ทาง "ควอนตัม" มันคือ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำถามของมนุษย์เรามานานนับหลายพันปีแล้ว.?...
พวกเราที่เป็นมนุษย์ ดูเหมือนว่าจะมีตัวเลือกมากมาย และ ไม่น่าเชื่อว่าในแต่ละวันมี
มากกว่าหลายหมื่นครั้งในแต่ละวัน ตัวเลือกนั้นก็คือ การถามและตอบ และ พวกเราก็
ตอบมาโดยตลอด
พวกเราดำเนินชีวิตแบบนี้ ในทุกๆ วัน แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเราเผลอเข้าไปอยู่ในกล่อง หรือ กรอบความคิดแคบๆ ในกระบวนการตอบต่อคำถามเหล่านั้น พ่อว่าการตั้ง
คำถามที่ถูกต้องนั้นมันยาก และ การพบวิธีการตั้งคำถามที่ดียากกว่าการค้นพบคำตอบ
เสียอีก
ฉะนั้น เหล่านักปราชญ์โบราณ จึงใส่ใจต่อการตั้งคำถามมาก เวลาที่เกิดคำถามขึ้นไม่ใช่
จะตอบในทันที แต่พ่อขอให้ลองสังเกตุดูสักเล็กน้อย ว่าทำไมจึงเกิดคำถามนั้นขึ้นมา ตรง
นี้แหล่ะที่ตัวตนที่แท้จริงของพวกเราจะปรากฎขึ้น ช่วงที่เรากำลังตั้งคำถาม สภาพนั้น
แหละมันจะมีคำบอกใบ้ซ่อนอยู่..อย่าง เช่น..
ใครคนใดก็ได้ที่ได้เผชิญกับโลกทางควอนตัมครั้งแรกมักจะรู้สึกสับสนและงุงงง เป็นที่
สุด แต่ถ้าพวกเรารู้สึกเฉยๆ คือ รับรู้ และ รับทราบ นั่นแสดงว่า เราไม่เข้าใจทฤษฎีทาง
ควอนตัมเลย แต่ถ้าเราเริ่มมีประเด็นสงสัย นั่นก็แสดงว่า พวกเราเริ่มจะเข้าใจมันแล้ว และ
ถ้าเราพยายามจะเข้าใจมันในเรื่องทั้งหมดให้สมบูรณ์ พวกเราก็จะพบว่าไม่มีอะไรที่จะ
ต้องเข้าใจเพิ่มอีกเพราะมันเป็นเรื่อง ลึกลับ สุดพรรณาเลยนะ มันเป็นเพราะคุณสมบัติ
ทางควอนตัมที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจก็คือ แสงเป็นทั้งอนุภาคก็ได้ หรือ เป็นคลื่น
ก็ได้ ขึ้นอยู่ที่การสังเกตุการณ์ของเรา
นับเป็นเวลาดึกดำบรรพ์มากๆ แล้วที่สิ่งที่พวกเรามองไม่เห็นมันกำลังขับเคลื่อนอยู่อย่าง
เงียบๆ อยู่ในระดับพลังงาน "ควอนตัม" และ มันจะเปิดเผยให้พวกเราได้เห็นเมื่อถึงเวลาอันตวรแล้วเท่านั้น การอธิบายในรูปแบบเดิมๆ โดยใช้หลักตรรกะ และ เหตุผล จึงไม่
สามารถใช้กับมันได้
ในโลกยุคปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาด้านควอนตัม ว่ามันมีความจำเป็น ใน
ช่วงเวลาตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เพื่อให้เราสามารถเข้าใจการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสรรพสิ่ง
ได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อโลกเราในขณะนี้เข้าสู่ยุคพลังงานใหม่แล้วจำเป็นที่พวกเราจะต้องเข้า
สู่อีกระดับหนึ่งของความเข้าใจ เพื่อนำไปสู่การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ ในระดับที่ลึกซึ้งมาก
สู่มิติที่ 4 - 5 ยิ่งๆ ขึ้นด้วยตัวของตัวเอง
เมื่อมีทฤษฎีทางควอนตัม ปีัญญาทางควอนตัมก็เกิดขึ้น มันจึงจะสามารถอธิบายความ
เป็นจริงทางควอนตัมได้ว่า..
"การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไปของสรรพสิ่ง มันสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ได้มากกว่า
1 อย่าง 1+1 จึงไม่เท่ากับ 2.อีกต่อไป..นั่นหมายถึง"...
"ความจริงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ ความจริงไม่จำเป็นต้องมีเพียงหนึ่งเสมอไป
เนื่องจากพื้นฐานของชีวิตมนุษย์เราแต่ละคนมีความแตกต่างกัน"
"การเรียนรู้ความแตกต่างของกันและกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการรวมกันเป็น
หนึ่งเดียวกันในโลกยุคใหม่ ทั้งนี้โดยใช้พื้นฐานพลังงานความรักเป็นการปรับเข้าหากัน"
เหล่านี้แหละจึงเป็นที่มาทำให้เกิด "ความจริงแท้ทางสรรพสิ่ง" ขึ้นมาได้ และ จนกว่า
นักวิทยาศาสตร์ที่มีความเฉลียวฉลาดอย่างน้อยต้องระดับ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" เท่านั้น
ที่จะต้องค้นพบ "ทฤษฎีสนามรวมฯ สรรพสิ่งจักรวาล"
ปมปัญหาต่างๆ ที่เป็นความลึกลับดำมืดของจักรวาลก็จะถูก เฉลยออกมาได้ในที่สุด....
ที่มา
Teucer Rom..
แสงสว่าง มองการไกล...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น