารถติดที่โน่นที่นี่ได้
ครั้นถึงวันที่ ๑๔ ตุลาคม เที่ยงสี่สิบห้านาที อาตมาก็จำเป็นต้องไปประชุมที่วัดกวิศราราม จังหวัดลพบุรีในวันนั้นด้วย หลวงพ่อธรรมญาณ เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ท่านมีหนังสือมาว่าเขาจะประชุมเจ้าคณะอำเภอกันทั้งหมดที่จังหวัดลพบุรี พอดีวันนั้นนายแพทย์ศิริราชมาเลี้ยงเพลที่วัด พอเลี้ยงเพลเสร็จ อาตมาก็เตรียมตัว รู้แล้วว่าวันนี้เราไม่ได้กลับวัดแน่นอนตามที่เรามีสติรู้ล่วงหน้า ๖ เดือน ว่าเราต้องใช้หนี้นก จะใช้อย่างไรกันแน่ คงจะไม่ได้กลับ มอบหมายการงานเรียบร้อยแล้ว
โยมผู้หญิงมานั่งกรรมฐาน ๑ เดือนแล้วโยมผู้ชายด้วยมาแทนหลังจากโยมผู้หญิงกลับไปแล้ว โยมผู้ชายจะได้ช่วยกันเอาศพไปไว้วัดเตรียมงานครัวทำนองนี้เป็นต้น อาตมาก็ลาเขาหมดแล้วก็ขึ้นรถเที่ยงกว่าแล้ว จะตกเที่ยงสามสิบ เปลี่ยนจีวรใหม่หมด เตรียมหนังสือขึ้นรถคิดว่าไม่ได้กลับแล้ว มี นาวาตรีวาด เกษแก้ว ใส่เสื้อขาวกางเกงขาวก็อาศัยรถไปด้วย ก็คงจะตายพร้อมกับอาตมา
ออกจากวัดเลี้ยวขวาเข้าลพบุรี ถึงหลังตลาดปากบาง ตอนนั้นพอถึงปั๊มน้ำมันรถเขาก็เปิดไฟเลี้ยวขวารถตามหลังมา ๓ คัน แซงซ้ายรถทัวร์ทันจิตออกจากปั๊มน้ำมันวิ่งเข้าชนทันที เที่ยงสี่สิบห้า พอดีนาวาตรีวาด เกษแก้ว ลอยขึ้นหลังรถทัวร์ไปเลย พวกตลาดนึกว่าหนังสือพิมพ์ลอยไปก็เนื่องจากแกใส่เสื้อขาวกางเกงขาวนี่หลังหัก
อาตมาไหล่ชนเหล็กหักไปเลย แล้วกระจกครูดเอาหนังหัวไปอยู่ตรงท้ายทอยหมด หัวขาวเลย คอพับไปที่หน้าอก หมุนได้เลยเลือดเต็มจมูก กระจกมันบาด อาตมาก็บินออกไปแบบนก ออกห่างรถไปประมาณ ๒๐ วา แต่เดชะบุญว่ามือดีอยู่มือนึงจับขึ้นมา อาตมาก็ลองคลำว่าเราคอหักไปหรือนี่ตาไม่สัมผัส หูไม่สัมผัส ตายหมดแล้วทั้งตัว แต่มือดีสติดี แต่กลับไปหายใจได้ที่ท้อง พองหนอ ยุบหนอ ใช้ได้นะ ใครอยากจะรู้ว่าสะดือหายใจได้ลองไปคอหักดูนะ คนขับก็สลบ
อาตมายังพูดได้เพราะสติดีอยู่ที่ลิ้นปี่ จำไว้ แล้วหายใจทางสะดือได้ ทำไมหายใจได้ นึกถึงในท้องได้ที่เราอยู่ในท้องแม่กินอาหารทางสะดือแน่นอน หายใจได้ พองหนอ ยุบหนอ ตลอดเวลาเลย ได้ตำราเพิ่มขึ้น แต่ต้องทำได้ก่อนนะต้องมาฝึกกันให้รู้สติ ตื่นมีสติ หลับมีสติ รู้แน่ อาตมาก็พูดว่าโยมช่วยอุ้มหน่อย ไอ้พวกที่ไปมุงดูกันก็ไม่ยอมอุ้ม หัวเละแต่ยังพูดได้ ที่เข้าใจว่าหัวเละเพราะหนังไม่มี จนตำรวจทางหลวงมาบอกว่า ไม่ตาย ถ้าตำรวจไม่มาเราก็คงจะจมอยู่ตรงนั้น
กรรมต้มเต่ามาซ้ำ
พอดีตรงนั้นเขาทำอิฐ เถ้าแก่เขาก็ขับรถมา อาตมามือยังดีอยู่อกข้างก็เสยค้างไว้ มันไม่มีความรู้สึก พอรถแล่นถึงวิทยาลัยเกษตร ได้ยินเสียงแว่วแผ่วมาแต่ไกล เสียงดังนี้ สมน้ำหน้าๆ ได้ยินมาเรื่อยๆ เดี๋ยวต้องซ้ำๆ คอหักแล้วยังไม่สงสารจะมาซ้ำ สักประเดี๋ยวเห็นเต่า พอเห็นเต่าเท่านั้นแหละฝาหม้อน้ำรถอยู่ตรงนั้นหลุดพรวดลวกเอาเราคนเดียว ตายจริงเปียกหมดเลย ไอ้แขนยังดีอยู่ก็ร้อนนะซิ แล้วกระเด็นไปถูกคนขับ ไอ้คนที่ประคองอาตมาไปบอกว่าหยุดๆ เดี๋ยวคนหลังจะตาย ไอ้เต่ามาซ้ำเราอีก สงสัยใช้หนี้ตอนนั้นยังไม่หมด รถไปถึงโรงพยาบาลน้ำแห้งพอดีหมดพอดีเลย
อาตมาก็ขออธิษฐานว่า ข้าพเจ้าขอให้ไปสบาย รู้แล้วเข้าใจแล้ว ขออโหสิกรรมทุกอย่างกับโลกมนุษย์ ในเมื่อข้าพเจ้ายังใช้หนี้ในโลกมนุษย์ไม่หมดขอให้ข้าพเจ้าไปใช้ในชาติต่อไป ประการที่ ๒ ถ้าข้าพเจ้าใช้หนี้ในโลกมนุษย์หมดแล้ว อย่าได้ทรมานต่อไป อธิษฐาน ๒ ข้อ
วันนั้นพอดีผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่อยู่ เขาไปบ้านเขาทางวัดเกษ อยู่แต่นายแพทย์ใหญ่หมอสมหมาย ก็วิ่งไปจากบ้านรู้ข่าวว่ารถชนอาตมาก็เอาเข้าห้องฉายเอ๊กซเรย์ เขาพูดกันได้ยินแว่วๆ บอกไม่มีทางหมอใหญ่บอกไม่มีทาง หมอใหญ่สั่งให้อาตมานอนตรงๆ บนรถ ซึ่งมีลูกล้อเล็กๆ ให้บุรุษพยาบาลเอาเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. โดยด่วน จัดการเย็บหนังที่มันถลกไปนี่ก่อน
อาตมาก็อธิษฐานไปเรื่อยๆ มือดียังมีอยู่อีกมือหนึ่ง นอกนั้นตายหมดแล้ว แต่ยังหายใจได้ที่ท้องพองหนอ ยุบหนอตลอด ก็แบ่งวาระบุรุษพยาบาล ๒ คนก็ไสรถเต็มที่ รถก็เกิดตกร่องประตูเหล็ก โครม ! ล้อพังหมดแพทย์อีกคนบอกตายเสียแล้วละมังหว่า เปล่าเลย คอลั่นกร๊วบเข้าที่เลย คือติดเลย ลืมตาเห็นเลย หายใจไม่ออก พอคอติด ปวดก้นแทบหลุด
เลยทำให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีก ๒ ข้อ ได้ความรู้ยังไง หมายความว่าถูกจุดประสาท ประสาทคอกับประสาทก้นเป็นเส้นเดียวกัน เข้าไปในห้องฉุกเฉิน เขาก็เริ่มดึงหนังมาเย็บ หมอก็สงสัยว่าอาตมาจะเป็นอัมพาตไม่ดีขึ้น บุรุษพยาบาลบอกว่าเป็นเพราะอั๊วนะ ถ้าอั๊วไม่ไสรถตกร่องคอจะต่อติดหรือ กลับมีบุญคุณเสียอีก อาตมาก็นึกว่าเราใช้เวรใช้กรรม
ในเวลาต่อมาหมอไม่สามารถจะรักษาได้ เพราะมีแรงขาแข็งถีบได้ทั้งนั้น นางพยาบาลหมอ ก็ให้เราลองบีบมือ หากว่าเราจะไม่มีแรง อันนี้ก็เป็นบุญวาสนาพอรุ่งเช้า คุณชาญมา ถือ หนังสือโทรจิต มาด้วย บอกนี่ท่านทำไมต้องเขียนหนังสือมาวันก่อนผมไปพบ ท่านทำไมไม่บอกผม ทำไมต้องเขียนหนังสือฝากเขาไป อาตมาบอกเปล่าว่าไม่ได้เขียน เขาว่านี่ไงละลายมือท่าน !
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรีก็ไม่รู้จะทำยังไงก็โทรศัพท์ไปหาผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลิดสิน อาจารย์เขาคือ หมอประดิษฐ์ ถามว่าหลวงพ่อองค์นี้คอหักแล้วไม่ตายทำไงดี หมอประดิษฐ์บอก ผมก็ไม่เคยเห็น ขอให้เอาตัวมาดู รุ่งขึ้นเขาก็หามอาตมาขึ้นรถไปโรงพยาบาลเลิดสิน หามไปอาตมาพลิกไม่ได้ ยกแข้งยกขาได้ลุกไม่ได้ก็หามขึ้นไปชั้น ๒ หมอประดิษฐ์ก็มาตรวจเอาแพทย์มาวิจัยกันใหญ่
หมอประดิษฐ์ก็บอกขอทำเอง ก็เอาผ้ามาแช่น้ำ มาพันใส่เฝือก ๑๕ นาที อาตมาเดิน ลุกขึ้นได้ ขากลับขึ้นรถกลับจังหวัดสิงห์บุรี มันก็แปลกดี แขกมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างจังหวัดมากันเยอะ เขาลือกันว่า อาตมาคอหักไม่ตาย ขนมนมเนยเยอะแยะไปหมด อาตมานึกเวลากินได้ไม่มาเยี่ยม เวลาจะตายจะซื้อมาทำไม รู้ว่ากินไม่ได้ก็เอามาให้กิน คนกินได้ไม่ค่อยให้
พอกลับมาวัดได้ อาตมาก็คุยทั้งวันเพราะมีคนมาเยี่ยมมากมาย หมอประดิษฐ์ก็สั่งมาบอกว่า อย่าให้คุยมาก คุยมากแล้วแผลจะหายช้า ให้ฉันยานอนหลับก็นอนไม่หลับ ฉีดยานอนหลับก็ไม่หลับ จนนางพยาบาลว่า หลวงพ่อสู้ยา หมอประดิษฐ์รู้ก็ออกอุบายว่าให้เขามาโรงพยาบาลเลิดสินจะถอดเฝือกให้ อาตมาก็ดีใจรีบไป พอไปถึงก็ถอดเฝือกให้จริงๆ พอตัดเฝือกออกก็เลยเป็นลมครั้น พอพักสักประเดี๋ยว หมอบอกหลวงพ่อเดี๋ยวใส่ใหม่ ผมหลอกท่านมาไม่งั้นท่านไม่มาเลยใส่ใหม่ เพิ่มอีก ๔ กิโล พอใส่ได้สัก ๑๕ นาที อ้าปากไม่ออกเป็นฤาษีเลย
เปรตปากเท่ารูเข็ม
พอกลับไปถึงสิงห์บุรี เราก็จะแย่อ้าปากไม่ขึ้น ผลสุดท้ายก็หิวน้ำเหลือเกิน กินไม่ได้ต้องหยอดด้วยหลอดกาแฟ ต้องดูด ดูดก็ไม่เข้า เวลาฉันเช้าก็ใส่เข้าไปข้างๆ เลยมานึกในใจ นึกถึงยายได้ เจ้าต้องเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม กินอะไรไม่ได้จริงๆ ตั้ง ๕๐ วัน นอกเหนือจากกินไม่ได้แล้ว พูดไม่ได้ด้วย พออ้าปากมากๆ ไอ้ข้างบนขบแล้วเลือดไหล จะกินอะไรก็ต้องป้อน เราต้องมาทรมานเป็นเปรต
ก็เลยนึกถึงคำยายว่าต้องเป็นเปรตเพราะไปกินข้าวที่ให้ไปถวายพระ หลังจากที่อาตมากลับจากโรงพยาบาลแล้ว ๕๐ วันเท่านั้น กลับมานึกในใจว่า เราต้องใช้หนี้โลกมนุษย์ก็เริ่มถมดินรอบวัด ก็เริ่มสร้างหอประชุมนี้เพื่อจะอบรมต่อไป ตั้งใจไว้อย่างนั้น ต้องใช้หนี้โลกมนุษย์ด้วยการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่ขอสร้างวัตถุต่อไปแล้ว
ในที่สุดมีการทำบุญรับขวัญ โยมก็มาทำบุญกันมาก ในครั้งสุดท้าย นายชาญ กรศรีทิพา กับนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ ทั้งสองท่านนี้ก็มาทำบุญรับขวัญให้อาตมา แล้วนำเอากระดาษที่มีตัวหนังสือมาด้วย วันนั้นแกก็พับอย่างดีมา พอทำบุญเสร็จเรียบร้อยอุทิศกุศลเรียบร้อยดีแล้ว แกก็เอากระดาษออกมาว่าจะเอามาอ่านให้เขาฟัง ปรากฏว่าตัวหนังสือไม่มี มีแต่กระดาษเปล่า เดี๋ยวนี้ก็ยังเก็บใส่กรอบไว้ดูเป็นที่ระลึก
ที่มา
เรื่องและภาพ Teeraphan Naksin
คัดลอกมาจาก
http://www.jarun.org/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น