04 กรกฎาคม 2563

เราควรเชื่อ "วิทยาศาสตร์" แบบ (ดั้งเดิม) "classic science" แบบมีวิจารณาญาณ ไม่ใช่ แบบ งมงาย ?...


เราควรเชื่อ "วิทยาศาสตร์" แบบ (ดั้งเดิม) "classic science" แบบมีวิจารณาญาณ ไม่ใช่
แบบ งมงาย ?...

วิทยาศาสตร์ที่มนุษย์เราทั่วโลกรํ่าเรียนกันมากว่า 400 ปี นั้นคือ วิทยาศาสตร์ดั้งเดิม
(classic science) มันมีที่มาจากยุคล่าอาณานิคม ของโลกตะวันตก เพื่อปล้นทรัพยากร
ของโลกเก่าที่อ่อนแอกว่า และ ล่ามนุษย์ด้วยกันเพื่อนำมาเป็นทาส

แต่แท้ที่จริงแล้ว มนุษย์เราเรียนรู้ วิทยาการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กว่า ด้านพลังงานและมิติต่างๆ ใน มิติที่ 4 และ มิติที่ 5 จะสามารถเข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริงย่อมกลมกลืนเป็นกระแสเดียวกับธรรมชาติ และ เราไม่ควรทำลายดุลยภาพของธรรมชาติซึ่งมันก็เท่าเราทำร้ายตัวเราเอง โดยทางอ้อมนั่นเอง...

จากการที่เราถูกปลูกฝัง และถูกครอบงำทางวิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิมมาตลอดเวลาอย่าง
ยาวนาน ทำให้พวกเรามีความเชื่อ วิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิมอย่างงมงาย ความจริงวิทยา
ศาสตร์ปัจจุบันเป็นเพียง กระบวนการรวบรวมข้อมูลทางสถิติและสังเกตุการณ์และทดลอง
สิ่งต่างๆ เท่านั้นเองไม่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับทฤษฎีพื้นฐานของวิทยาศาสตร์สาขา
ควอนตัมฟิสิกส์ได้เลย หากจะให้คำนิยามแล้ว เหมือนกับเป็นทรราชย์ทางวิชาการหากเราคิดไม่
เหมือนพวกเขา เมื่อเปรียบเทียบกันนะ

ในที่นี้คำว่า "งมงาย" หมายถึง การหลงเชื่อ ตามผู้อื่นมากกว่าเชื่อตัวเอง โดยการที่เรายก
ให้ นักวิทยาศาสตร์ ทั้งหลายเป็นเหมือน "เจ้าลัทธิที่ตนศรัทธา"

เขาสื่อสอนอะไรมา? บอกอะไรมา? เราก็เชื่อตามเขาไปจนหมดสิ้น เราจะเข้าใจหรือไม่
เข้าใจ ในเรื่องนั้นๆ เป็นเอาว่าเรารับมันหมดโดยไม่สงสัยหรือติดใจใดๆ ทั้งสิ้น

แล้ว นักวิทยาศาสตร์โลกก็มีความเก่งเป็นของตนเอง ที่สามารถค้นความรู้ใหม่ๆ สร้างสิ่ง
ใหม่ๆ ขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้เรื่อยๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไม่อาจพิสูจน์
ทางกายภาพได้ ว่าเป็นเช่นไร แต่ได้เชื่อในเรื่องนั้นไปล่วงหน้าแล้ว จึงตั้ง สมมุติฐานอธิบาย ความเชื่อของตนในเรื่องนั้นขึ้น

ขณะที่คนส่วนใหญ่พากันรับเอาและเชื่อตามอย่างว่าง่าย ทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครรู้เลยว่า ความ
จริงมันจะเป็นดังที่เชื่อหรือเปล่า ที่คาดว่าสิ่งนั้นเป็นจริงหรือไม่ ?..

นักวิทยาศาสตร์โลก ส่วนใหญ่ยังใช้อวัยวะการสัมผัสรู้ ของเครื่องประจุกรรมของพระผู้
สร้าง ที่สร้างไว้ให้มีความสามารถสัมผัสรู้โลก "ด้านกายภาพ" ระยะทางที่จำกัด เวลาที่
จำกัด กันอยู่

เมื่อเขาต้องการศึกษาสิ่งที่เล็กละเอียด ด้านมวล หรือ คลื่นความถี่ พวกเขาต้องใช้กล้อง
ส่องดู ใช้เครื่องช่วยหูฟังกัน

ถ้าเขาต้องการเห็น คลื่นความถี่ทางพลังงาน เขาก็ต้องสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ให้มี
จอดูภาพมายาของคลื่นแทน เพราะเขาไม่สามารถดูของจริงได้ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี อะไรที่เล็กจิ๋วเกินไปกว่านั้น และ อะไรที่ๆ อยู่ไกลไปในอวกาศ ซึ่งพวกเขาก็
รู้อยู่ว่าสรรพสิ่งนั้นมีอยู่ แต่เขาไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ทำได้แค่
"เดาอย่างมีหลักการ" เท่านั้นเอง

จากการสังเกตุ ปรากฎการณ์ หรือ มายา ของสิ่งนั้นแล้ว เดาว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นและ
อย่างนี้อยู่นั่นเอง

พ่อขอให้ถามตัวเองบ้างว่า หากเป็นเช่นนี้แล้ว ในเมื่อคนที่บอกให้เราเชื่อ เขาเองก็ยังเดาๆอยู่ แล้วตัวเราที่ยังไม่รู้ ไม่ได้ร่วมคิดค้นด้วย จะเชื่อตามเขาอย่างว่าง่ายไปเสียทุก
เรื่องได้อย่างไร ?..

เพราะวิทยาศาสตร์โลก เป็นวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ ที่อาศัยการสังเกตุการณ์ปรากฎ
การณ์ทางพลังงาน ที่มันเกิดขึ้นมาให้เราเห็น เราไม่ได้เห็นตัวตนของพลังงานที่แท้จริงเลย ที่มันมีอยู่

วิทยาศาสตร์โลก จึงเป็นศาสตร์ที่ศึกษาความจริงที่ไม่จริง หรือ ความจริงเพียงครึ่งเดียว
ของสรรพสิ่งเท่านั้นเอง

ความจริงเพียงครึ่งเดียวที่ศึกษากัน ล้วนเป็นแค่เพียงด้าน "มายา" ของสรรพสิ่ง ไม่ใช่ด้าน
ที่เป็นตัวตนแก่นแท้ของความจริงสักกะนิดเดียว

เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่เชื่อตามนักวิทยาศาสตร์ไปหมดทุกเรื่องทุกราวที่เกิดขึ้น อาการหลง
มิติทางกายภาพจึงย่อมดำรงอยู่ต่อไป ยากที่จะละเลิกให้หลุดพ้นมันไปได้...

จากส่วนหนึ่งของบทความ..นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง...


ที่มา

แสงสว่าง มองการไกล....ขอขอบคุณเจ้าของบทความนี้ด้วยครับ....

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...