นักวิปัสสนาที่ยังต้องอาศัยเวลาที่สงัด ยังต้องยึดแบบนั้น ท่านว่ายังไกลมรรคผลมาก นักวิปัสสนาที่เข้าระดับวิปัสสนาจริง ท่านเอาธรรมชาติที่ปรากฏเฉพาะหน้าเป็นเครื่องพิจารณา ขั้นแรกจงเข้าใจคำว่า "วิปัสสนาเสียก่อน" คำว่า "วิปัสสนา แปลว่า รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง" วิปัสสนาท่านแปลว่าอย่างนั้น หรือจะพูดเป็นภาษาไทยแท้ก็ได้ความว่า ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เมื่อได้ความอย่างนี้แล้ว การเจริญวิปัสสนาก็ไม่มีอะไรยาก ความจริงวิปัสสนานี้มีวิธีเจริญง่ายมาก ง่ายกว่าระดับสมาธิมาก คือยกอารมณ์ให้เข้าถึงความเป็นจริง คล้อยตามความเป็นจริง ไม่ฝืนความจริง รับรู้รับทราบตามกฎของความเป็นจริงตลอดเวลา และไม่พยายามฝ่าฝืนกฎธรรมดาเป็นอันขาด
กฎธรรมดา
กฎของธรรมดามีอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรที่เราได้มา หรือเห็นอยู่ ตามกฎที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ เมื่อมันเกิดมาใหม่ มันเป็นของใหม่ แต่ต่อไปมันจะค่อยๆ เก่าลงทุกทีตามวันเวลาที่ล่วงไปแล้ว ในที่สุดมันก็จะต้องแตกทำลาย สิ่งที่มีชีวิตต้องตาย สิ่งที่ไม่มีชีวิตต้องผุพัง กฎธรรมดามีเท่านี้ จะเป็นใครก็ตามแม้แต่ตัวเรา ลูกเรา หลานเรา ไม่ว่าท่านผู้วิเศษที่ไหน เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด จำเข้าไว้และคิดคำนึงไว้เป็นปกติ อย่าคิดเฉยพยายามทำอารมณ์จิตให้เข้าระดับจริงๆ คือคิดแล้วปลงด้วย โดยปลงว่าก็อะไรๆ มันไม่แน่นอนอย่างนี้ เราควรหรือที่จะยึดจะเกาะสิ่งทั้งหมดที่เห็น ที่มีอยู่และกำลังจะมีว่า มันเป็นเรา เป็นของเรา ถ้าคิดอย่างนั้นมันก็ผิดถนัด เป็นการหลอกหลอนตัวเอง เพราะมันต้องเก่า ต้องทำลาย เมื่อมันมีสภาพอย่างนี้ทั้งหมดโลก ก็การเกิดในโลกที่เต็มไปด้วยความกลับกลอกหลอกหลอนโกหกมดเท็จอย่างนี้ มีอะไรเป็นของน่ารัก น่าทะนุถนอม น่าปรารถนาบ้าง พยายามคิดๆ ให้เห็นว่า ความจริงมันน่าเบื่อจริงๆ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ แม้แต่วัตถุที่ไม่มีวิญญาณ หาอะไรคงสภาพไม่มี พยายามแสวงหาสะสมกันเสียพอแรงแต่แล้วก็ผิดหวัง เมื่อจะหามา เลือกแล้วเลือกอีก เอาสวยๆ งาม ที่สุดเท่าที่จะหาได้ ดูทนทานแข็งแรงที่สุดเท่าที่จะมีในโลกนี้ แล้วมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อได้มาแล้วมันจะค่อยๆ คลายความสวยลง แล้วก็เริ่มคร่ำคร่าลงทุกวันทุกเวลา ในที่สุดก็พัง โลกคือความโกรธเต็มไปด้วยความคร่ำคร่าผุพัง น่าเบื่อหน่าย น่าเอือมระอาเป็นที่สุด ต่อมาเมื่ออาการพังทลายปรากฎทำจิตอย่าให้หวั่นไหว เพราะเราทราบแล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น ยิ้มรับความสลายตัวของทรัพย์สินด้วยอารมณ์ชื่นบาน และรับทราบมีอารมณ์ปกติเมื่อความตายมาถึงตน มีความชื่นบานด้วยความคิดว่าดีแล้ว โลกที่ศิวิไลซ์ด้วยความปลิ้นปล้อนตลบตะแลง เราสิ้นชาติสิ้นภพกันที การสิ้นลมปราณคราวนี้เป็นการสิ้นทุกอย่าง เราจะไม่มีทุกข์อีก เพราะเราไม่ปรารถนาความเกิดอีก ขึ้นชื่อว่าชาติภพความเกิด จะเกิดในแดนใดเราไม่ต้องการ มีสถานเดียวคือพระนิพพานเท่านั้น เป็นสถานที่เราปรารถนา ทำอารมณ์พอใจในพระนิพพานให้เป็นปกติ สร้างความรู้สึกตามกฎธรรมดา รู้เกิด รู้เสื่อม รู้สลายของของทุกชนิด จนมีอารมณ์ปกติ ไม่หวั่นไหวในเมื่อมรณภัยมาถึง สมบัติ ญาติ บุตร สามี ภรรยา ในที่สุดแม้แต่ตัวเรา อารมณ์เป็นปกติอย่างนี้ตลอดวัน ไม่ดีใจในเมื่อมีลาภ ได้ยศ รับคำสรรเสริญ มีความสุข ไม่หวั่นไหวในเมื่อสิ้นลาภสิ้นยศ ถูกนินทา มีความทุกข์ เท่านี้น่าภูมิใจได้แล้ว ท่านสิ้นภาระในทุกขภัยแล้ว ต่อไปท่านมีพระนิพพานเป็นที่ไปแน่นอน นักวิปัสสนาญาณเจริญอย่างนี้โดยที่เห็นรูปกระทบตลอดวัน ท่านจึงจะนับว่าเป็นนักวิปัสสนาญาณแท้ และเข้าวิปัสสนาจริง ถ้ายังรอวัน รอเวลาหาที่สงัดอยู่แล้ว ยังหรอกท่าน ยังไกลคำว่า วิปัสสนามากนัก ขอยุติวิปัสสนาตามธรรมชาติโดยย่อไว้เพียงเท่านี้
จากหนังสือคู่มือปฎิบัติพระกรรมฐาน
...โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อุทัยธานี...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น