10 ตุลาคม 2563

ปริศนาธรรมหลวงปู่ขาวศิษย์หลวงปู่ใหญ่ ***ตำนานแผ่นดิน***

***ปริศนาธรรมหลวงปู่ขาวศิษย์หลวงปู่ใหญ่*
    ***ตำนานแผ่นดิน***
          มีบันทึกเอาไว้ว่าหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้นมีอภินิหารมาก ไปมาไร้ร่องรอย เป็นอาจารย์ใหญ่ในสายอภิญญา ได้รับพุทธบัญชาจากพระพุทธเจ้าให้อยู่ดูแลพระศาสนาไปจนกว่าจะครบถ้วน ๕,๐๐๐ ปี ตามพระพุทธพยากรณ์ เป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่สมัยครั้งพุทธกาล และเป็นสหธรรมิกกับพระโมคคัลลานะ***
          ท่านมีฤทธิ์มาก สายในดง ศิษย์ของท่านมีทั้งพระและฆราวาส (ฤาษี ดาบส ตาปะขาว) มีความลึกลับซ่อนเร้นปิดบังอำพรางมาก มีปฏิปทาแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร บ้างก็แกล้งบ้า (แบบหลวงพ่อเชย อาจารย์ของเซียนสูที่ชลบุรี), บ้างก็ไม่สนใจความเป็นไปของโลก (แบบหลวงพ่อกบ หลวงพ่อโอภาสี ฯลฯ), บ้างออกแนวพระเกจิอาจารย์ (สมเด็จโต วัดระฆัง, หลวงปู่ศุข ปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงพ่อเงิน บางคลาน, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ, หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค, หลวงปู่หมุน ฯลฯ), บ้างก็ออกแนวพระสายวิปัสสนากรรมฐาน (หลวงปู่มั่น ฯลฯ), บ้างก็ออกแนวพระอาจารย์สำนักใหญ่ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ, หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน), บ้างก็ออกแนวพระสันโดษ (ชอบปลีกวิเวกอยู่รูปเดียว เช่น หลวงปู่แสง วัดมณีชลขัณฑ์, หลวงพ่อเกษม เขมโก, หลวงปู่พิศดู, หลวงปู่จำปา, หลวงปู่โง่น ฯลฯ)*** พระธาตุคูณคำ
          เรียกว่า ศิษย์ของท่านที่เป็นพระอภิญญาสายหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้น มีทั้งแบบในดงและนอกดง
          สายในดงคือ สายที่อยู่แต่ในป่าเขาลำเนาไพรหรืออยู่ในอีกมิติหนึ่ง เช่น อมรโคยานทวีป หรือ เขาคันธมาทน์ ในป่าหิมพานต์ ฯลฯ บางรูปก็จำพรรษาอยู่ในน้ำในสะดือทะเล (เกษียรสมุทร) เช่น หลวงพ่อพระอุปคุต เป็นต้น
          สายนอกดงคือ จะอยู่นอกป่าลึกหรืออยู่ในเมืองหรือใกล้กับตัวเมือง พอให้คนได้พบได้เจอบ้าง เพื่อทำหน้าที่สอนคน ดึงคน หรือโปรดคนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันในสายของหลวงปู่ ซึ่งต้องมีบุญบารมีพอสมควร การพบเจอหลวงปู่ใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนอกจากจะต้องมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกัน***
ว่ากันว่าเป็นภาพหลวงปู่เทพอุดร ถ่ายภาพกับหลวงพ่อจรัญ
          ในหนังสือของหลวงพ่อจรัญและในคัมภีร์อโศกาวทาน เคยมีการเขียนบันทึกเอาไว้ถึง รูปลักษณ์ของหลวงปู่ใหญ่นั้นมีรูปแบบที่สุดแท้แต่ว่าท่านจะมาในรูปลักษณ์กายใด อย่างที่หลวงพ่อจรัญบันทึกไว้คือ มีรูปลักษณะเป็นพระแก่เฒ่าชราภาพมาก หูยานเกือบถึงบ่า ผมเผ้ายาวรุงรัง ผิวหนังเหี่ยวย่นหย่อนยานมาก แต่น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยพลัง และทรงฤทธิ์อภิญญาสูงมาก พูดได้ทุกภาษาในโลก แต่หลักๆ จะพูดเป็นภาษามคธหรือภาษาบาลี สามารถเหาะเหินเดินอากาศหรือล่องหนหายตัวได้เป็นเรื่องปกติ เนรมิตร่างกายได้ทุกสภาพ***
          หลวงปู่ขาวเคยเล่าให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดรเอาไว้และทาง ท่านได้เมตตาเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ท่านได้รับจากหลวงปู่เทพโลกอุดรให้ได้รับทราบ***
          “เรายอมจริงๆ ยอมรับท่านทุกอย่าง ยอมเป็นทาสรับใช้ท่าน ยอมศิโรราบ เพราะเราเคยเห็นสิ่งต่างๆ หลายอย่างจากท่าน แต่ถ้าเราจะมายกให้เห็นเป็นหลักฐานขึ้นมาอ้างอิงเช่นคนอื่นๆ นั้นจนปัญญา เพราะไม่มีตัวตนในตอนที่ได้อยู่กับท่านด้วยกายเนื้อตลอด ๗ วัน แต่สำหรับทุกๆ วันพระท่านจะมาสอนประจำทางสมาธิจะอยู่แห่งใดทุกวันพระท่านก็จะมาสอนให้โอวาท อย่างงานที่ท่านให้บูรณะพระธาตุคูณคำในวัด มีอะไรจะปรึกษาท่านตลอด อย่างปรึกษาท่านว่า “ลูกจะสร้างสิ่งนี้จะสำเร็จไหม” หลวงปู่จะบอกให้ทราบ*
ว่ากันว่าเป็นภาพหลวงปู่เทพอุดร ถ่ายภาพกับหลวงพ่อจรัญ*
          “ลูกเอ๋ย ถ้าถามว่าการสร้างในพระพุทธศาสนานี่มันดีไหม มันดี แต่ก็อย่างมงาย ให้สร้างเพราะสละความตระหนี่ สร้างเพื่อให้เป็นพุทธบูชา ถ้าจะสร้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าการสร้างวัตถุเพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั้นมันผิดกับหลักธรรมคำสอน พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดาของเราท่านไม่ได้สอนในเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช***
          ท่านไม่ได้สอนให้ทำในเรื่องวัตถุมงคล แต่ถ้าเราทำก็ทำได้แต่ว่าเราอย่าไปยึดติดกับมัน เราทำไว้เพื่อประดับตาโลกแต่สิ่งนี้มิใช่แก่นของพระธรรม พ่อก็ไม่ห้ามแต่ก็อย่าไปหลงงมงายจนถอนตัวไม่ขึ้น วัตถุมงคลนั้นมันดีตรงกำลังใจ***
          สมมติเรามีความท้อแท้ แต่จิตเรามีความเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายมันช่วยได้นั่นแหละคือตัวศรัทธา ความเชื่อมั่นเกิดเป็นฤทธิ์กระตุ้นจิตใจให้ได้เกิดผล เมื่อผลที่เกิดขึ้นที่จิตใจเขาได้รับผลดังใจเขาจึงเกิดความเชื่อศรัทธานับถือมีฤทธิ์มีเดช ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แท้ที่จริงแล้วมันเกิดจากจิตของเขา มันไม่ได้เกิดจากวัตถุนั้น ถ้าทำด้วยความเชื่อศรัทธาจึงจะเกิดเป็นฤทธิ์เป็นผล”***
         นายภันธกานต์ กิ้มทอง เคยเขียนบทความโดยอ้างอิงว่า หลวงปู่ขาว เคยได้กราบเรียนหลวงปู่เทพโลกอุดร “แล้ววัตถุมงคลที่พ่อสร้างไว้ล่ะมีไหม”***
          ท่านบอกให้ทราบว่า
          “ตั้งแต่พ่อบวชมาในสมัยครั้งท่านหลวงพ่อมหากัสสปเถระ เป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐาน ท่านไม่เคยสอนเรื่องการสร้างวัตถุมงคล ท่านสอนเรื่องการปฏิบัติอย่างเดียว เน้นหนักมีแต่เรื่องธรรมะล้วนๆ เน้นการปฏิบัติล้วนๆ ไม่ได้สอนในเรื่องวัตถุมงคล แต่ที่เขาเล่าลือกันว่าเป็นพระกรุหลวงพ่อแตกที่นั่นที่นี่สิ่งที่เขาพูดเขาอุปโลกน์ขึ้นมาเองพ่อไม่ได้ทำขึ้น***หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า*
          แต่ที่ทำจริงๆ คือกรุวังหน้า ๘๔,๐๐๐ องค์นั้นพ่อทำไว้จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนะลูกเราจะทำอะไรก็ช่างขอให้ใจเรามีความศรัทธาเต็มร้อยเชื่อเต็มร้อย เมื่อเรามีความเชื่อศรัทธาเต็มร้อยความสำเร็จนั้นไม่ได้อยู่ที่วัตถุมงคล แต่สำเร็จที่ใจเรา เมื่อใจเราสำเร็จแล้ว ทุกอย่างมันต้องสำเร็จ
          เพาะทุกอย่างมันเกิดที่เหตุเกิดขึ้นที่ใจ ถ้าเรามีความเชื่อขอให้เราตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีธรรมที่เราได้บำเพ็ญมาทุกภพทุกชาติ บารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นพระบรมครูแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนี้ เราขอแผ่บิณฑบาตเอากับเทวดาองค์นั้นกับเทวดาองค์นี้จงไปหาข้าทาสบริวารที่เคยสร้างบารมีธรรมในพระพุทธศาสนาถ้าจะสร้างนั่นสร้างนี่ให้บอกวัตถุประสงค์เขาและขอบารมีเขาขอแผ่เมตตาบิณฑบาตให้ไปสะกิดจิตใจข้าทาสบริวารเนื้อนาบุญสาวกของพระพุทธเจ้านั่นแหละ ใครมีศรัทธาก็ขอให้มารวมบารมีธรรมอธิษฐานเอา”***
          หลวงปู่ขาว ท่านขยายความเอาไว้ว่า “ในบรรดาศิษย์ของท่านพระมหากัสสปเถระมีที่เป็นเลิศในทางปัญญา คือท่านพระโสณเถระ และท่านที่เป็นเลิศทางมีฤทธิ์เดชคือพระอุตตรเถระหรือที่ชาวไทยเรียกขานนามท่านว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านพระมหากัสสปเถระได้สั่งกำชับพระอุตตรเถระไว้ว่า ถ้าถึงคราวเกิดวิกฤติในศาสนาขององค์พระสมณโคดมขึ้นมาเมื่อใดยุคนั้นหลังพุทธองค์ปรินิพพานไป ๒,๕๐๐ ปีแล้วจิตใจของผู้คนจะเสื่อมถอยไปจากศีลธรรมมากขึ้นๆ แต่พระพุทธศาสนาของสมณโคดมนั้นยังคงความศักดิ์สิทธิ์อยู่เช่นเดิม***
          แต่ความเชื่อมั่นของมนุษย์โลกจะลดลง ความเชื่อในบาปบุญคุณโทษไม่ค่อยมี เพราะเป็นช่วงที่พญามารขึ้นมาปกครอง ฉะนั้นจะต้องหาอุบายให้ผู้คนรับรู้เพื่อเอาชนะพญามาร(กิเลสในจิตของตน)ไม่ให้มาครอบครองโลกได้อย่างน้อย ถ้าเป็นสามส่วนให้คงเหลือไว้สักหนึ่งส่วนก็ยังดี และในช่วงเวลานั้นหากจะเอาปัญญามาแก้ไขปัญหาก็คงไม่ได้ผล เพราะสังคมโลกไม่ค่อยยอมรับ ไม่ได้เอาสติปัญญามาแก้ไขปัญหา เพราะไม่เชื่อในธรรมะ***
เก็บเล็กผสมน้อยจากข้อมูลต่างๆมาก็ประมาณนี้ครับเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับผมคร่าวๆเพียงเท่านี้ก่อนครับ
Sungkom Dachaเรื่องพระ#อุตตระ#
     (หลวงปู่เทพโลกอุดร)
พระโสณะ-พระอุตตระ พระสมณทูตผู้นำพระพุทธศาสนา *****สู่ #สุวรรณภูมิ'#*****
พระโสณะ-พระอุตตระ พระสมณทูตผู้นำพระพุทธศาสนาสู่ 'สุวรรณภูมิ' ท่องไปในแดนธรรม เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู
    "องค์พระปฐมเจดีย์" วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม สันนิษฐานกันว่าได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อคราวที่พระสมณทูตได้เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนสุวรรณภูมิ*
    เนื่องจากเจดีย์องค์เดิมมีลักษณะทรงบาตรคว่ำแบบเดียวกับสถูปเจดีย์ที่สร้างขึ้นในกรุงอนุราชบุรี เกาะสิงหลทวีป ประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน ต่อมาเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงออกผนวช ได้เสด็จธุดงค์มานมัสการ หลังจากทรงลาผนวชและได้เสวยราชสมบัติแล้ว โปรดให้ก่อสร้างเจดีย์องค์ใหม่ห่อหุ้มองค์เดิมไว้ ซึ่งมีความสูงถึง ๑๒๐ เมตร และพระราชทานนามพระสถูปเจดีย์ว่า “พระปฐมเจดีย์” เพราะทรงเชื่อมั่นว่าเป็นเจดีย์องค์แรกที่สร้างขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิ*
   เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๖ พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน สมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ๙ สาย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดีย*
    ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ทั้ง ๗ ประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย
    ซึ่งสันนิษฐานว่ามีใจกลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐมของไทย เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่นพระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ แต่พม่าก็สันนิษฐานว่ามีในกลางอยู่ที่เมืองสะเทิม ภาคใต้ของพม่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สุวรรณภูมิในยุคนี้ นำโดยพระโสณะและพระอุตตระ พระเถระชาวอินเดีย เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาในแถบนี้ จนเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ ตามยุคสมัยต่อไป*
     พระโสณะและพระอุตตระได้เดินทางจากแคว้นมคธ เข้ามาประดิษฐานพระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ โดยมีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะมีศูนย์กลางอยู่บริเวณตอนกลางของไทยในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากโบราณสถานและโบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น พระปฐมเจดีย์ศิลารูปพระธรรมจักร เป็นต้น*
    พระพุทธศาสนาที่เข้ามาในสมัยนี้ เป็นนิกายเถรวาทดั้งเดิม โดยพุทธศาสนิกชนมีความศรัทธาเลื่อมใสบวชเป็นพระภิกษุจำนวนมาก และได้สร้างสถูปเจดีย์ไว้สักการบูชา เรียกว่า สถูปรูปฟองน้ำ เหมือนสถูปสาญจีในประเทศอินเดียที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างขึ้น โดยศิลปะในยุคนี้ เรียกว่า ศิลปะทวารวดี*
    พระโสณะและพระอุตตระเป็นชาวอินเดีย มีชีวิตอยู่ในช่วงพุทธศตวรรที่ ๓ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ไม่ปรากฏประวัติก่อนบวช ปรากฏแต่ว่า เมื่อท่านทั้งสองอุปสมบทแล้วเป็นผู้มีความแตกฉานในพระไตรปิฎกและเป็นกำลังสำคัญในการสังคายนาพระธรรมวินัย และยังได้รับการแต่งตั้งเป็นพระธรรมทูตในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช โดยท่านทั้งสองได้รับมอบหมายให้เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนสุวรรณภูมิ*
     เมื่อครั้งที่พระโสณะและพระอุตตระเดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนายังดินแดนสุวรรณภูมิ มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยนั้น ประชาชนกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวผีเสื้อสมุทรซึ่งมักจับทารกกินเป็นอาหาร ท่านทั้งสองได้สร้างขวัญกำลังใจ ทำให้ประชาชนหายหวาดกลัวโดยใช้อุบายธรรมนำ "พรหมชาลสูตร" ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยความเห็นผิดมาเทศนา และได้เปล่งวาจาถึงไตรสรณคมน์ รวมทั้งสมาทานศีล ๕ ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อที่ถูกต้องและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จนพากุลบุตรและกุลธิดามาบวช ทำให้พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงในดินแดนสุวรรณภูมิ และเจริญสืบเนื่องเรื่อยมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ*
     พระโสณะและพระอุตตระ แม้จะเกิดไม่ทันสมัยพุทธกาล แต่เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านทั้งสองได้ตั้งใจปฏิบัติธรรมและศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน มีความรู้ ความสามารถ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระธรรมทูตในการเผยแผ่พระพุทธศาสนายังต่างแดน แม้ว่า เดินทางจากอินเดียมายังสุวรรณภูมิซึ่งไกลและใช้เวลามาก ย่อมประสบกับความลำบากมากมาย แต่ท่านทั้งสองก็ไม่ย่อท้อ ด้วยเห็นแก่ประโยชน์ของพระพุทธศาสนา จึงอดทนต่อสู้ต่อความ
เหนื่อยยาก*
พระพุทธรูปปางทรงรับผลมะม่วง*
พระศรีวิสุทธิวงศ์ บอกว่า ความพิเศษของพระพุทธรูปรอบๆ องค์พระปฐมเจดีย์ คือ มีพระพุทธรูปครบทุกปาง ส่วนปางพระพุทธปางหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนไม่คุ้นตา เช่น ปางทรงรับผลมะม่วง เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิพระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาถือผลมะม่วง หงายหลังพระหัตถ์ไว้บนพระ
ชานุ (เข่า)*
ปางประดิษฐานรอยพระพุทธบาท เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองวางอยู่ที่พระเพลา (ตัก) บางแบบประสานพระหัตถ์วางที่พระเพลา พระบาทซ้ายทรงเหยียบหลังพระบาทขวา เป็นกิริยากดพระบาท*
พระพุทธรูปปางทรงรับผลมะม่วง สร้างตามพุทธประวัติเมื่อครั้งเศรษฐีผู้หนึ่งในเมืองราชคฤห์ นำบาตรไม้จันทร์แดงไปแขวนไว้สูง ๖๐ ศอก พร้อมประกาศว่า ถ้าพระอรหันต์มีจริง ขอให้แสดงฤทธิ์เหาะมาเอาบาตรนี้ไปเถิด หากพ้น 7 วัน แล้วไม่มีผู้ใดกระทำได้ ตนจะถือว่ามิได้มีพระอรหันต์ในโลก พระปิณโฑลภารทวาชะได้เหาะไปนำบาตรมา มหาชนทั้งหลายอยากชมปาฏิหาริย์ จึงติดตามมาจนถึงพระเวฬุวันมหาวิหาร เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบเหตุการณ์ จึงตรัสตำหนิพร้อมมีคำสั่งห้ามพระสาวกแสดง
ปาฏิหาริย์*
พวกเดียรถีย์ประกาศว่าพวกตนจะแสดงปาฏิหาริย์ แข่งกับพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงทรงประกาศว่า จะทรงแสดงพระปาฏิหาริย์ ณ คัณฑามพฤกษ์ (ต้นมะม่วง) ณ กรุงสาวัตถี พวกเดียรถีย์ จ้างพวกนักเลงโค่นต้นมะม่วงจนหมดสิ้น เว้นแต่ที่ปลูกอยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชื่อ คัณฑะ ได้ถวายผลมะม่วงสุกผลหนึ่งแด่พระพุทธองค์ พระอานนท์ได้นำมะม่วงผลนั้นทำน้ำปานะถวาย
🌼🌼🌼🌼🌼
#Cr.
Sungkom Dacha

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...