เมื่อเปรตกลายเป็นเทพธิดา (เปรตนางมัตตา)
ในเมืองสาวัตถีมีกฎุมพีคนหนึ่งเป็นผู้มีศรัทธา แต่ไปได้ภรรยาที่ไม่มีศรัทธา ทั้งมีนิสัยขี้โกรธชื่อว่านางมัตตา แต่นางมัตตาไม่มีบุตรสืบตระกูล สามีจึงไปหาภรรยามาอีกคนหนึ่งชื่อนางติสสา เพราะต้องการบุตรสืบตระกูล นางติสสานั้นเป็นคนมีศรัทธาจึงเป็นที่รักใคร่ของสามีเป็นอันมาก ต่อมานางติสสาก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่าภูตกุมาร นางติสสาจึงได้เป็นใหญ่ในเรือน นางได้ถวายการอุปถัมภ์บำรุงแก่พระภิกษุ๔รูปด้วยความเคารพเลื่อมใสศรัทธาตลอดมา ส่วนนางมัตตานั้นด้วยความริษยาก็กลั่นแกล้งนางติสสาด้วยประการต่างๆ เมื่อตายลงไปเกิดเป็นเปรตได้รับทุกขเวทนามาก
วันหนึ่งได้มาแสดงตนให้ปรากฏแก่นางติสสา นางติสสาก็ถามว่า “ท่านเป็นผู้ซูบผอมมีแต่ซี่โครง เปลือยกายมีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอมมีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านเป็นใครจึงมายืนอยู่ที่นี่”
นางเปรตก็ตอบว่า “ เมื่อก่อนนี้ฉันชื่อมัตตาเป็นหญิงร่วมสามีกับท่าน ได้ทำกรรมอันลามกไว้จึงเกิดเป็นเปรต”
นางติสสาก็ถามว่า “ท่านได้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ด้วยผลแห่งกรรมอะไรท่านจึงไปเกิดเป็นเปรต”
นางเปรตตอบว่า “ฉันเป็นหญิงดุร้าย หยาบคาย มักหึงหวง มีความตระหนี่ เป็นคนโอ้อวด ได้กล่าวคำหยาบคายต่อท่าน ฉันจึงจากโลกนี้ไปสู่เปรตโลก”
นางติสสากล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นความจริง ฉันเองก็รู้ว่าท่านเป็นอย่างนั้น แต่อยากจะถามท่านว่าร่างกายท่านเปื้อนฝุ่นเพราะกรรมอะไร”
นางเปรตตอบว่า “ครั้งหนึ่งท่านกับฉันอาบน้ำแล้ว นุ่งห่มผ้าสะอาด ตบแต่งร่างกายงดงาม แต่ฉันแต่งร่างกายงดงามกว่าท่าน เมื่อฉันเห็นท่านคุยกับสามีฉันก็เกิดโกรธริษยาท่าน จึงกวาดฝุ่นโปรยลงรดท่าน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ฉันจึงมีสรีระเปื้อนฝุ่น”
นางติสสากล่าวว่า “ความเป็นจริงฉันจำเรื่องนั้นได้”
นางติสสาถามว่า “ท่านเป็นหิดคันไปทั้งตัว เพราะกรรมอะไร”
นางเปรตตอบว่า “เราสองคนไปหายาในป่า ท่านหายามาได้ แต่ฉันกลับนำผลหมามุ้ยมา เมื่อท่านเผลอฉันก็ได้โปรยหมามุ้ยลงบนที่นอนของท่าน ฉันเป็นหิดคันทั้งตัวเพราะวิบากแห่งกรรมนั้น”
นางติสสาก็รับรองว่าเป็นความจริง “ ฉันรู้ว่าท่านโปรยหมามุ้ยลงบนที่นอนของฉัน แต่ว่าท่านเปลือยกายเพราะกรรมอะไร”
นางเปรตตอบว่า “วันหนึ่งมีการประชุมญาติมิตรท่านได้รับเชิญ แต่ฉันไม่มีใครเชิญ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านเผลอ ฉันจึงลักผ้าของท่านไปซ่อนเสีย ด้วยผลของกรรมนั้นฉันจึงต้องเปลือยกาย”
นางติสสาก็กล่าวว่า “ฉันรู้ว่าท่านลักผ้าของฉันไปซ่อน แต่ว่าเพราะกรรมอะไรท่านจึงมีกลิ่นกายเหม็นเหมือนคูถ”
นางเปรตก็ตอบว่า “ฉันได้ลักของหอม ดอกไม้ เครื่องลูบไล้อันมีค่ามากของท่าน ทิ้งลงในหลุมคูถด้วยกรรมนั้น ฉันจึงมีกลิ่นกายเหมือนคูถ”
นางติสสาก็กล่าวว่า “เรื่องนี้ฉันก็รู้ว่าเป็นจริง แต่ว่ากรรมอะไรท่านจึงยากจนเพียงนี้”
นางเปรตก็ตอบว่า “สมัยนั้นเราทั้งสองมีทรัพย์เท่าๆกัน เมื่อไทยธรรมมีอยู่แต่ฉันไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน ฉันจึงเป็นคนยากจน ส่วนท่านตักเตือนห้ามปราบมิให้ฉันกระทำชั่ว เพราะว่าถ้าทำชั่วแล้วไม่ได้ไปสู่สุคติ แต่ฉันก็ไม่เชื่อฟังท่าน”
นางติสสาจึงกล่าวว่า “ท่านไม่เชื่อเราขอท่านจงดูวิบากกรรมนั้นเถิด เมื่อก่อนนางทาสีและเครื่องอาภรณ์ทั้งหลายมีอยู่ในเรือนของท่านมากมาย แต่เดี๋ยวนี้นางทาสีเหล่านั้นพากันห้อมล้อมคนอื่น โภคะทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ท่าน ท่านไม่ได้ใช้โภคะนั้น ขณะนี้บิดาของบุตรของเราไปตลาดอยู่ท่านอย่าเพิ่งกลับไป บางทีเขาอาจจะให้อะไรแก่ท่านบ้าง”
นางเปรตก็ตอบว่า “อย่าให้เขาเห็นฉันซึ่งรูปร่างน่าเกลียด เปลือยกาย มีกลิ่นเหม็นอย่างนี้เลย หญิงทั้งหลายย่อมอาย ไม่อยากให้ใครทั้งหลายเห็นรูปร่างน่าเกลียดนี้”
นางติสสาก็ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง จะให้ฉันให้ทานสิ่งไรหรือทำบุญอะไรให้แก่ท่าน ท่านจึงจะได้รับความสุขสำเร็จความปรารถนาทั้งปวง”
นางเปรตตอบว่า “ขอท่านจงนิมนต์ภิกษุ๔รูป และจากบุคคล๔รูป หมายความว่าให้นิมนต์พระโดยไม่จำเพาะเจาะจง๔รูปรวมเป็น๘รูป ให้มาฉันภัตตาหาร แล้วอุทิศส่วนบุญให้ฉัน เมื่อท่านทำอย่างนั้นฉันจึงได้รับความสุข สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง”
นางติสสาก็ได้ทำตามนั้นคือนิมนต์ พระ๘รูปมาฉันภัตตาหาร ให้ครองจีวรและอุทิศส่วนกุศลไปให้นางเปรต ข้าว น้ำ เครื่องนุ่งห่มอันเป็นวิบากได้เกิดขึ้นในทันใดนั้นเอง นี่ผลแห่งทักษิณา
ในขณะนั้นเองนางเปรตมีร่างกายสะอาดบริสุทธิ์ นุ่งห่มผ้าอันมีราคามาก ประดับด้วยอาภรณ์อันวิจิตรเข้าไปหานางติสสาหญิงร่วมสามี รวมความว่านางติสสายังคงเป็นมนุษย์อยู่ แต่นางมัตตาตายไปเกิดใหม่๒ครั้งแล้ว ครั้งแรกเกิดเป็นเปรต พ้นจากภพเปรตมาเกิดเป็นเทพธิดา เพราะฉะนั้น
เมื่อนางเทพธิดามาปรากฏแก่นางติสสา นางติสสาจึงไม่รู้จัก ได้ถามว่า “ดูก่อนนางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ส่องสว่างไปทั่วทิศ สถิตย์อยู่ดุจดาวประกายพฤกษ์ ท่านมีวรรณะงามเช่นนี้ ผลอันน่าพึงในวิมานนี้ ตลอดจนโภคะทุกย่างอันเป็นที่รัก บังเกิดแก่ท่านเพราะกรรมอะไร ดูก่อนนางเทพธิดาฉันขอถามท่าน เมื่อท่านเป็นมนุษย์ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ ท่านจึงมีอานุภาพอย่างนี้”
นางเทพธิดาตอบว่า “เมื่อก่อนฉันชื่อมัตตา เป็นหญิงร่วมสามีกับท่าน ฉันทำความชั่วไว้มากจึงจากโลกนี้ไปสู่เปรตโลก ฉันอนุโมทนาทานที่ท่านให้แล้ว จึงพ้นภัยได้ทิพยสมบัติเช่นนี้
ขอท่านพร้อมด้วยญาติทุกคนจงมีอายุยืนนาน ท่านประพฤติธรรมและให้ทานในโลกนี้แล้วจักเข้าถึงฐานะอันไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี อันเป็นที่อยู่ของท้าววสวดี ท่านกำจัดมลทินคือความตระหนี่ พร้อมด้วยภพแล้วอันใครๆไม่ติเตียนได้ จักเข้าถึงโลกสวรรค์ เป็นอันจบเรื่องนางมัตตาเปรตเพียงเท่านี้
การทำชั่วแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลร้ายแรงมากอย่างนางเปรตที่เล่ามานี้ ในขณะเดียวกันการทำความดีแม้เพียงเล็กน้อยก็ได้ผลมหาศาล อย่างที่นางเปรตได้รับหลังจากอนุโมทนาทานแล้ว ก็ทำให้พ้นจากสภาพเปรต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น