ขรัวโต พระผู้เป็นอัจฉริยะและทรงคุณธรรม
มนุษย์
ธรรมชาติสร้างพืชพันธ์ให้พอกินสำหรับมนุษย์ที่เกิดมา
มนุษย์จะไม่อดอยาก ถ้ามนุษย์บางเหล่าไม่เก็บ ไม่สะสม
ไม่ยึดเกินควร คือถ้ามนุษย์ทุกคนเข้าซึ้งถึงสัจจะแห่ง
ความจริงว่า " เกิดมาไม่มีอะไร ตายไปเอาอะไรไปไม่ได้
และตายไปแล้วไม่สูญ "
ธรรมชาติสร้างพืชพันธ์ให้พอกินสำหรับมนุษย์ที่เกิดมา
มนุษย์จะไม่อดอยาก ถ้ามนุษย์บางเหล่าไม่เก็บ ไม่สะสม
ไม่ยึดเกินควร คือถ้ามนุษย์ทุกคนเข้าซึ้งถึงสัจจะแห่ง
ความจริงว่า " เกิดมาไม่มีอะไร ตายไปเอาอะไรไปไม่ได้
และตายไปแล้วไม่สูญ "
อาตมาคิดว่า ถ้าเราใช้ธรรมของธรรมะ หรือหลักความจริงนี้
ตีแผ่เข้าไปในหมู่ชนชั้นที่มีตัวโลภะครอบงำมากได้แล้วไซร้
โลกมนุษย์นี้ก็คงจะน่าอยู่กว่าปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้โลกมนุษย์
ยุ่งเหยิง ศีลธรรมประจำใจมนุษย์เสื่อม เพราะว่ามนุษย์
พยายามจับความผิดคนอื่น เพราะว่ามนุษย์ไม่พิจารณาตัวเอง
ไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง
ตีแผ่เข้าไปในหมู่ชนชั้นที่มีตัวโลภะครอบงำมากได้แล้วไซร้
โลกมนุษย์นี้ก็คงจะน่าอยู่กว่าปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้โลกมนุษย์
ยุ่งเหยิง ศีลธรรมประจำใจมนุษย์เสื่อม เพราะว่ามนุษย์
พยายามจับความผิดคนอื่น เพราะว่ามนุษย์ไม่พิจารณาตัวเอง
ไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง
มนุษย์ทุกวันนี้ถูกวัตถุครอบงำ มนุษย์ทุกวันนี้ไม่สนใจกับตน
จึงทำให้โลกทุกวันนี้ปั่นป่วน ความสงบในโลกมนุษย์ไม่มี
ความร้อนยิ่งทวีคูณขึ้น เพราะฉะนั้นอาตมาจึงฝากเอาไว้ว่า
จะทำอย่างไรจึงจะช่วยเหล่ามนุษย์ทั้งหลายให้เดินถูกทางเล่า อันนี้ฝากให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายไปพิจารณากัน
จึงทำให้โลกทุกวันนี้ปั่นป่วน ความสงบในโลกมนุษย์ไม่มี
ความร้อนยิ่งทวีคูณขึ้น เพราะฉะนั้นอาตมาจึงฝากเอาไว้ว่า
จะทำอย่างไรจึงจะช่วยเหล่ามนุษย์ทั้งหลายให้เดินถูกทางเล่า อันนี้ฝากให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายไปพิจารณากัน
ไม่มีอะไร
มาไม่มีอะไร ไปไม่มีอะไร มีอยู่ก็แต่จิตใจและวิญญาณ
ท่านทำดีก็เสวยกรรมดี ทำไม่ดีก็ตกนรกไป ท่านอย่านึกว่า
ท่านตายแล้วสูญเปล่า ท่านทั้งหลายจะพบกันใน
โลกวิญญาณอีก หนี้สินที่ท่านสร้างขึ้นในโลกมนุษย์
ก็จะชดใช้กันในโลกวิญญาณ ใช้ไม่หมดก็ต้องไปเกิด
ไม่อย่างนั้นจะไม่เรียกว่า เวียนว่ายตายเกิด โลกนี้กลม
ไม่สิ้นภพ สิ้นชาติ โปรดพิจารณาตัวท่านเมื่อไม่มีสิ่งใด
ปกปิดเถิด
มาไม่มีอะไร ไปไม่มีอะไร มีอยู่ก็แต่จิตใจและวิญญาณ
ท่านทำดีก็เสวยกรรมดี ทำไม่ดีก็ตกนรกไป ท่านอย่านึกว่า
ท่านตายแล้วสูญเปล่า ท่านทั้งหลายจะพบกันใน
โลกวิญญาณอีก หนี้สินที่ท่านสร้างขึ้นในโลกมนุษย์
ก็จะชดใช้กันในโลกวิญญาณ ใช้ไม่หมดก็ต้องไปเกิด
ไม่อย่างนั้นจะไม่เรียกว่า เวียนว่ายตายเกิด โลกนี้กลม
ไม่สิ้นภพ สิ้นชาติ โปรดพิจารณาตัวท่านเมื่อไม่มีสิ่งใด
ปกปิดเถิด
การเกิดเป็นมนุษย์
การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ส่วนมากที่มาจากสัตว์เดรัจฉาน
แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยการบำเพ็ญกุศล อารมณ์ของจิต
ระหว่างภพชาติที่เป็นสัตว์นั้นๆ เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์
ในชาติแรกที่เริ่มเป็นมนุษย์นั้น มนุษย์เหล่านี้เป็นมนุษย์
ที่ล้วนแต่ติดอยู่ในกามฉันทะ
การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ส่วนมากที่มาจากสัตว์เดรัจฉาน
แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยการบำเพ็ญกุศล อารมณ์ของจิต
ระหว่างภพชาติที่เป็นสัตว์นั้นๆ เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์
ในชาติแรกที่เริ่มเป็นมนุษย์นั้น มนุษย์เหล่านี้เป็นมนุษย์
ที่ล้วนแต่ติดอยู่ในกามฉันทะ
การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเพราะอนุสัยที่นอนเนื่องอยู่ เมื่อมา
เกิดในโลกมนุษย์ก็แบ่งออกเป็น 3 จำพวก คือ
เกิดในโลกมนุษย์ก็แบ่งออกเป็น 3 จำพวก คือ
มนุษย์ประเภทที่หนึ่ง เกิดมาแล้วเอาแต่เสพกามและข้อง
อยู่ในกาม มนุษย์ประเภทนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงของ
กุศลและของจิตจากพวกสัตว์เดรัจฉานที่พ้นขั้นมาสู่การ
เป็นมนุษย์
อยู่ในกาม มนุษย์ประเภทนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงของ
กุศลและของจิตจากพวกสัตว์เดรัจฉานที่พ้นขั้นมาสู่การ
เป็นมนุษย์
มนุษย์ประเภทที่สอง เกิดมาจากมนุษย์ที่บำเพ็ญ ทำบุญ
สุนทาน ทำสมาธิ และมาจากเทพพรหมที่หมดอายุขัย
แห่งการเสวยทิพยอำนาจ มนุษย์ประเภทนี้ชอบเสพกาม
แล้วก็สร้างเกียรติเพื่อประดับบารมี
สุนทาน ทำสมาธิ และมาจากเทพพรหมที่หมดอายุขัย
แห่งการเสวยทิพยอำนาจ มนุษย์ประเภทนี้ชอบเสพกาม
แล้วก็สร้างเกียรติเพื่อประดับบารมี
มนุษย์ประเภทที่สาม คือมนุษย์ประเภทเหนือกามเหนือ
เกียรติ มาจากการเป็นเทพ การเป็นพรหม การเป็นมนุษย์
ที่เคยครองอยู่ในเพศนักพรตมาบ้าง บำเพ็ญมาเป็นชาติๆ
บ้าง มนุษย์ประเภทนี้มาจากพวกที่เปลี่ยนแปลงจากมนุษย์
ทั่วไปสองประเภทแรก มาสู่การเหนือเกียรติ เหนือกาม
ก็คือมนุษย์ประเภทนักพรต
เกียรติ มาจากการเป็นเทพ การเป็นพรหม การเป็นมนุษย์
ที่เคยครองอยู่ในเพศนักพรตมาบ้าง บำเพ็ญมาเป็นชาติๆ
บ้าง มนุษย์ประเภทนี้มาจากพวกที่เปลี่ยนแปลงจากมนุษย์
ทั่วไปสองประเภทแรก มาสู่การเหนือเกียรติ เหนือกาม
ก็คือมนุษย์ประเภทนักพรต
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า อนุสัยเปลี่ยนแปลงตามกฎอนิจจัง
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ซึ้งตามทันธรรมะแห่งธรรมชาติ
ของอนัตตา เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า อนุสัยนั้นรับกันเป็น
ชาติๆ แล้วเปลี่ยนแปลงยกฐานะของอนุสัยขึ้นเป็นลำดับๆ
นั้นแล
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ซึ้งตามทันธรรมะแห่งธรรมชาติ
ของอนัตตา เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า อนุสัยนั้นรับกันเป็น
ชาติๆ แล้วเปลี่ยนแปลงยกฐานะของอนุสัยขึ้นเป็นลำดับๆ
นั้นแล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น