ประมวลพระคาถาและพิธีกรรม
คาถาต่างๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกแก่ศิษย์นั้น ส่วนใหญ่เป็นคาถาที่ท่านได้จากกรรมฐาน และท่านเจ้าของคาถาให้บอกต่อได้ ท่านบันทึกไว้ว่า
“นักเจริญสมาธิถึงอารมณ์ฌานและทรงฌานได้ มีประเพณีที่ทราบกันว่า จะต้องเห็นและรับการศึกษาจากท่านที่เป็นอทิสมานกายเสมอ จนมีระเบียบว่า เมื่อก่อนจะทำกรรมฐานต้องเตรียมกระดาษดินสอไว้
ว่า เมื่อท่านบอกอะไรต้องรีบจด อย่าให้ค้างคืนถึงสว่างจะลืมคาถาบางตอน ถ้านักทรงฌานไม่พบเรื่องอย่างนี้ จะเป็นเรื่องทรงฌานที่แปลกมาก อาจจะเป็นฌานเก๊ก็ได้”
พิธีกรรมต่างๆที่เนื่องในชีวิตประจำวัน และเป็นประเพณีไทยแต่เดิมมา รวมทั้งพิธีที่เนื่องด้วยพระพุทธศาสนามีอยู่มาก
พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้นำมาอธิบายให้ศิษย์ได้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ และที่มาของพิธีกรรมเหล่านั้น ทำให้ได้เห็นความฉลาดของคนไทยในอดีต
นอกจากนี้พระเดชพระคุณท่านยังได้สอนวิธีใช้หรือวิธีทำโดยละเอียด และให้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิตต่อตนเอง ญาติมิตรและเพื่อนฝูง
พิธีกรรมเหล่านี้ยังมีเรื่องปลีกย่อย และการสงเคราะห์เฉพาะเป็นบางครั้งบางคราวที่หลวงพ่อทำให้อีกมาก เช่น การแก้โรคไหลตาย, การป้องกันไฟไหม้บ้าน, การแก้กรรมต่างๆ ฯลฯ เป็นต้น
คาถาต่างๆที่โบราณาจารย์ทั้งหลาย ท่านถ่ายทอดให้ศิษย์โดย "มุขปาฐะ" (เป็นการบอกเล่า) ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลหลัก ๓ ประการคือ
๑. คาถาที่ถ่ายทอดให้เป็นคาถาเฉพาะสำหรับหมู่คณะหรือเฉพาะกลุ่ม เช่น คาถาประจำตระกูล เป็นต้น ซึ่งผู้อื่นนำไปใช้จะไม่บังเกิดผล (เพราะท่านเจ้าของคาถาท่านตั้งเจตนาไว้เฉพาะเช่นนั้น)
๒. การใช้คาถาให้บังเกิดผลนั้น จะต้องมีศรัทธาความเชื่อมั่นและคารวะ ความเคารพเป็นพื้นฐาน ดังนั้นถึงแม้คาถานั้นๆจะเป็นสาธารณประโยชน์ แต่ถ้าผู้นำไปใช้ไม่มีศรัทธาคารวะ คาถานั้นๆก็ไม่อำนวยผล
๓. คาถาจำนวนมากมีที่มาจากองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง หรือมาจากพระอรหันต์เจ้าและพระอริยบุคคลทั้งหลาย พรหม และเทพยดาทั้งหลาย
ดังนั้นถ้าบอกกล่าวกันไปเป็นสาธารณะ ก็จะมีผู้ได้ยินได้ฟังที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสอยู่บ้าง ถ้าเขาเหล่านั้นเป็นคนใจพาล ตำหนิติเตียนคาถา หรือที่มาของคาถาเหล่านี้ ว่าทำให้ผู้คนงมงายฯลฯ ก็เท่ากับเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยโดยตรง มีโทษหนัก
ดังนั้นการพิมพ์เผยแพร่หรือบอกกล่าวคาถาเป็นสาธารณะนั้น จึงเป็นดาบสองคม อำนวยประโยชน์ก็ได้ ให้โทษก็ได้ โบราณาจารย์ทั้งหลายจึงไม่เผยแพร่คาถาเป็นสาธารณะ บอกให้เฉพาะหมู่ศิษย์เท่านั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา เมื่อท่านจะบอกคาถาให้ใคร ท่านจะกำชับเสมอว่า
"..อย่าพูดมากไป อาจจะเป็นโทษแก่ผู้อื่นได้.."
คำเตือนสำหรับท่านผู้อ่าน
การนำคาถาและพิธีกรรมต่างๆมาประมวลไว้ ณ ที่นี้ ก็เพื่อประโยชน์ของบรรดาศิษยานุศิษย์ และสาธุชนทั้งหลายที่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโรมหาเถระ)
โดยเฉพาะ ถ้าท่านไม่มีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ และบังเอิญมาอ่านพบเข้า ขอให้ทำใจเป็นอุเบกขา หรือให้ข้ามไปเสีย อย่าอ่าน ถ้าท่านอยากอ่านและเมื่อได้อ่านแล้วก็ไม่เชื่อไม่เลื่อมใส ก็ขอให้วางใจเป็นกลางอย่าได้ประมาทปรามาสล่วงเกินเข้าจะเป็นโทษ
***********************************
คาถาคงกระพันชาตรี
พุทธังคงหนัง ธัมมังคงเนื้อ สังฆังคงกระดูก
หลวงพ่อให้แก่ทหารนาวิกโยธิน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี คราวไปเยี่ยมเยียนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙
***********************************
พระคาถาของสมเด็จพระพุทธกัสสป
หลวงพ่อบอกคาถาบทนี้ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ คาถาบทนี้ ท้าวเวสสุวัณ มาให้ ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกคืน ก่อนอื่นให้ระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ อันมี สมเด็จพระพุทธกัสสป ทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของพระคาถานี้
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย จงวินาศสันติ
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย จงวินาศสันติ
บทในบรรทัดที่ ๒ นี้รักษาโรค ท่านบอกว่าเสกน้ำให้กิน เสกอะไรให้กิน เสกข้าวให้กินก็ได้นะ แม้แต่ยาพิษมันก็สลายตัว
อีกบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ
ทั้ง ๓ บทนี้ ท่านให้สวดพร้อมกันเลย เวลาฉันข้าวก็เสก กลางคืนก็ให้ภาวนาไว้นะ ภาวนาไว้สักครู่ เช้าเย็นอะไรนี่นะ ท่านบอกว่าศัตรูจะพินาศไปเอง
สำหรับบทหลังศัตรูทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรแล้วเราจะต้องรู้อยู่เสมอ
บทกลางนะทำลายโรค ไอ้ทำลายโรคนี่ดีใช่ไหม เสกข้าวนะ ข้าวที่เราจะฉัน เสกซะหมด และคนอื่นกินก็เป็นยาไปหมด ให้เป็นยาสำหรับคนอื่นด้วยนะ ดีไหม
ถ้าเห็นว่าดี ถ้าคุณจะให้ศึกษานี่นะ ถ้าจะใช้รักษาโรค คุณจะต้องหาดอกบัวมา ๓ ดอก ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม บูชาขอท่านต่อพระพุทธรูป
ถ้าใครต้องการจะให้เรารักษา ต้องบังคับให้เขาเอาดอกบัวมา ๓ ดอกนะ ธูป ๕ เทียน ๑ เล่ม เสกน้ำมนต์ เสกอะไรๆ ให้กินได้ นั่งทำก็ได้ นอนก็ได้
ภาวนาให้เป็นฌาน เป็นฌานในกรรมฐานภายในตัวเสร็จ อย่าลืมนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะก็ได้ผลเท่ากันเป็นฌาน
***********************************
คาถาเสกน้ำล้างหน้าเพื่อเห็นอมนุษย์
ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า "พุทธาโมยะนะ"
เมื่อเสกน้ำล้างหน้าแล้ว ท่านให้นั่งภาวนาคาถาว่า ดังนี้
อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะพุทธัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะธัมมัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะสังฆัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
ต้องอธิษฐานขอเห็นก่อนว่าจะพบใคร แล้วจึงจะภาวนา จนจิตถึงอุปจารสมาธิ จึงจะเห็นภาพได้ ท่านให้ไว้เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ (ท่านให้ก่อนที่จะมีการฝึกสอนวิชามโนมยิทธิ ปัจจุบันได้มโนมยิทธิกันแล้ว จึงไม่ได้ใช้คาถากันอีกเลย)
***********************************
คาถาของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
คาถากันฟ้าผ่า
อากาเสจะ พุทธทีปังกะโร นะโมพุทธายะ
คาถากันไฟไหม้ และคาถากันฟ้าผ่านี้ ท่านพิมพ์เป็นใบปลิวแจกในขณะที่อยู่วัดสะพาน ท่านพิมพ์ไว้ว่า คาถานี้ของหลวงพ่อปาน ท่านให้บูชาไว้ทุกวันๆ ละ ๓-๕-๗-๙ จบ ท่องทุกเช้าค่ำ จะปลอดภัยจากไฟไหม้และฟ้าผ่า
ต่อมาเมื่อหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว ท่านให้ใช้เฉพาะ “โส นามะ ยักโข” เท่านั้น โดยกล่าวว่า “ให้เขียนเป็นภาษาไทยไว้บนหัวนอน สวดมนต์กราบไหว้อยู่เสมอ ไฟไม่ไหม้ ฟ้าไม่ผ่า และกันนิวเคลียร์นิวตรอนได้ด้วย”
คาถากันไฟไหม้
(คาถาหลวงพ่อปั้น วัดพิกุล)
พะระโส นามะยักโข เมตตะทันตะ ปะริวาสะโก อสุนีหะเต โหตุ เต ชะยะมังคะลานิ
คาถามหาอำนาจ
(ใช้เสกน้ำล้างหน้าทุกวันตอนเช้า แล้วจะมีอำนาจเป็นที่ยำเกรงของคนทั้งปวง)
เอวัง ราชะสีงโห มะหานาทัง สีหะนาทะกัง
สีหะนะ เม สีละเตเชนะ นามะ ราชะสีงโห
อิทธิฤทธิ พระพุทธังรักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง
อิทธิฤทธิ พระธัมมังรักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง
อิทธิฤทธิ พระสังฆังรักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง
คาถาเสกผ้าเช็ดหน้า
คาถาสำหรับเสกผ้าเช็ดหน้า เสกเช้ามืด ๓ เที่ยว ๗ เที่ยว ๓ คืน อธิษฐานใช้ได้ต่างๆ ผู้ที่เอาไปใช้ห้ามไม่ให้ลัก ไม่ให้ปล้น ไม่ให้กินเหล้า จึงจะมีคุณต่างๆ
๑. "วิวีพุทโธอิติ" ภาวนาเวลาหลงทาง เอาหลังพิงต้นไม้ จะเห็นหนทางโดยเทวดานำทางให้
๒. "เจจะตัง" ทำไส้เทียนจุดกลางฝนไม่ดับ (เป็นคาถาแคล้วคลาด)
คาถามหาประสานใหญ่ (ของครูผึ้ง อายุ ๑๐๐ ปี)
วะโรวะรัญญู วาระโท วะราหะโร อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ
(ว่า ๓ เที่ยว ๗ เที่ยว)
เมื่อจะประสานให้เอาใบตองปิดบนแผลเสียก่อน แล้วจึงว่าคาถาหลับตาเป่าลงไปในใบตอง (เวลาว่าให้กลั้นใจ) แก้กลิ่นตัวไม่มีอีกด้วย ให้สวดมนต์ไว้ทุกวัน
คาถาทำน้ำมนต์แก้เวทมนต์คาถา
นะ คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เต
โม คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เต
พุท คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เต
ธา คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เต
ยะ คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เต
สำหรับทำน้ำมันต์แก้เวทมนต์คาถาที่ร้อนรุ่ม ถ้าจะทำให้สำหรับตัวของเราเองให้ว่า "เต" เป็น "เม"
คาถาอาราธนาพระเครื่องของหลวงพ่อวัดท่าซุง
อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งของ มะอะอุ ณ กาลบัดนี้เถิด
(ว่า ๓ จบ)
(ก่อนจะว่าคาถาให้ ตั้งนะโม ๓ จบก่อน แล้วยกพระเครื่องขึ้นพนมมือ อาราธนาคาถาตามที่กล่าวแล้ว ก่อนจะออกจากบ้านทุกครั้ง)
คาถาอาราธนาผ้าธงมหาพิชัยสงคราม
พุทธะ สังมิ (ว่า ๓ จบ)
(เป็นคาถาที่ท่านพิมพ์แจกมานานแล้ว ภายหลังท่านให้ใช้ "อิทธิฤทธิ" แทน แต่ผู้เขียนยังใช้ "พุทธะ สังมิ" ทุกครั้งก่อนเดินทาง โดยเสกน้ำลายกลืนทุกครั้งที่ภาวนาคาถานี้)
คาถาระงับทุกขเวทนา (ของพระยายมราช)
นะโมพุทธายะ
นึกถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ และพระยายมราช ใช้เพื่อระงับทุกขเวทนาทั้งตนเองและผู้อื่น
คาถาโรยทรายเสก (ของวัดท่าซุง)
อิติ ศัตรู ยามาคะตา ( โรยไปว่าไป ป้องกันศัตรู )
(ขณะโรย "ทรายเสก" รอบบริเวณบ้าน ให้ภาวนาคาถานี้ไปตลอด โดยก่อนที่จะโรยให้อธิษฐานก่อนว่า "ขอให้ผู้มีคุณทั้งหลายที่อยู่ในเขตนี้ จงอยู่เป็นสุขปราศจากทุกข์ภัย ส่วนผู้ที่มีภัยก็ขอให้จงออกไปจากบริเวณนี้เถิด")
(มีคาถาเพิ่มมาจากหนังสือ "สมบัติพ่อให้" โดยนำมาจากหนังสือประวัติของวัดบางนมโค ปี ๒๕๒๓)
******************************
คาถาป้องกันอันตราย
รูปพระพุทโธ โหหิ
คาถาบทนี้ หลวงพ่อให้พระในพระอุโบสถ หลังจากทำพิธีพุทธาภิเษกแล้ว วิธีใช้คือให้ภาวนาคาถานี้ เสกน้ำลายกลืนลงไปก่อนออกจากบ้าน ท่านกล่าวว่า แม้แต่ปืนก็ยิงไม่ออก
***********************************
คาถานวด
อิมัสมิง มาเล อิมังเต มาสัง วัสสัง อุเปมิ
หลวงพ่อให้ที่บ้านสายลม (ห้ามแปล) ให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยก่อนว่าคาถา แล้วให้ภาวนาเรื่อยไปขณะนวด
******************************
คาถาป้องกันคุณไสย
เมสัมมุขา สัพพาหะระติ เตสัมมุขา
ท่านให้เสกของทุกอย่างก่อนที่จะกิน ท่านบอกไว้ในขณะที่วัดกำลังมีภัย ถ้าศัตรูทำคุณไสย เราว่าคาถานี้ คุณไสยนั้นจะย้อนกลับเข้าตัวผู้ทำ ถ้าทำเป็นตะกรุด ห้ามนำตะกรุดเข้าห้องคนคลอดบุตร ท่านห้ามทำแจกเด็ก ด้วยจะเป็นอันตรายกับเด็ก
******************************
คาถาเรียกจิตคน
จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ
เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๖ พระขีณาสพ หมายถึงพระอรหันต์ คือเป็นผู้มีกิเลสสิ้นไปแล้ว หมดไปแล้ว ได้มาบอกคาถาเรียกจิตคนสำหรับเทศน์ สำหรับอบรม สำหรับสนทนา ทำให้ใจคนน้อมมาหา คาถาว่าอย่างนี้ จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ ท่านว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตแล้ว นี่ท่านอนุญาตแล้วก็ใช้ได้
******************************
คาถารวมอภิญญา
โสตัตตะภิญญา
ที่มาของพระคาถานี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯท่านเล่าว่า ได้พบองค์สมเด็จพระจอมไตรที่พระจุฬามุนีเจดีย์สถาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่า
“สัมพเกสี..สำหรับอภิญญาที่เธอได้ เวลาที่เธอจะใช้ก็ต้องจับกสิณนั้นกสิณนี้ ใช้จิตอย่างนี้ช้าไปหน่อย ความจริงเขาใช้อภิญญากันจริงๆ เขาใช้จับอภิญญารวม
คำว่า "อภิญญารวม" นี่นึกถึงอภิญญาสมาบัติ คือนึกถึงอารมณ์กสิณทั้งหมดว่าเราต้องการอะไร แล้วก็ใช้บทภาวนา ภาวนาย่อๆ ว่า "โสตัตตะภิญญา"ให้ทำเพียงเท่านี้
เวลาภาวนาให้กำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วก็ทิ้งนิมิตเสีย ไม่ต้องไปใช้นิมิตในกสิณ ใช้ "โสตัตตะภิญญา" อย่างเดียว คือกำหนดลมหายใจเข้าออกให้ถึงที่สุดเป็นฌานสี่เท่านี้
อภิญญาทุกอย่างก็จะรวมตัว เราจะใช้ได้ทันทีทันใดโดยไม่ต้องเลือกกสิณอะไรทั้งหมด” ก็มาทำๆ แล้วก็สบายใจ อภิญญาทุกอย่างมันก็รวมตัว เวลาจะใช้อภิญญาก็ใช้ โสตัตตะภิญญาเป็นคำภาวนาเท่านี้ ทุกคนก็สามารถจะทำได้
*******************
คาถาเรียกจิตตนเอง
อิติ สัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง
...เวลาที่เจริญพระกรรมฐานในคืนวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เวลา ๒๐.๓๐ น. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาโปรดเมตตาบอก ท่านบอกว่าให้ทำให้แจ้งด้วย ทำทุกขณะจิตที่จิตพล่าน หมายความว่า ถ้าเวลาใดที่จิตเกิดอาการฟุ้งซ่านขึ้นมา ให้ทิ้งคำภาวนาอย่างอื่นเสียให้หมด กำหนดลมหายใจเข้าออก ว่าคาถานี้ตามสบายๆ กำลังของสมาธิจะรวมตัวได้รวดเร็ว จำเข้าไว้ให้ดีก็แล้วกันนะ
คาถามีว่า "อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง" แล้วอย่าย่องเอาคาถานี้ไปเรียกผู้หญิงเรียกผู้ชายเข้านะ เขาไม่มาหรอก เรียกจิตของเรา ท่านบอกว่าที่จิตมันพล่านนี่ไม่ใช่เพราะผู้หญิงเข้ามายั่ว มันพล่านเพราะโรคทางกระเพาะมันกำเริบ ร่างกายถ้าหากว่ามีโรคเบียดเบียน ประสาทมันก็ไม่ทรงตัว จิตมันก็พล่านได้ จงอย่าสงสัยในตัวเอง คิดว่าไปหลงใหลใฝ่ฝันในบรรดาสตรีทั้งหลายเหล่านั้น เธอมายั่วมาเย้าเป็นจริยาของมาร
แต่คำว่ามารในที่นี้ จงอย่าคิดว่าพวกนั้นเป็นพวกมาร ความจริงพวกนั้นเขามาตามหน้าที่ แต่ถ้าอารมณ์ของเราไม่ทรงตัว ก็จงคิดว่าจิตของเรานี่แหละเป็นมาร มันมีสันดานหยาบ รู้อะไรไม่ดี ทำไมจึงไปหลงใหลใฝ่ฝัน นี่ท่านว่าอย่างนั้น
******************************
คาถา "ปราโมทย์"
องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ให้คาถาปราโมทย์โดยตรง ทรงปรารภว่าต่อไปเมื่อเธอภาวนา "คาถาปราโมทย์" นี่แล้ว อะไรทุกอย่างจะเห็นชัดเจนแจ่มใส ทั้งนี้เพราะว่าเธอเวลานี้เห็นนิมิตอะไรก็ตามมันคลุมเครือไปหมด ถ้าใช้คาถาบทนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะสว่างแจ่มใสเหมือนกับพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยง แต่ความจริงอารมณ์แจ่มใสประเภทนี้ ตามแบบจะต้องมีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
แต่ทว่าในตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านสอนมาอย่างนั้น ถ้าใครทำได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป ใครได้มโนมยิทธิก็ลองสอบเอา เพราะมโนมยิทธิเป็นเครื่องทดสอบความรู้ทางพระพุทธศาสนา การปฏิบัติความจริงนี่ก็เรื่องของใครของมันเหมือนกัน จะทำให้เหมือนกันทุกอย่างไม่ได้
คาถาปราโมทย์ที่ทำให้สมาธิจิตมีทิพจักขุญาณแจ่มใส จะจำภาพเห็นภาพ นิมิตทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยชัดเจนแจ่มใสเหมือนกลางวัน คือพระอาทิตย์เวลาเที่ยง ท่านว่าโดยสร้างนิมิตเปรียบเทียบ ปรากฏผลว่าภาพนิมิตและตรวจสอบใดๆจะชัดเจนขึ้น และมีภาพแจ่มใส ท่านว่าอย่างนั้น สำหรับคาถาภาวนาให้ภาวนาว่า "ปราโมทย์" เฉยๆ จับลมหายใจเข้าออกเหมือนกัน แล้วก็ภาวนาว่า "ปราโมทย์ ๆ"
******************************
คาถาพระนิพพานนิมิต
นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานะจิตติ นิพพานะจิตตา
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านเล่าถึงที่มาของพระคาถานี้ว่า เมื่อเข้าไปในพระจุฬามณีเจดีย์สถาน พบองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่า
“เธอนี่ควรจะเอาจิตจับพระนิพพานได้แล้ว และควรจะถือนิพพานนิมิตเป็นสำคัญ” ท่านบอกว่าใช้นิพพานนิมิต ท่านให้ภาวนาอย่างนี้ "นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา" (นิ-มิต-จิต-ติ นิ-มิต-จิต-ตา นิพ-พา-นะ-จิต-ติ นิพ-พา-นะ-จิต-ตา) ให้ภาวนาถือพระนิพพานเป็นอารมณ์
อย่างนี้จิตจะมีความผูกพันพระนิพพานเป็นอารมณ์มากขึ้น แล้วก็กำลังใจของเธอจะไม่คลาดจากนิพพานเมื่อกำลังใจของเธอไม่คลาดจากนิพพาน เมื่อเธอตัดพุทธภูมิมาแล้วต้องการเป็นพระสาวก ความสำเร็จของเธอจะไม่ก้าวล่วงปีนี้ไป จงกลับไปจับเอาอารมณ์นี้ให้เป็นฌานสมาบัติ”
เมื่อจำคาถามาแล้ว ในขณะนั้นก็ตั้งจิตภาวนา คือทำอารมณ์ไว้ตั้งแต่ยังไม่เอาจิตเข้าร่าง เมื่ออทิสมานกายมันยังลอยไปสู่ภพต่างๆ ก็ใช้อารมณ์นี้เรื่อยไป จิตใจก็จับพระนิพพานเห็นภาพพระนิพพานใสแจ๋ว มีความมั่นใจว่านั่นแล้วคือพระนิพพาน อย่างไรๆเราตายชาตินี้เราต้องไปนิพพานให้ได้ เรื่องร่างกายเรื่องทรัพย์สินไม่มีความหมายกับเรา นี่เป็นอารมณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น