(ที่คัดลอกนำเรื่องนี้มาลง ก็เพื่อให้รู้ว่าลูกหลานของหลวงพ่อที่ลงมาเกิดในชาตินี้ ต่างลงมาก่อนหมดบุญจากเทวดาหรือพรหมด้วยกันทั้งนั้น (ฟังจากหลวงพ่อมานะ) เพื่อติดตามหลวงพ่อมาบำเพ็ญบารมีต่อ และช่วยงานพระพุทธศาสนา ฉะนั้น เมื่อเกิดมาแล้ว บางคนอาจจะเป็นทุกข์มีความเดือดร้อนเรื่องความเป็นอยู่ หรือเรื่องการเงินการทอง หรือมีปัญหาเรื่องคู่ครอง ก็ขอให้มีสติระลึกให้ได้ว่า เราเลือกเกิดมาเอง เราเลือกตระกูลเกิดเอง ดังตัวอย่างของหลวงพ่อท่านก็เลือกตระกูลมาเกิดเหมือนกัน โปรดติดตามอ่านกันนะ)
“ตอนนี้ฉันก็จะเล่าอะไรให้ฟังต่อไปอีกสักนิด
เมื่อก่อนที่ฉันจะมาเกิดเป็นคนในชาตินี้ ด้วยอำนาจปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฉันทราบในตอนหลังว่า ก่อนที่จะเกิดในชาตินี้ ฉันเกิดเป็นพรหม หลังจากสมัยพระนารายณ์มหาราช ที่ฉันมาเป็นทหารเอก สมัยนั้นเขาเรียกว่า ทหารเอกหรือว่าทหารคู่พระทัย เมื่อฉันรบจนช่ำแล้ว ฉันก็ตาย
ก่อนจะตายก็เป็นเวลาที่พักรบ วันนั้นฉันได้เจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์องค์หนึ่ง ที่สอนฉันไว้จนกระทั่ง ฉันได้ฌานสมาบัติถึงฌาน 4 แล้วก็มีวิปัสสนาญาณพอสมควร แต่ว่าเวลาจะตายฉันตายในระหว่างฌาน แต่ว่าเป็นฌานชั้นต้น คือปฐมฌาน ฉะนั้นการตายในระหว่างฌานนั้นจึงไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ 3 เรียกว่า สัมพเกษีพรหม ตอนนั้นน่ะฉันมีชื่อว่า สัมพเกษีพรหม
เมื่อได้ไปเกิดเป็นพรหมแล้วก็ได้พิจารณาตัวเอง ว่าเรานี้ได้ปรารถนาพุทธภูมิกล่าวคือ ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาล ถ้าเราจะอยู่ในสมัยที่เป็นพรมนี่ก็นานเกินไป ด้วยเวลาหลาย ๆ กัป ด้วยอำนาจบารมี เห็นว่าการปฏิบัติตนเพื่อเป็นสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คอยเวลากว่าบารมีจะเต็มนี้ก็นานนัก จึงได้หาทางลัดคือ จุติจากความเป็นพรหม ในระยะที่ยังไม่หมดอายุนั้นลงมาเกิด ในตระกูลที่สมควร
ตระกูลที่ฉันมาเกิดนี้ไม่ใช่ตระกูลที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีก็หามิได้ เป็นตระกูลที่ มีอยู่พอกินพอใช้ ในปีหนึ่ง ๆ เท่านั้น
ทีนี้ลูกก็คงจะสงสัยสว่า เทวดาก็ดีพรหมก็ดีที่จะลงมาเกิดสามารถเลือกตระกูลที่เกิดได้ตามความประสงค์ เพราะไม่เหมือนคนตาย (คนอื่น) ก่อนที่เขาจะลงมาเกิดเขาก็ตรวจดูตระกูลก่อน ว่าตระกูลไหนเหมาะสมกับเราหรือไม่ คนตระกูลไหนเหมาะสมก็ลงมาเกิดตามอำนาจบุญบารมี
เมื่อฉันเป็นพรหมอย่างนี้ ทำไมฉันถึงไม่มาเกิดในสำนักของพระมหากษัตริย์ที่มีความอยู่เป็นสุข
อันนี้ถ้าจะคิดกันไปแล้วก็คิดว่า ถ้าการตัดสินใจของฉันที่ฉันมาเกิดตระกูลที่ยากจน อย่างนี้เรียกว่ายากจน ทำพอกินไปวันหนึ่งวันหนึ่ง หมายความว่ามันจะเหลือบ้างก็เล็กน้อย อยู่ในฐานะที่ไม่มีอาชีพหลัก ก็เป็นการไม่สมควรในฐานะที่เป็นพรหม ก็ควรจะเลือกตระกูลกษัตริย์ หรืออัครมหาเสนาบดี หรือว่าเสนาบดี หรือขุนนางผู้ใหญ่ ที่มีฐานะสูงใหญ่ จึงจะสมควร นี่คิดกันอย่างชาวโลกโลก แต่ว่าถ้าคิดถึงจิตใจของฉันในตอนนั้น นี่ฉันทวนหลังไปแล้วนะ ฉันว่าจะไม่พูดเรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แต่ว่าเรื่องราวมันบังคับ ก็ว่ากันไปใคร เขาจะว่ายังไงก็ช่างเขา แต่จิตใจของฉันในตอนนั้นตอนที่เป็นพรหม
นี่ฉันถอยหลังไปดูด้วยอำนาจอตีตังสญาณ คือคนที่รู้เรื่องราวในอดีต นี่คนที่ได้ญาณต่าง ๆ ดีมีประโยชน์อย่างนี้ ถ้าต้องการรู้เรื่องราวในอดีตอะไร ๆ ก็รู้ได้ตามความประสงค์ แต่เมื่อรู้แล้วละก็ เมื่อได้แล้วมันก็ขี้เกียจรู้ ไม่ขยันรู้เหมือนคนที่ยังไม่ได้ คนที่ยังไม่ได้ เมื่อฉันยังไม่ได้ฉันก็คิดว่าเมื่อฉันทำได้ฉันจะรู้อย่างนั้นฉันจะรู้อย่างนี้ อีตอนต้น ๆ จิตมันยังพอกพูนกิเลสมาก ๆ มันก็อยากเหมือนกันอยากจะดีอยากจะเด่น แต่ว่าอีตอนนี้จิตมันเศร้าลงมาเสียแล้ว ไอ้ความอยากดีอยากเด่นมันก็หมดไป เลยเป็นคนไม่อยากรู้ มันก็แปลกเหมือนกัน
จิตตอนนั้นคิดว่า ถ้าเราไปเกิดในตระกูลของพระมหากษัตริย์ นี่ การเป็นพรหมนี่จิตเป็นทิพย์รู้ถอยหลังลงไปว่า เราเคยเกิดเป็นกษัตริย์บ้างหรือเปล่า ภาระของกษัตริย์เป็นยังไง
ถอยหลังไปก็รู้เลยทีเดียวว่า การเกิดเป็นกษัตริย์นี่เราเกิดมาหลาย ร้อยวาระ เป็นกษัตริย์หลายร้อยครั้ง อาจจะนับเป็นพันครั้งก็ได้ และการเป็นกษัตริย์ไม่มีความสุข ต้องรับภาระคนทั้งประเทศ ต้องเอาทุกข์ของราษฎรทั้งประเทศเข้ามาแบกไว้
กษัตริย์มีหน้าที่เป็นทุกข์แทนราษฎร คนโง่เท่านั้นที่จะปรารถนาความเป็นกษัตริย์ ที่เรียกว่าโง่ก็หมายความว่า มีความทะเยอทะยานในการเป็นกษัตริย์ ในฐานะที่ตนเองไม่มีโอกาสจะเป็นกษัตริย์ด้วยบุญบารมี โดยคิดว่ากษัตริย์เป็นสุข แต่ความจริงกษัตริย์ทุกพระองค์มีทุกข์ ทุกข์มาก
ดูแต่พระราชาองค์ปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9) ถ้าเราจะดูตามหมายกำหนดการแต่ละวัน ดูทางวิทยุหรือดูทางโทรทัศน์ ก็จะเห็นว่าพระองค์ไม่มีเวลาเป็นของตนเองเลย น้อยนักปีหนึ่งจะมีเวลาเป็นส่วนพระองค์ มีความทุกข์มีความสุขเฉพาะพระองค์มีเวลาน้อยเต็มที เรื่องใหญ่มีหน้าที่ต้องรับสุขรับทุกข์ ไปในงานโน้นไปในงานนี้ตามหมายกำหนดการ เมื่อเขากำหนดให้แล้วก็ต้องไป ไปในฐานะที่เป็นกษัตริย์
ฉันเคยอ่านเรื่องราวของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จไปต่างประเทศ พระองค์ทรงกล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้นว่า บางวันปวดฟันเกือบจะตาย ประสาทชาไปทั้งศีรษะ แต่ว่าหมายกำหนดการเขาเขียนไว้แล้วว่าให้ไปก็ต้องไป นี่ความทุกข์ของกษัตริย์
บางวันพระองค์ก็ทรงพระประชวร มีความปวดท้อง มีความหิว มีความกระหาย มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเหมือนกัน พระองค์ทรงกล่าวว่า ฉันเป็นปุถุชนนี่ ฉันไม่สามารถที่จะระงับทุกขเวทนาได้ แต่ว่าความจำเป็นมันบังคับฉันก็ต้องไป ไปอย่างทนทุกขเวทนา
จะเห็นได้ว่ากษัตริย์ไม่มีเวลาเป็นของตน เรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาเสนอเข้าไปจะเป็นผิดหรือจะเป็นถูกก็ตาม ในเมื่อเขาบอกว่าพยานหลักฐานครบถ้วนบริบูรณ์ พระองค์ก็ต้องทรงตัดสินไปตามนั้น นี่เรื่องราวของพระมหากษัตริย์ ฉะนั้นกษัตริย์ อาจจะตัดสินคนที่ไม่มีความผิดให้กลายเป็นบุคคลว่ามีความผิด
คนที่ไม่จำเป็นคิดว่าต้องฆ่าให้ตายต้องเป็นคนที่ถูกฆ่าให้ตายเพราะเหตุที่พยานตุลาการพิจารณาเสนอไปให้พระองค์ทรงเซ็น อย่างนี้อาจก็เป็นได้
(แล้วหลวงพ่อก็ยกตัวอย่างสมัยพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระเตมีย์ใบ้)
นี่แหละบรรดาผู้ฟังทั้งหลายโปรดทราบ ให้รู้ว่าความเป็นกษัตริย์ไม่ดีอย่างนี้ ฉะนั้นฉันจึงไม่เลือกในสมัยที่เป็นพรหม ก่อนที่ฉันจะมาเกิด ฉันไม่ยอมเลือกเป็นกษัตริย์ เพราะว่าเกรงอาการอย่างนี้
กษัตริย์ที่ฉันเคยเป็นมาแล้ว แต่คนที่เขาไม่เชื่อ ถ้าเขาจะทวนด้วยอาการอย่างไรฉันไม่รู้ อยากจะรู้จริง ๆ ก็ทำปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้ปรากฏอย่างฉัน เขาจะไม่เถียงฉัน เขาจะไม่สงสัยฉัน และต่อมา ก็ขอคิดว่าทำไมฉันไม่เกิดในตระกูลเศรษฐี หรือมหาเสนาบดี มันก็มีอาการอย่างเดียวกัน ให้คนที่มีภาระมาก ตำแหน่งมากใหญ่โตมาก มันก็มีภาระอย่างนั้นเอาดีไม่ได้ อันนี้ฉันจะไม่อธิบาย
แล้วที่ฉันเกิดเอาตระกูลพ่อฉันแม่ฉันจะเลือกเขาทำไม เพราะเป็นตระกูลที่เรียกว่าพอกินพอใช้ หรือเรียกว่าพอกินบ้างไม่พอกินบ้างก็ได้
ตระกูลนี้เหมาะสมกับฉันอยู่อย่าง ในสมัยที่ฉันเป็นพุทธภูมิ ก็คือท่านพ่อเป็นคนที่มีสัจจะ ท่านเคยดื่มสุรา แต่เมื่อพอพบพระคือหลวงพ่อปานครั้งแรก ท่านก็ถวายสุราให้แก่หลวงพ่อปานตั้งแต่อายุ 20 เศษ ๆ ไม่ยอมดื่มตลอดชีวิต แม้แต่กระสายยาท่านก็ไม่ดื่ม สำหรับท่านแม่ก็เป็นนักบุญ ตระกูลนี้ เป็นตระกูลนักบุญ มีลุงหลายคนที่ได้ฌานสมาบัติ แล้วท่านแม่เองก็เป็นนักภาวนา ท่านพ่อเองก็เป็นนักภาวนา นักสวดมนต์ มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อชาวบ้าน เป็นที่เคารพนับถือของปวงชน คนที่แก่กว่าท่านก็ยอมเรียกท่านว่าพี่ ยอมเรียกท่านว่าพ่อว่าแม่ ตามที่บารมีท่านจะช่วยได้
แต่ก่อนที่ฉันจะมาเกิดก็พิจารณาว่าตระกูลนี้แหละ มีโรงงานแคบ ๆ มีงานไม่หนักนัก เพียงแค่ทำกินเลี้ยงตัว แล้วก็มีจิตใจตั้งอยู่ในสัจธรรม ฉันจึงได้ลงมาเกิด
ทีนี้ร่างกายของพรหมท่านผู้ฟังโปรดทราบ พร้อมนี่ถ้าจะเห็นร่างกายแล้วจะเห็นร่างกายเป็นสีทองคำ แปลว่าทองคำนี่เหลืองอร่ามมีแสงประกายออกจากกาย เพชรกับทองคำธรรมดาหมายความว่าทองคำธรรมดามีความสดใสเฉย ๆ แต่ว่าทองคำของพรหมเป็นร่างกายนี่ปรากฏมีแสงออกจากกาย และที่ท่านแม่เห็นว่ามีเพชรประดับเต็มตัว ก็หมายความว่าเครื่องทรงนั่นเองเป็นเพชร เรียกว่าแก้วมณีโชติ แพรวพราวทั้งตัว ฉันจุติลงมาในร่างของพรหม เพื่อให้มารดาเห็น นี่เป็นคำยืนยันที่มารดาของฉันบอก แต่ว่าท่านเห็นพระพุทธรูป ความจริงบอกว่าพรหมท่านไม่รู้จัก เลยเห็นพระพุทธรูปนั่นเอง ถ้าเป็นทองอร่ามอย่างนั้นใครจะคิดว่าเป็นคนธรรมดา หรือเป็นเทวดาก็ต้องคิดว่าเป็นพระ เพราะพรหมก็มีความประพฤติเป็นพระอยู่แล้ว
แต่การเกิดในชาตินี้ฉันต้องการเกิดมาบำเพ็ญเนกขัมมบารมี คือการบวชตลอดชีวิต ฉะนั้นคู่ครองต่าง ๆ ที่เป็นคู่โดยตรงของฉันที่พบกันแล้วจะต้องมีอำนาจให้ฉันไปแต่งงานร่วม จึงไม่มีใครลงมาเกิด มีมากมาย แล้วจะทราบในการต่อไปข้างหน้า.....”
ขอบคุณที่มา
คัดลอกจากเทปเรื่องอดีตรำลึก ม้วนที่ 1
Facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น