เจ้าหญิงรูปนันทา ผู้ได้รับยาขมหม้อใหญ่ (อสุภะกรรมฐาน)
• เจ้าหญิงรูปนันทาราชธิดาเจ้าสุทโธธนะราช
นางวิปลาศหลงรูปงามแห่งองค์ว่าวาบหวาม
จะพิศซ้ายแลขวาก็ว่าเงาแห่งรูปตนงาม
ทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุนางสมมติว่างามกว่าใคร ฯ
เป็นที่ทราบกันดีว่า "เจ้าหญิงรูปนันทา" หรือ “พระนันทาเถรี” เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางมหาปชาบดีโคตมี แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นศากยะ เป็นพระขนิษฐภคินีของเจ้าชายนันทะ และเป็นพระน้องนางต่างพระมารดากับพระพุทธเจ้า เป็นผู้หลงในความงามของตน ออกบวชเป็นภิกษุณีโดยไม่ศรัทธา และได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดา ให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลาย "เอตทัคคะผู้ยินดีในฌาน”
ในสมัยนั้นพระนันทาเถรี เมื่อออกบวชแล้ว พยายามหลบเลี่ยงมิเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า พระทราบว่าพระพุทธเจ้า มักแสดงธรรมเกี่ยวกับรูปกายไม่สวยงาม ไม่คงทน ให้ปลง และวางเสีย เพราะกลัวว่าพระพี่ชายจะตำหนิในความมีรูปงามและความหลงในรูปนั้นแห่งตน
จนวันหนึ่งพระนางตัดสินพระทัยเข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรมจากองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระนางก็หลบนั่งอยู่หลังผู้อื่น แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณ จึงเนรมิตรหญิงงามที่งามยิ่งกว่าพระนางรูปนันทา อายุราว ๑๖-๑๗ ปี ถวายงานพัดอยู่ใกล้พระองค์ ใ้ห้เฉพาะพระนางรูปนันทาเท่านั้นที่เห็น และทรงเนรมิตให้รูปนารีนั้น ค่อยๆ เจริญวัยขึ้นตามลำดับ จาก ๑๖ - ๒๐ - ๓๐ - ๔๐ จน ๘๐ และเริ่มเจ็บป่วย ดิ้นทุรนทุรายและตายไปในที่สุด ร่างที่เริ่มเน่าเปื่อย มีหนอนไช เน่าไม่น่าดู และกลายเหลือแต่กระดูก ในขณะที่รูปนารีที่สวยพิลาศนั้นเปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งเสียงที่ได้ยินเพียงพระนางนันทาเถรีเท่านั้น ให้พระนางดูรูป และพิจารณาตามว่าร่างนี้ไม่คงทน มีแต่เน่าเปื่อยผุพัง ทำให้พระนางวางหยิ่งทนงในรูปของตนเสีย พระนางคิดตาม จนบรรลุพระโสดาบัน และยังคงเพ่งมองและคิดตาม จนสำเร็จพระอรหันต์ในที่สุด ด้วยการเพ่งอสุภะ นั่นเอง ( ในทางฝึกปฏิบัติพระกรรมฐานถือกันมาแต่โบราณแล้วว่าอสุภะกรรมฐาน คือ ยาขมหม้อใหญ่ สามารถแก้อาการหลงในกามคุณทั้งปวงชะงัดนักแล )
เมื่อจะทรงแสดงธรรม ด้วยอำนาจธรรมเป็นที่สบายแห่งพระนาง ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
"นันทา เธอจงดูกายอันกรรมยกขึ้น อันอาดูร ไม่สะอาด เปื่อยเน่า ไหลออกอยู่ข้างบน ไหลออกอยู่ข้างล่าง ที่พาลชนทั้งหลายปรารถนากันนัก; สรีระของเธอนี้ ฉันใด สรีระของหญิงนั่น ก็ฉันนั้น, สรีระของหญิงนั่น ฉันใด สรีระของเธอนี้ ก็ฉันนั้น:
เธอจงเห็นธาตุทั้งหลายโดยความเป็นของสูญ อย่ากลับมาสู่โลกนี้อีก เธอคลี่คลายความพอใจในภพเสียแล้ว จักเป็นบุคคลผู้สงบเที่ยวไป"
ลำดับนั้น พระศาสดาเพื่อจะตรัสสุญญตกรรมฐาน เพื่อต้องการอบรมวิปัสสนาเพื่อมรรคผลทั้งสามยิ่งขึ้นไปแก่พระนาง จึงตรัสว่า
"แน่ะนันทา ในสรีระนี้ไม่มีสาระแม้มีประมาณน้อยเลย กายนี้มีเนื้อและเลือดฉาบทาไว้ เป็นที่อยู่ของชราเป็นต้น เป็นเพียงกองกระดูกเท่านั้น ดังนี้" แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
"สรีระอันกรรมทำให้เป็นนครแห่งกระดูกทั้งหลาย ฉาบด้วยเนื้อและโลหิต เป็นที่ตั้งลงแห่งชรา มรณะมานะ และมักขะ"
ในกาลจบเทศนา พระนางรูปนันทาเถรีได้บรรลุพระอรหันต์ ดังนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น