ประวัติ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์”
ณ พุทธคยา ทั้ง 4 ต้น
ต้นโพธิ์ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ
“พุทธคยา” มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า วัดมหาโพธิ์ เป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมี “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เป็นโพธิญาณพฤกษาหรือพันธุ์ไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกด้านหลังของพระมหาเจดีย์พุทธคยา และมีพระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์ ประดิษฐานคั่นอยู่ระหว่างกลาง รวมทั้งหมดมี ๔ ต้น และทั้ง ๔ ต้นนี้ได้เจริญเติบโตทดแทนกันมาเรื่อยๆ จากที่เดิมและมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน นับเป็นอนุสรณ์สถานที่มีคุณค่าของชาวพุทธและมวลมนุษยชาติทั่วโลก ทั้งนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ พุทธคยา ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น “มรดกโลก” ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม จากองค์การยูเนสโก
(๑) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๑
เป็นต้นไม้คู่พระบารมีและเป็นสหชาติของพระโพธิสัตว์ เกิดขึ้นพร้อมกับวันที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ตามพุทธประวัติกล่าวว่า สหชาติมี ๗ ประการ (สัตตสหชาติ) คือ พระนางพิมพา, พระอานนท์พุทธอนุชา, นายฉันนะ, อำมาตย์กาฬุทายี, ม้ากัณฐกะ, ขุมทรัพย์ ๔ มุมเมือง และต้นอัสสัตถพฤกษ์หรือต้นพระศรีมหาโพธิ์
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๑ เป็นต้นที่พระพุทธเจ้าทรงประทับตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ได้รับการถวายหญ้ากุสะจำนวน ๘ กำจากโสตถิยพราหมณ์ เพื่อปูเป็นที่ประทับเมื่อใกล้รุ่งของวันเพ็ญ เดือน ๖ จึงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์ตรัสว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้แทนพระพุทธองค์ หากใครได้ไหว้ได้สักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็เท่ากับว่าได้ไหว้สักการะพระพุทธองค์ และหลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว มีผู้เลื่อมใสศรัทธามากราบไหว้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นจำนวนมาก
ในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ชาวพุทธผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก เช่น ทรงสร้างพระเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชาจำนวนถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ ฯลฯ ซึ่งทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สนพระทัยในความสุขส่วนพระองค์เหมือนเช่นเคย ว่างเว้นจากราชกิจก็มาปฏิบัติธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่กลับวังที่ประทับ ทรงเคารพรักต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นอย่างยิ่ง จะเสด็จไปนมัสการอยู่ตลอดเช้าเย็น จึงเป็นเหตุให้เหล่าพระมเหสีนางสนมทั้งหลายไม่พอพระทัยที่พระองค์ทรงเอาใจใส่ต้นพระศรีมหาโพธิ์มากเกินไป ต่างพากันโกรธแค้นอิจฉาต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระมเหสีองค์ที่ ๔ ของพระเจ้าอโศกมหาราช พระนามว่า มหิสุนทรี (พระนางติษยรักษิต) ได้รับสั่งให้นางข้าหลวงนำยาพิษและน้ำร้อนแอบไปรดที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์เพื่อทำลาย บางแห่งบอกว่า พระนางเอาเงี่ยงกระเบนมีพิษมาทิ่มรากต้นพระศรีมหาโพธิ์ จนทำให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ตายไปในที่สุด รวมอายุของต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นแรกประมาณ ๓๕๒ ปี
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบ ก็ทรงวิสัญญีภาพ (สลบ) ล้มลงในที่นั้น ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงมีรับสั่งให้มหาดเล็กเอาน้ำนมโค ๑๐๐ หม้อไปรดที่บริเวณรากของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ล้มตายลงไปนั้นทุกวัน และทรงตั้งสัตยาธิษฐานพร้อมกับการสักการะก้มกราบ พระองค์ทรงมีพระราชปรารภว่า หากแม้ว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ไม่แตกหน่อขึ้นมาแล้วไซ้ร์จะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด ด้วยพุทธานุภาพและพระราชศรัทธาอันแรงกล้าแห่งพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นที่อัศจรรย์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ภายหลังก็แตกหน่องอกขึ้นมาใหม่ จึงได้นับหน่อนี้เป็นต้นที่ ๒ และมีอายุยืนต่อมาอีกหลายร้อยปี พระเจ้าอโศกมหาราชทรงดีพระทัยเป็นอันมาก จึงทรงมีรับสั่งให้ก่อกำแพงล้อมรอบไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับต้นพระศรีมหาโพธิ์อีก
(๒) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๒
ถือเป็นต้นที่แตกหน่อมาจากต้นแรก การที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก จึงมีการนำต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปปลูกในประเทศต่างๆ ด้วย เช่น คณะของพระโสณเถระ-พระอุตตรเถระ เดินทางไปยังดินแดนสุวรรณภูมิ และ คณะของพระมหินทเถระ-พระนางสังฆมิตตาเถรี เดินทางไปยังประเทศศรีลังกา เป็นต้น โดยพระภิกษุและพระภิกษุณีเหล่านี้ได้นำต้นหรือกิ่งของต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปด้วย
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๒ ถูกทำลายจนล้มตายอีกครั้งในสมัยพระเจ้าปูรณวรมา กษัตริย์ชาวพุทธแห่งแคว้นมคธ เนื่องจากแคว้นมคธได้ถูกรุกรานโดยพระเจ้าสาสังการ กษัตริย์ชาวฮินดูแห่งแคว้นเบงกอล ซึ่งเมื่อขึ้นครองราชย์ก็ทรงมีนโยบายทำลายพระพุทธศาสนา ครั้นเมื่อได้ยกกองทัพมาถึงบริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก็ไม่พอพระทัยด้วยเพราะพระองค์นับถือฮินดู จึงทรงรับสั่งให้ตัดต้นและขุดราก ใช้ฟางอ้อยสุม ใช้น้ำมันราด และเผาต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งมีอายุประมาณ ๘๗๑-๘๙๑ ปี จนล้มตาย รวมทั้ง รับสั่งให้ทำลายพระพุทธรูปในพระมหาเจดีย์พุทธคยาทั้งหมด มีเพียงพระพุทธรูป “พระพุทธเมตตา” เท่านั้นที่รอดพ้นจากการถูกทำลายในคราวนั้น เนื่องจากนายทหารผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ไปทำลายพระพุทธรูปไม่กล้าทำลายเพราะเป็นชาวพุทธ จึงได้ใช้วิธีเอาแผ่นอิฐมาก่อเป็นกำแพงปิดทางเข้าห้องบูชาเพื่อไม่ให้ใครเห็น เป็นการกำบังพระพุทธรูปไว้อย่างมิดชิด
๗ วันหลังจากนั้น พระเจ้าสาสังการทรงได้รับผลกรรมจากการสั่งให้ทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯลฯ ทั่วพระวรกายเกิดแผลพุพอง เน่าเปื่อยเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ อาเจียนเป็นพระโลหิต และสิ้นพระชนม์อย่างอนาถที่พุทธคยา ในตอนนั้น พระเจ้าปูรณวรมา ได้เสด็จมาพอดี จึงตีทัพของแคว้นเบงกอลแตกพ่ายไป ต่อมาได้มาพบเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ล้มตายเช่นนั้น ก็ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงรับสั่งให้ทหารพร้อมด้วยชาวบ้านร่วมกันไปรีดน้ำนมโค ๑,๐๐๐ ตัว แล้วกลั่นให้ข้นเหลือ ๘ ตัว เอาน้ำนมที่ได้เทราดตรงบริเวณหลุมต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นเก่าที่ถูกเผา พระองค์ทรงนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น พร้อมตั้งสัตยาธิษฐานตามแบบพระเจ้าอโศกมหาราช โดยทรงมีพระราชปรารภว่า ถ้ามาตรแม้นหน่อแห่งต้นโพธิ์ยังไม่งอกขึ้นตราบใด ข้าพเจ้าก็จักไม่ยอมจากไปจากสถานที่นี้โดยตราบนั้น ข้าพเจ้าขอยอมถวายชีวิตเพื่อบูชาอุทิศต่อพระศรีมหาโพธิ์ตลอดชั่วลมปราณ ด้วยสัจจวาจากิริยาธิษฐานของพระองค์นี้นี่แล หน่อน้อยที่ ๓ ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็งอกขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ พระองค์เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นหน่อน้อยงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก็เกิดปีติโสมนัส จึงจัดการสร้างกำแพงล้อมต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นไว้อย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันมิให้ศัตรูเข้ามาทำลายได้อีกต่อไป จึงได้นับหน่อนี้เป็นต้นที่ ๓
(๓) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๘ นายพลโทเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีชาวอังกฤษ หัวหน้าคณะสำรวจพุทธสถานในช่วงอังกฤษปกครองประเทศอินเดีย เป็นผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาเป็นอันมากเนื่องจากเป็นผู้ขุดค้นพบพุทธสถานหลายแห่ง รวมทั้ง สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักของชาวอินเดียหลังจากลืมเลือนไปแล้วกว่า ๘๐๐ ปี ท่านได้เดินทางไปที่เมืองพุทธคยาเป็นครั้งที่สอง พบว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ทรุดโทรมมาก ประชาชนชาวฮินดูในบริเวณนั้นได้ตัดกิ่งก้านไปทำเชื้อเพลิง ครั้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๒๑-๒๔๒๓ ได้เกิดพายุใหญ่ เป็นเหตุให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เบียดกับพระมหาเจดีย์พุทธคยา กระทั่งหักโค่นล้มลงไปทางทิศตะวันตกและล้มตายไปเอง ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ นี้มีอายุยืนนานมากประมาณ ๑,๒๕๘-๑,๒๗๘ ปี
(๔) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๔
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๔ เป็นต้นที่ยังคงยืนต้นอยู่เหนือพระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์ ที่พุทธคยาในปัจจุบัน เป็น ๑ ใน ๒ หน่อที่แตกขึ้นมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ ที่ล้มตายไป และได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๓ ท่านเซอร์คันนิ่งแฮม ได้เดินทางไปที่พุทธคยาอีกครั้ง พบกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ล้มอยู่ และได้พบหน่อโพธิ์งอกอยู่ที่ใต้ต้นเดิม จำนวน ๒ หน่อ หน่อหนึ่่งสูง ๖ นิ้ว ได้บำรุงดูแลปลูกไว้ที่บริเวณต้นเดิม อีกหน่อหนึ่งสูง ๔ นิ้ว แยกนำไปปลูกไว้ในที่ไม่ไกลจากต้นเดิมทางด้านทิศเหนือ ห่างกันประมาณ ๒๕๐ ฟุต
ท่านเซอร์คันนิ่งแฮม เข้าใจว่าสถานที่ท่านนำต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นหลังไปปลูกนั้น เป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์เสด็จประทับยืนทอดพระเนตรพิจารณาต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ได้ประทับตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่เรียกว่า “อนิมิสเจดีย์” แต่ความเห็นนี้ไม่ตรงตามพระบาลีและคนส่วนมากเข้าใจกัน เพราะตามพระบาลีนั้นกล่าวไว้ว่า อนิมิสเจดีย์อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์
ปัจจุบัน “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” หน่อหรือต้นที่ ๔ ทั้ง ๒ ต้นยังคงยืนต้นอยู่ มีอายุยืนถึงทุกวันนี้กว่า ๑๓๘ ปี
(นับจากเริ่มปลูกประมาณระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๓-๒๕๖๑)
เชิญชวนท่านสาธุชนชาวพุทธ ผู้มีกุศลศรัทธา เดินทางไปกราบสักการะไห้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
สาธุๆครับ
#แชร์เป็นธรรมทาน
...........................
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น