#สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา #สิ่งนั้นทั้งปวงมีการดับไปเป็นธรรมดา | ยํ กิญฺจิ สมุทรยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ
หลังจากพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตตนสูตรอันว่าด้วยแนวทางที่ไม่พึงดำเนินและแนวทางที่พึงปฏิบัติเพื่อดับทุกข์แล้วต่อท้ายด้วยการอธิบายอริยสัจครบวงจรจบลง หัวหน้าปัญจวัคคีย์คือโกณฑัญญะก็ได้ “ดวงตาเห็นธรรม”
.
ดวงตาเห็นธรรม แปลมาจากบาลีว่า ธัมมจักขุ การที่โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ก็คือได้เกิดความรู้เห็นตามเป็นจริงซึ่งธรรมชาติและธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย ว่ามีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีการดับสลายเป็นธรรมดา
.
พระบาลีตรงนี้ว่า
ยํ กิญฺจิ สมุทรยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีการดับไปเป็นธรรมดา
.
@@@@@@
.
ความรู้เห็นอย่างนี้เป็นความรู้เห็นด้วย “ตาใน” มิใช่ด้วยตาเนื้อ ทางพระพุทธศาสนาบอกว่า เป็นความรู้ระดับโสดาปัตติผล ผู้รู้เห็นอย่างนี้เรียกว่าเป็นพรธโสดาบัน พระอริยบุคคลระดับที่ 1
.
พระอริยบุคคลมีระดับด้วยหรือ.?
บางท่านอาจคิดเช่นนี้ มีครับ มีถึง 4 ระดับแน่ะ คือ
(1) พระโสดาบัน
(2) พระสกทาคามี หรือสกิทาคามี
(3) พระอนาคามี และ
(4) พระอรหันต์
.
ระดับสุดท้ายนี้นับว่าสูงสุดยิ่งกว่าเหรียญทองโอลิมปิกอีก อ่านว่า “พระ-อะ-ระ-หัน” พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานฉบับปรับปรุงใหม่ให้อ่านว่า “ออ-ระ-หัน” ได้ บังเอิญผมไม่เชื่อพจนานุกรม ผมไม่อ่านตาม กลัวคนจะเข้าใจว่า “พระอรหันต์” ไม่ต่างอะไรกับ “อรหัน” สัตว์ในนิยายชนิดหนึ่งมีลักษณะครึ่งนกครึ่งคน อรหันต์ประเภทด่าพ่อล่อแม่คน ท้าเตะปลายคางคนก็มีแล้วไม่อยากให้เลอะเทอะไปกว่านี้
.
@@@@@@
.
หมายเหตุไว้ในแง่วิชาการว่า “ดวงตาเห็นธรรม” นั้น เป็นการรู้ความจริงระดับพระอนาคามีได้ด้วย พูดอีกนัยหนึ่งผู้ดวงตาเห็นธรรม เป็นไปทั้งพระโสดาบันและพระอนาคามี
.
หลักฐานก็คือ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จพุทธดำเนินจะไปโปรดชฎิลสามพี่น้องนั้น ทรงพบ “ภัททวัคคีย์” เด็กหนุ่มเจ้าสำราญ 30 คน กำลังตามหาสตรีที่ “ยกเค้า” เครื่องประดับของพวกเขาไป ขณะไปแสวงหาความสำราญอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง
.
พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่า ให้แสวงหา “ตนเอง” ดีกว่าแสวงหาสตรี เมื่อพวกเขาได้ฟังธรรมเทศนาจากพระองค์แล้วก็ได้ “ดวงตาเห็นธรรม” แล้วทูลขอบวช
.
ตรงนี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า พวกภัททวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอนาคามี เรื่องมันเป็นเช่นนี้แหละครับ ท่านสารวัตร ผมจึงสรุปว่า “ดวงตาเห็นธรรม” มีทั้งระดับพระโสดาบัน และระดับพระอนาคามี
.
@@@@@@
.
กล่าวถึงท่านโกณฑัญญะ เมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสเปล่งพระอุทานว่า
อญฺญา สิ วต โภ โกณฺฑญฺโญๆ = โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอๆ
.
จากนั้นโกณฑัญญะก็ได้ทูลขอบวช พระพุทธองค์ก็ประทานการบวชที่เรียกว่า “เอหิภิกขุ อุปสัมปทา” ให้
พิธีกรรมไม่มี เพียงตรัสสั้นๆ ว่า
“เอ หิ ภิกฺข = จงมาเป็นภิกษุเพื่อทำที่สิ้นสุดทุกข์เถิด”
.
ตรงนี้ถ้าผู้ขอบวชเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องมีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์” พระโสดาบันอย่างพระโกณฑัญญะ ยังไม่หมดกิเลสโดยสิ้นเชิง จึงตรัสอย่างนี้"
.
ท่านโกณฑัญญะจึงนับได้ว่าบวชเป็นพระสาวกรูปแรกในพระพุทธศาสนา คำว่า “อัญญา” ในคำว่า “อญฺญาสิ” ได้กลายมาเป็นคำนำหน้าชื่อของท่าน ท่านจึงปรากฏนามว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” แต่บัดนั้นมา
.
@@@@@@
.
การเกิดพระสาวกขึ้นครั้งแรก ทำให้เกิดพระรัตนตรัยครบ ก่อนหน้านี้มีเพียงพระพุทธเจ้าและพระธรรม เมื่อเกิดพระสงฆ์ขึ้น จึงเป็นพระรัตนตรัยครบถ้วน
.
วันนี้จึงเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนา คือ เป็นกำเนิดแห่งวันอาสาฬหบูชาขึ้น ดังที่ชาวพุทธทราบกันดี ที่คิดว่าทราบกันไม่ค่อยจะดีคือคำอ่าน อ่านว่า “อา-สาน-หะ-บู-ชา” ไม่ใช่ “อา-สา-ละ-หะ-บู-ชา” แล้วอย่ายกพจนานุกรม มาเถียงล่ะครับผมไม่ฟังใครดอก พวกขาประจำน่ะ
________________________________________
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7-13 มิถุนายน 2562
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2562
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_201514
ขอบคุณภาพจาก : http://www.rmutphysics.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น