31 กรกฎาคม 2563
#คาถาปลุกพระของหลวงปู่ปานโสนันโท
29 กรกฎาคม 2563
กรรมฐาน ช่วยบรรพชน
ละธรรม 6 ประการ
26 กรกฎาคม 2563
ภาวนาคือยาแก้กิเลส
24 กรกฎาคม 2563
Queen An-Ra ช่อง: Erena Velasquez
คาถาล้างกรรม
23 กรกฎาคม 2563
"บ่วงโซ่ตรวนที่มัดหัวใจสรรพสัตว์"
พระมาลัย กับ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ภาวนาขัดเกลาจิตไปเรื่อยๆ
#ตำนานคาถามนต์จินดามณี
การฝึกมโมมยิทธิ เด็กหญิง สุนทรีย์ ชัยดารา
กราบขออนุญาติท่านเจ้าของเรื่องและลูกหลานที่ได้นำประวัติของท่านมาเผยแผ่ครับผม
เมื่อวันที่ 6. พฤษภาคม 2535 คุณพ่อของหนูได้พาหนูไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดโขงขาว. โดยมีคุณครูอำไพ. สุจนิล เป็นผู้ฝึกให้ มีผู้ใหญ่และเด็กๆฝึกกันหลายคน. หนูฝึกได้ คุณครูพาหนูไปเที่ยวสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นและพรหม
อีก 2-3 ชั้น แล้วคุณครูก็พาขึ้นนิพพาน
จากนั้นหนูก็มาฝึกกับคุณครูทุกเสาร์ - อาทิตย์ ผลการฝึกมโนมยิทธิ
หนูขอเล่ารวมๆเป็นตัวอย่าง. เล็กๆ น้อยๆ จากที่ไปพบมามากมาย. หนูไปเที่ยวสวรรค์เขตที่ 1. จาตุมหาราช. หนูได้ไปกราบท่านปู่ท้าวมหาราชทั้ง 4
ท่านปู่ทั้ง 4 นี้รูปร่างของท่านออกสีทองอ่อนๆ. สวยสดงดงามมาก. เขตที่ 2 ดาวดึงส์ โดยไปกราบพระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณีเจดียสถาน. กราบท่านปู่ ท่านย่า. หลวงพ่อ ท่านแม่ และขอชมพระเขี่ยวแก้วและพระเกศา
ของพระพุทธเจ้า. ลักษณะของพระเขี้ยวแก้วและพระเกศาเป็นเพชรระยิบ
ระยับสวยสดงดงามมาก.
เขตที่ 4 ดุสิต หนูไปกราบหลวงปู่ปาน. ท่านปู่ศรีอาริยเมตไตร. คือ ( องค์
เดียวกับท่านปู่ครูบาศรีวิชัย ). ฃึ่งจะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5. วิมานของท่านปู่ทั้งสองสวยงามมาก. เป็นมณฑปประดับแก้ว. ต่อจากนั้น
หนูไปพรหมชั้นที่ 16. คือเขตอกนิษฐ์สุทธาวาส. ไปเที่ยวแดนเนรมิต. หนูไปเล่นชิงช้าสวรรค์ทองคำ. ต่อจากนั้นหนูก็ไปวิมานของหลวงพ่อ. พระราชพรหมยานที่บนพระนิพพาน. วิมานของหลวงพ่อสวยสดงดงามมาก
มากกว่าที่วิหาน 100 เมตร เป็นล้านๆเท่า. ต่อจากนั้นหนูก็ไปนั่งสมาธิที่วิมานของหนู และ สมเด็จองค์ ประฐมท่านบอกว่า อย่าโลภมากเพราะทำให้มีกิเลสมากและยังทำให้ตกนรก และหนูก็ขอบพระคุณท่านกราบขอขมาและลาท่านลงมา
หลวงปู่ปานสอนฌาน. 1-4. และญาณ 8
หลวงปู่ได้พาหนูไปฝึกฌาน 1-8 ที่ป่าหิมพานต์ ฃึ่งอยู่ในเขตพรหมชั้นที่ 5
โดยหลวงปู่ให้หนูไปนั่งสมาธิที่สะดือน้ำตก ใกล้ๆ กับท่านอุปคุต. โดยใช้เวลา 8 วันหนูก็ฝึกฌาน 1-4 สำเร็จ. แล้วหลวงปู่ท่านก็ให้ผนูฝึกเข้า - ออก
ฌานให้คล่อง. แล้วหลวงปู่ท่านก็สอนญาน. 8. คือ
1 ทิพจักขุญาณ มีตาทิพย์ ( มีความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์)
2 เจโตปริยญาณ. รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์
3 จุตูปปาตญาฌ รู้ว่าสัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ใด. ที่มาเกิดนี้มาจากไหน
4 ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ. ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในการก่อนได้
5 อตีตังสญาณ. รู้เหตุการณ์ในอดีตที่ล่วงมาแล้วได้
6 อนาคตตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในกาลข้างหน้าต่อไปได้
7 ปัจจุปันนังสญาณ. รู้เหตุปัจจุบันของคนสัตว์สิ่งของสถานที่ได้ตามความเป็นจริง
8 ยถากัมมุตาญาณ. รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ทั้งอดีต. ปัจจุบัน. อนาคต
หลวงปู่ให้ทบทวนให้คล่องอยู่เสมอ
หลวงปู่สอนวิชาอภิญญา
ต่อมาหลวงปู่ปานได้สอนวิชาอภิญาให้หนูมากมาย ขอยกตัวอย่างเช่น
วิชาเสกของ. เหาะ. สลาตัน. ดำดิน. ทะลุกำแพง. เป็นต้น วิชาต่างๆนี้จะต้องได้รับอนุญาตจากหลวงปู่เสียก่อนจึงจะใช่ได้
การฝึกวิชาต่างๆกับหลวงปู่ปาน
20 พฤษภาคม 2535. หนูได้ไปเรียนวิชาเหาะกับหลวงปู่ปาน. โดยหลวงปู่พาหนูไปฝึกที่ป่าหิมพานต์ โดยหลวงปู่ให้ท่องคาถา. แล้วหลวงปู่ทำให้ดู
และหลวงปู่ก็บอกว่า. ให้เองลองไปทำที่บ้านดู หลังจากนั้นหนูได้ลองเหาะ
โดยใช้กายเนื้อของหนูเหาะจากที่บ้านไปยังวัดโขงขาว
25. พฤษภาคม 2535. หนูใช้กายเนื้อของหนูเหาะไปประเทศอินเดีย. โดยมีหลวงปู่พาไป. หลวงปู่ได้พาหนูเหาะไปลงที่วิหารมหาโพธิ ฃึ่งมียอด 3 ยอด มียอดใหญ่ 1 ยอด ยอดเล็ก 2 ยอด และหนูก็เหาะไปชมสถูปชื่อ. ธัมเมกขสถูป. แล้วหนูก็เหาะไปดู ปรินิพพานวิหารที่เมืองกุสินารา สุดท้ายหลวงปู่พาหนูเหาะไปทีโคนต้นโพธิ์ที่ลุมพินีที่ประเทศเนปาลด้วย. แล้วจึงกลับ
27. พฤษภาคม 2535. วันนี้หนูนึกว่าหลวงปู่จะพาไปฝึกวิชาเหาะ. แต่หลวงปู่สอนวิชาเสกของให้ โดยหลวงปู่ทำให้ดูฃ้ำๆ กันหลายครั้ง. แล้วหนูก็ทำได้ มีวันหนึ่งหนูลืมเอาเงินไปโรงเรียน. ไมมี่ค่ากับข้าว. หนูเลยเสกเงิน
32. บาท โดยหนูเอาออมทรัพย์ 22 บาท กิน 5 บาท แล้วเอามาใส่บาตรพระที่บ้าน 5 บาท. แล้วหนูขอบคุณหลวงปู่
30 พฤษภาคม. 2535. หลวงปู่พาไปฝึกวิชาดำน้ำที่สะอโนดาต. แล้วหลวงปู่ให้นั่งสมาธิ พอนั่งเส็จหลวงปู่พาเหาะด้วยกายเนื้อไปที่แม่น้ำฮวงโหในประเทศจีน. แล้วหลวงปู่ได้เนรมิตรเด็กผู้หญิงตัวขนาดเท่าหนู แล้วหลวงปู่บอกว่าถ้าใคร. ดำน้ำถึงพื้นก่อนกันข้าจะให้ลางวัล. ปรากฎว่าเสมอกัน
หลวงปู่จึงให้พระคำข้าวเป็นลางวัล
3. มิถุนายน 2535. หนูได้ฝึกวิชาดำดินกับหลวงปู่ โดยหลวงปู่พาไปฝึกดำดินที่ สวนมิสกวัน. เสร็จแล้วหลวงปู่ให้หนูไปลองทำที่บ้าน. หนูได้ลองดำดินดู จากที่บ้านของหนูไปถึงแม่น้ำกลาง. ฃึ่งห่างจากบ้านหนูประมาณ. 1. กิโลเมตร ตอนไปโผล่ตอนแลกหนูไม่รู้ว่าเป็นแม่น้ำ. หนูรู้สึกเย็นๆ. ดอไปอีกหน่อยก็ถึงแม่น้ำหนูตกใจจึงกลืนน้ำไป3 อึก. หลวงปู่ปานหัวอราะและพูดว่าดูดีๆ. ฃิเอ็ง. ก่อนจะโผล่ค
วรดูให้ดีๆสิแล้วเอ็งค่อยโผล่
6. มิถุนายน 2535 หลวงปู่สอนวิชาดินบนน้ำ. หลวงปู่พาไปที่แม่น้ำเจ้าพระยา. หลวงปู่ทำให้ดูก่อน หนูบอกหลวงปู่ว่าน้ำตรงนี้เย็น ไปแม่น้ำอื่นดีกว่า. หลวงปู่พูดว่า. ข้าให้เองเรียนที่นี่เอ็งอย่าบ่น. ถ้าเอ็งบ่นเดียวโดนดีแน่ หนูยังบ่นต่อ. หลวงปู่เลยยันหนูตกลงแม่น้ำเจ้าพระยา. หนูเลยใช่วิชาดำน้ำ. พอขึ้นมาหลวงปู่ถามเอ็งเข็ดไหม. หนูบอกยังไม่เข็ด. พอหลวงปู่ไดยินจะเอาเท้ายันอีก. หนูพูดว่าเข็ดแล้าจ้า. เข็ดแล้วจ้า. หลวงปู่พูดว่า. เออ. ดีแล้ว. ข้าปราบเอ็งมาทุกชาติ ชาตินี่เอ็งยังฃนอยู่หรือ. แล้วหลวงปูก็ให้หนูลองให้หนูเดินบนน้ำ. หนูก็ทำได้ หนูดีใจมาก
10. มิถุนายน 2535. หนูได้ขึ้นไปฝึกวิชา. สลทตัน. หลวงปู่ให้หนูทำดูตามตัวอย่างที่หลวงปู่ทำให้ดู ผนูก็ทำได้ วิชาสลาตัน. เวลาหมุน. ตัวของอราก็หมันด้วย. เมื่อฝึกเสร็จแล้วหลวงปู่บอกว่าอีก. 2 วันให้มาทบทวน
วิชาสลาตันพร้อมวิชาเหาะ
12. 2535. หนูขึ้นไปทบทวนวิชาเหาะก่อน. วันนี่เหาะได้เร็วกว่าเดิม
หลวงปู่ให้ทบทวน. วิชาเหาะ. สลาตัน. วิชาดำดิน. หลวงปู่พูดว่า. วันนี้พอแค่นี้ก่อน. แกไปพักผ่อนได้ หนูลงมาก็ง่วงนอน. แล้วตอนนั้นหนูเป็นหวัด
หายใจไม่สะดวก. หายใจทางปาก. พอดีจิ้งจกถ่ายอุจจาระเข้าปากหนู
หนูก็แปลกใจว่า. เอ๊ะ. ที่อื่นก็มีทำไมถ่ายอุจจาระใส่ปากเราด้วย. หนูก็ใช่
จิต. ไปถามจิ้งจก. จิ้งจกพูดว่าหมั่นใส้แกว่ะ. หนูก็เลยไม่สนใจขึ้นไปหาหลวงปู่แทน. เห็นหลวงปู่นั่งหัวเราะก๊ากๆ. อยู่ที่วิมานของหลวงปู่
20. มิถุนายน 2535. หลวงปู่พาไปทบทวนวิชาเหาะโดยหลวงปู่ไม่คุม
โดยให้เหาะจากบ้านไปถึงยุโรป. 3 เที่ยวแล้วหลวงปู่พากลับบ้าน. และ
บอกให้งดฝึกชั่วคราว
22 มิถุนายน 2535. หลวงพ่อ ( หลวงพ่อฤาษี) ได้สอนวิชาเสกใบไม้ให้เป็น
ตะขาบโดยหลวงพ่อทำให้ดูก่อน. 1. รอบ. แล้วหลวงพ่อพูดว่าเอ็งลองทำดูฃิ หลวงพ่อบอกให้หนู เสก. 3. ครั้ง. ครั้งแรกและครั้ง. 2 หนูทำได้ พอครั้งที่ 3. หนูก็เสกตะขาบไล่หลวงพ่อ. หลวงพ่อกระโดดตั้ง. 3 ที แล้วหลวงพ่อบอกเอ็งพอก่อน. เดี๋ยวข้าทำให้ดูอีกครั้ง. หนูคิดเอา. เอาแล้วล่ะ
กู เจ็บตัวจนได้ แล้วหลวงพ่อเสกตะขาบไล่หนู หนูก็กระโดดโหย่งๆ
แล้ว. หนูวิ่งไปนั่งที่ใต้ต้นไม้ หนูโดนตะขาบต่อยที่ที่ก้น. หลวงพ่อพูดว่าข้า
เก็บตะขาบใบไม้ไว้แล้ว แต่ที่เจ้านั่งทับมันแล้วมันกัดเอ็ง. นั้นมันเป็นตะขาบจริง พอดีว่าเป็นตะขาบตัวเล็ก. ตอนอยู่ข้างบนก็ไม่รูสึกเจ็บ. พอลงมาก้นเจ็บและบวมไปหลายวัน
คัดรอกจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 4. หน้า348
ทุกสรรพสิ่งมีพลังงานในตัว ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต...
ทุกสรรพสิ่งมีพลังงานในตัว ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต...
สูงสุดที่จักรวาลกำหนดไว้คือ 99,999 ในทุกๆสรรพสิ่ง สาธุ
ความจริงแล้ว ในธรรมชาติ #ก็มีพลังงานอยู่มากมาย ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ #คนที่ฝึกในขั้นที่สามารถเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้ ก็สามารถนำเอาพลังต่าง ๆ เหล่านั้นมาใช้ได้ มารักษาโรค มาปรับคลื่นไฟฟ้าในร่างกายให้สมดุลย์ หรือมาทำอะไรอื่น ๆ ได้อีกมากมาย
ดังนั้น ถ้าจะเรียกว่ามนุษย์ต่างดาวเขามาให้ “พลัง” เราจะไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจ เพราะเคยรับรู้ รับทราบมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะคนที่ฝึกพลัง มีพลังรักษาบำบัด ยิ่งมีพลังสามารถทำให้วัตถุเคลื่อนไหวได้ หรือทำอะไรที่เกินปกติ เราจะมองว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สามารถฝึกจนมีพลังได้ขนาดนี้ ดังนั้น ยูริ กิลเลอร์ นักพลังจิตที่มีชื่อเสียง ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ดี
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า “#ได้รับพลังจากมนุษย์ต่างดาว” มนุษย์ก็จะไม่แปลกใจ แต่ถ้าบอกว่าเป็น อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว อันนี้ไม่น่าฟังเท่าใดนัก ซึ่งความจริงจะบอกว่าเป็น “พลัง” ก็ทำได้ แต่จุดมุ่งหมายของมนุษย์ต่างดาว มีมากกว่านั้น...
จริง ๆ แล้วพลังทุกอย่างมีอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน หรือไม่ว่าจะเป็นการฝึกจิต การเห็นทะลุวัตถุ การรู้ล่วงหน้า การเหาะเหินเดินอากาศ การหายตัว ทุกอย่างมีอยู่ในธรรมชาติ แต่ทุกอย่างต้องใช้จิตเป็นตัวคอนโทรล เป็นตัวสั่งให้ทำ #ดังนั้นจึงต้องมีการฝึกจิตหลายรูปแบบ ฝึกแบบเพ่งให้ทำอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างโยคีก็ได้ หรือฝึกให้จิตปล่อยวาง มีความสงบ มีความเบา จนเข้ากับธรรมชาติชนิดนั้น อย่างการปฏิบัติของพุทธศาสนาก็ได้
ดังนั้น ไม่ว่าพรามณ์ ไม่ว่า โยคี ก็มีฤทธิ์ได้เช่นกัน เพราะการฝึกให้จิตทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น แต่ว่า สิ่งที่เพิ่มมาด้วย #ก็คือความมีตัวตนของผู้ฝึก #ที่ยึดถือว่าเราเป็นผู้ทำได้นั่นเอง
สิ่งที่เราเรียกว่า อิทธิปาฏิหารย์นั้น ก็เป็นของมีอยู่แล้วในธรรมชาติ แต่ผู้ไม่เคยรับรู้ก็คิดว่าแปลก เป็นปาฏิหารย์ เป็นผู้วิเศษ แล้วก็บูชาผิดทางกันไปก็มี
มนุษย์ต่างดาว ก็เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์โลกดี ดังนั้น หลายจุด หลายสถานที่ จึงรู้จักอุปกรณ์เหล่านี้ในรูปแบบของพลัง จะพลังอะไรก็แล้วแต่ แต่คุณสามารถเอามาใช้รักษา เอามาใช้บำบัดอาการเจ็บป่วย ได้ คนที่รับพลังนั้นมาก็ไม่หวาดกลัว คนที่มารักษาก็ไม่หวาดกลัว เพราะรักษาได้จริงไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม
แต่ทำไม มนุษย์ต่างดาวให้เราเรียกว่าสิ่งที่จะติดตั้งให้กับมนุษย์ ว่าเป็น “อุปกรณ์” ล่ะ
ซึ่งจริง ๆ แล้ว #มันเป็นอุปกรณ์ #เป็นเทคโนโลยี #ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้ผู้อยู่ในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติ นำไปใช้ประโยชน์ในเหตุการณ์เฉพาะกิจครั้งนี้ ซึ่งมันไม่ใช่อุปกรณ์ที่เป็นมวลสาร หรือเราคิดว่าเป็นเหล็ก เป็นแร่ธาตุมาฝังไว้ในตัวเรา มันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ #มันเป็นกลุ่มพลังงานที่สามารถใช้แทนวัตถุได้
คุณจะมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ เหมือนบุคคลที่ฝึกพลังจากธรรมชาติมามาก ๆ แต่คนธรรมดาก็มองไม่ออก นอกจากพวกที่ฝึกพลังด้วยกันเท่านั้นที่มองออก
ดังนั้น สิ่งที่เป็นอุปกรณ์นี้ ก็เป็นในรูปแบบของพลังงานอย่างหนึ่ง ที่นำมาใช้ประโยชน์ได้จริง มีประสิทธิภาพสูง และผู้ที่ใช้อุปกรณ์ก็ไม่เหนื่อย จึงเป็นรูปแบบที่มนุษย์ต่างดาวมองเห็นแล้วว่า เหมาะสมที่สุดกับมนุษย์โลกในยุคนี้
นิโรธสมาบัต
📌
" ฤทธิ์ ฌาน นิโรธสมาบัติ ฌานศักดิสิทธิ์
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ศักดิสิทธิ์เพียงใด เปรียบ อุปมา ใด้ ดังนี้ "
" ความหมาย ของคำว่า "นิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" "
🍃 การเข้า ฌาน นิโรธสมาบัติ ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เท่าที่จดจำกันได้ มีอยู่เพียง 4 ครั้งคือ ( แต่จริงๆมี 5 ครั้ง )
1.บ้านสามัคคีวิสุทธิ ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ พ.ศ.2496
2.พระพุทธบาท สระบุรี พ.ศ.2496
3.บ้านนาซา ระยอง ต้นปี มีนาคมพ.ศ.2498 ถึง มีนาคม 2499
4. วัดพระแท่นดงรัง วันเพ็ญเดือน 4 พ.ศ.2498 ตามบันทึกคลาดเคลื่อนเป็นปี 2499
5. และครั้งที่ 5 ทีวัดสารนาท 8 มีนาคม เวลา 17:00 ปี 2499
ข้างบ่อน้ำศักดิ์ ( ครั้งที่ 5 นี้ ผมพุฒิ นิพพาน
ว่าเอง จากการค้นคว้า ของผม และที่ครูบาอาจารย์ เล่าให้ฟัง
📌ตามความหมายของคำว่า "นิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" นั้น เป็นการเข้าฌานสมบัติอันสูงส่ง เป็นฌานลำดับที่ 9 ดังนี้
1. ปฐมฌาน ฌานที่ 1
2. ทุติยฌาน ฌานที่ 2
3. ตติยฌาน ฌานที่ 3
4. จตุตถฌาน ฌานที่ 4
5. ปัญจมฌาน ฌานที่ 5
6. ฉัฏฐมฌาน ฌานที่ 6
7. สัตตมฌาน ฌานที่ 7
8. อัฏฐมฌาน ฌานที่ 8 และ
9. นิโรธฌาน ฌานที่ 9 หรือนิโรธสมาบัติ
เมื่อเข้าสู่องค์ฌานลำดับที่ 9 นี้ กายสังขารและจิตตสังขารจะระงับไป คือแทบไม่มีลมหายใจ ไม่มีความรู้สึกทางกายและทางใจ แต่ก็ไม่ใช่พระนิพพาน สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่สามารถเข้า "นิโรธสมาบัติ" ได้นั้น พระบาลีระบุว่า
"ต้องเป็นพระอนาคามีและพระอรหันต์" เท่านั้น ต่ำกว่านั้นไม่สามารถเข้าได้
พระบาลีหลายแห่งยังระบุอานิสงส์ของการเข้าฌานสมาบัติไว้อีกว่า
"เป็นการพักผ่อนของพระอริยเจ้า" สามารถระงับทุกขเวทนาทางกาย ฌานสมาบัตินี้สามารถเข้าได้นานสุดเพียง 7 วัน เพราะร่างกายของคนเราจะทนอดทนกลั้นไม่กินข้าว ไม่หายใจ ไม่รับรู้อะไรเลยนั้น ฝืนธรรมชาติได้เพียง 7 วัน
และเมื่อพระอริยบุคคลท่านนั้นออกจากฌานสมาบัติแล้ว ก็จะเกิดความหิวขึ้นมา (เพราะว่าอดข้าวมาหลายวัน) บุคคลผู้ใดได้ให้อาหารแก่พระอริยบุคคลผู้แรกออกจากฌานสมาบัติเช่นนี้ จะได้รับอานิสงส์ใหญ่หลวง เทียบเท่าระดับจักรพรรดิสมบัติ มีสวรรค์และพระนิพพานเป็นเบื้องหน้คัมภีร์อภิธัมมัตถ
สังคหะ ปริเฉทที่๔
✨ นิโรธสมาบัติวิถี ✨
การเข้านิโรธสมาบัติ เหมือนฝึกนิพพาน เข้าสู่ความดับสนิทแห่งนามขันธ์ โดยปราศจากอันตรายใด ๆ เป็นมหาสันติสุขอันยอดเยี่ยม ดังนั้นพระอริยเจ้าจึงนิยม เข้าผลสมาบัติ และนิโรธสมาบัติด้วยศรัทธา และฉันทะในอมตรสนั้น จนกว่าจะ นิพพาน
ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติได้ ต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ดังจะกล่าวต่อไป นี้ คือ
คุณสมบัติ คือ
๑. ต้องเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์
๒. ต้องได้ฌานสมาบัติทั้ง ๘ กล่าวคือ ต้องได้รูปฌาน และ อรูปฌานด้วย ทุกฌาน
๓. ต้องมีวสี ชำนาญคล่องแคล่วในสัมปทา คือ ถึงพร้อมสี่ประการ ได้แก่
ก. มีสมถพละ และวิปัสสนาพละ คือ มีสมาธิ และปัญญาเป็นกำลัง ชำนาญ
ข. ชำนาญในการระงับกายสังขาร (คือลมหายใจเข้าออก) ชำนาญใน การระงับ วจีสังขาร (คือ วิตก วิจาร ที่ปรุงแต่งวาจา) ชำนาญในการ ระงับจิตตสังขาร (คือสัญญา และเวทนาที่ทำให้เจตนาปรุงแต่งจิต)
ค. ชำนาญในโสฬสญาณ (คือญาณทั้ง ๑๖)
ง. ชำนาญใน ฌานสมาบัติ ๘ มาก่อน
ดังนี้จะเห็นได้ว่า การเข้านิโรธสมาบัติ จำเป็นต้องใช้กำลังทั้ง ๒ ประการ คือ กำลังสมถภาวนา ต้องถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และกำลังวิปัสสนาก็ต้องถึง ตติยมัคคเป็นอย่างต่ำ กล่าวคือ ต้องใช้ทั้งกำลังสมาธิ และกำลังปัญญาควบคู่กันด้วย
๔. ต้องเป็นบุคคลในภูมิที่มีขันธ์ ๕ (คือ ปัญจโวการภูมิ) เพราะในอรูปภูมิ เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ด้วยเหตุว่าไม่มีรูปฌาน พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ ที่ได้สมาบัติทั้ง๘ อันเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ดังกล่าวแล้ว
เมื่อจะเข้านิโรธสมาบัตินั้น ต้องกระทำดังนี้
(๑) เข้าปฐมฌาน มีกัมมัฏฐานใดกัมมัฏฐานหนึ่ง ที่ตนได้มาแล้วเป็นอารมณ์ ปฐมฌานกุสลจิตสำหรับพระอนาคามี หรือ ปฐมฌานกิริยาจิตสำหรับพระอรหันต์ ก็เกิดขึ้น ๑ ขณะ
(๒) เมื่อออกจากปฐมฌานแล้ว ต้องพิจารณาองค์ฌาน โดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
(๓) เข้าทุติยฌาน ฌานจิตก็เกิด ๑ ขณะ
(๔) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๕) เข้าตติยฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๖) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๗) เข้าจตุตถฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๘) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๙) เข้าปัญจมฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๑๐) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๑๑) เข้าอรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๑๒) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๑๓) เข้าวิญญาณัญจายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๑๔) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๑๕) เข้าอากิญจัญญายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๑๖) เมื่อออกจาก อากิญจัญญายตนฌานแล้ว ไม่ต้องเข้าปัจจเวกขณวิถี แต่เข้าอธิฏฐานวิถี คือ ทำ บุพพกิจ ๔ อย่าง ได้แก่
ก. นานาพทฺธ อวิโกปน อธิษฐานว่า บริขารต่าง ๆ ตลอดจนร่างกาย ของข้าพเจ้า ขออย่าให้เป็นอันตราย
ข. สงฺฆปฏิมานน อธิษฐานว่า เมื่อสงฆ์ประชุมกัน ต้องการตัวข้าพเจ้า ขอให้ออกได้ โดยมิต้องให้มาตาม
ค. สตฺถุปกฺโกสน อธิษฐานว่า ถ้าพระพุทธองค์มีพระประสงค์ตัว ข้าพเจ้า ก็ขอให้ออกได้ โดยมิต้องให้มีผู้มาตาม
ง. อทฺธาน ปริจฺเฉท อธิษฐานกำหนดเวลาเข้า ว่าจะเข้าอยู่นานสัก เท่าใด รวมทั้งการพิจารณาอายุสังขารของตนด้วยว่าจะอยู่ถึง ๗ วันหรือไม่ ถ้าจะตายภายใน ๗ วัน ก็ไม่เข้า หรือเข้าให้น้อยกว่า ๗ วัน
(๑๗) อธิษฐานแล้วก็เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน วิถีนี้ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เกิดขึ้น ๒ ขณะ (๒ ขณะ ไม่ใช่ ๑ ขณะ)
(๑๘) ลำดับนั้น จิต เจตสิก และจิตตชรูปก็ดับไป ไม่มีเกิดขึ้นอีกเลย ส่วน กัมมชรูป อุตุชรูป และอาหารชรูป ยังคงดำรงอยู่ และดำเนินไปตามปกติ หาได้ดับ ไปด้วยไม่จิตเจตสิก และจิตตชรูป คงดับอยู่จนกว่าจะครบกำหนดเวลาที่ได้อธิษฐานไว้
(๑๙) เมื่อครบกำหนดเวลาที่ได้อธิษฐานไว้ ซึ่งเรียกว่า ออกจากนิโรธสมาบัติ นั้น
อนาคามิผล สำหรับอนาคามิบุคคล หรือ อรหัตตผล สำหรับอรหัตตบุคคล ก็เกิดขึ้น ๑ ขณะก่อน ต่อจากนั้น จิต เจตสิก และจิตตชรูปจึงจะเกิดตาม ปกติต่อไปตามเดิม
สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ อารมณ์จิตของพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือ พระอนาคามีระดับปฏิสัมภิทาญาณเท่านั้นที่มีจิตที่ว่างจากอารมณ์ทุกชนิด โดยจิตไม่ยอมรับรู้อารมณ์อะไรเลย แม้จะเป็นพระอรหันต์ระดับเตวิชโช หรือฉฬภิญโญ ก็ไม่สามารถทำจิตว่างจากอารมณ์ใดๆ ได้............
นี่ว่ากันตาม พระบาลี”แท้ๆนะครับ
ก็เพื่อให้สะดวกแก่ความเข้าใจ จึงจะขอสรุปสั้นๆก็คือ อันผู้ที่"มีสิทธิ์"เข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง)ได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. ต้องเป็น"พระอริยบุคคล"ระดับ"พระอนาคามี"ถึง"พระอรหันต์"เท่านั้น (นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นพระโสดา,สกทาคามี หรือแม้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ไม่อาจเข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง)ได้ เพราะเนื่องจากท่านยังมิอาจละกามราคานุสัย อันเป็นกิเลสอย่างละเอียดอ่อนที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของการทำสมาธิในระดับสูงเช่นนี้ได้ ฉะนั้น พระอริยบุคคลโสดาบันหรือพระสกทาคามี และหรือพระโพธิสัตว์(ไม่ว่าจะได้รับหรือยังไม่ได้รับพยากรณ์ ซึ่งยังคงอยู่ใน"ปุถุชน"เต็มภูมิอยู่)ทั้งสิ้น จึงมิอาจเข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)ได้ สภาวจิตยัง"ไม่ใช่"นั่นเอง)
2.พระ"อนาคามี"หรือ"อรหันต์"นั้น จะต้องเป็นผู้ชำนาญใน"สมาบัติ 8"เท่านั้น จึงจะเข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)ได้
. เพราะการเข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง) อันเปรียบด้วยการ"เข้านิพพานทั้งเป็น" นั้น จิตและเจตสิกดับไปเลยชั่วคราว ในช่วงเวลาที่กำลังเข้าสมาบัตินี้อยู่ ท่านที่กำลังเข้าสมาบัตินี้อยู่จึงมีร่างนิ่งๆเหมือนหัวตอ ลมหายใจก็ไม่มี จึงไม่ต้องกล่าวถึงการ"กิน"การ"ดื่ม"และ"ขับถ่าย"ใดๆทั้งสิ้น
ด้วยเหตุการเข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง) ดังกล่าว เป็นการตัดสัญญาอารมณ์และเวทนาใดๆโดยสิ้นเชิง (จิตใจจะไม่รับรู้สิ่งภายนอกใดๆแม้สัญญาอารมณ์ในจิตตนเองทั้งสิ้น) หากใครว่า "เข้านิโรธสมาบัติ"แล้ว ยังกินยังดื่มยังมี movement เคลื่อนไหวใดๆ มีการปลุกเสกพระเครื่องราง 108 เป็นต้นได้อยู่ ก็จงรู้เถิดว่า นั่นหาใช่"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง)แต่ประการใดไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แต่เพราะการเข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)นั้น จะเกิด"พลังงานพิเศษ"ที่ทรงอานุภาพมากแผ่ซ่านไปทั่ว อันย่อมรักษาตัวตนแห่งผู้เข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)นั้นให้ปลอดภัยในทุกกรณีในที่ทุกสถานได้อย่างสิ้นเชิง แม้วัตถุอันเกี่ยวเนื่องด้วยอัจฉริยบุคคลผู้เข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง) ไม่ว่าจะเป็นโดยตำแหน่ง,ที่ตั้ง หรือการตั้งโปรแกรมจิตก่อนหรือหลังเข้านิโรธฯนั้น ย่อมกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ทรงอานุภาพมากล้นตามไปด้วยโดยปริยาย โดยไม่จำต้องหรือสามารถ"ถอนจิต"มาปลุกเสกใดๆเลย สมดังประโยคที่มีการเปรียบเทียบกันไว้อย่างน่าคิดน่าฟังที่สุดประโยคหนึ่งว่า
"ไม่เสกก็เหมือนเสก แต่ถ้าเสกก็ยิ่งกว่าเสก" ไปด้วยประการฉะนี้.....
และแน่นอนที่สุด หนึ่งใน “พระอริยะ” ชั้นสูงที่ทรง “อัจฉริยภาพ”อันประเสริฐยิ่งที่สามารถเข้า “นิโรธสมาบัติ” (ของจริง) ตามที่พระอรรถกถาจารย์ได้พรรณนาไว้ ก็คือ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม” แห่งบ้านสามัคคีวิสุทธิ นั่นเอง...!!!!!!
อันการเข้า"นิโรธสมาบัติ" นี้ คุณแม่บุญเรือนเคยกล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดว่า หากเป็นการเข้านิโรธสมาบัติแบบ"เต็มภูมิ"แล้วไซร้ จะต้องไม่มีการดื่ม การกิน การถ่าย ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะใดๆทั้งสิ้น
การเข้านิโรธสมาบัติแบบ"เต็มภูมิ"นี้ ท่านกล่าวว่า จะอยู่ได้เพียง 7 วัน เพราะพลังงานต่างๆทุกชนิดที่สะสมไว้ในร่างกาย จะถูกเผาผลาญไปจนหมดสิ้น ซึ่งหากใครขืนเข้านิโรธสมาบัติแบบเต็มภูมิเกินไปกว่านั้น ร่างกายสังขารก็อาจจะถึงแก่การอวสานได้
ซึ่งการเข้านิโรธสมาบัติอย่าง"เต็มภูมิ"นี้ คุณแม่บุญเรือนก็เคยเล่าไว้ว่า
"แม่ก็เคยทำมาแล้ว ไม่กินไม่ถ่ายตลอด 7 วัน...!!!!"
นอกจากนี้ คุณแม่บุญเรือนยังได้เคยกล่าววิพากษ์ถึงการเข้า"นิโรธฯ"ของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิเทสโก) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ในสมัยนั้น แม้จะเคยเป็น"อาจารย์สอนกรรมฐานเบื้องต้น"ให้คุณแม่มาก่อน แต่เมื่อถึง"ธรรมะชั้นสูง"ยัง"ไม่ใช่" คุณแม่ก็ต้องว่า "ไม่ใช่" อย่างตรงไปตรงมาทีเดียวว่า
"เจ้าคุณรัชฯ...เจ้าคุณอาจารย์นี่ทำนิโรธไม่เป็น ทำไมเวลาเข้านิโรธแล้ว จึงยังฉันน้ำผึ้งอยู่อีก ท่านทำไม่ถูกนะคะ...!!!?”
หมายเหตุ , จากคำกล่าวของคุณแม่บุญเรือน ดังกล่าว ก็ย่อมส่งสะท้อนไปถึงใครก็ตามที่ว่า “เข้านิโรธ” หากยังมี “การกินการดื่ม” ไม่ว่าจะเป็นเพียงแม้ “ข้าวหนึ่งเมล็ด” หรือ “น้ำหนึ่งหยด” ก็จงรู้ไว้เถิดว่า นั่นหาใช่เป็น “นิโรธสมาบัติ”(ของจริง)แต่ประการใดไม่....(ส่วนการนั้น จะเป็นเพียง “นิโรธสมบัติ”หรือ “นิโรธสมมุติ” ประการใดนั้น ก็กรุณาไปพิจารณากันเทอญ !)
จากประวัติที่คุณเสทื้อน สุภโสภณได้เคยบันทึกไว้ ระบุไว้อย่างแน่ชัดว่า สถานที่สำคัญต่างๆที่คุณแม่บุญเรือนเคยเข้านิโรธสมาบัติ เพื่อช่วยทุกข์และบันดาลความสำเร็จให้แก่บรรดาสานุศิษย์ของท่านนั้น เท่าที่จดจำกันได้ มีอยู่เพียง 4 ครั้งคือ
1.บ้านสามัคคีวิสุทธิ ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ พ.ศ.2496
2.พระพุทธบาท สระบุรี พ.ศ.2496
3.บ้านนาซา ระยอง ต้นปีพ.ศ.2499
4.วัดพระแท่นดงรัง วันเพ็ญเดือน 4 พ.ศ.2499
ที่มา
เคดิ พุฒิ นิพพาน
22 กรกฎาคม 2563
#ผู้ที่จะพ้นจากทุกข์คือพระนิพพานต้องอ่าน
ระหว่างการศึกษาจากตำรา คือศึกษาด้านปริยัติ กับอีกฝ่ายหนึ่งเน้นการปฏิบัติแนวทางใดจะให้ผลดีกว่ากัน
#เหตุแห่งความเสื่อมและเหตุของผู้เจริญ
อริยสัจ 4 และมรรคแปด
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...
-
การจับพลังพระเครื่องนั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และมีรูปแบบการใช้อยู่อย่างหลากหลายเพื่อให้ทราบว่า พระเครื่ององค์นี้ หรือวัตถุมงคล ชิ้นนี้ ...
-
https://youtu.be/V5b6fr4VMjU หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ระยอง - พลังจตุธาตุหนักแน่นเช่นเดิม มาเต็มๆ 100 ทุกพลังธาตุ ตามมาตรฐานหลวงปู่ทิม...
-
พระหลวงพ่อทวด ชุดนี้จัดสร้างโดยมีพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ ดำเนินการร่วมกับพระครูสมุห์อำพล วัดประสาทบุญญาวาสใ พิธีปลุกเสกเมื่อวัน...