วันสิ้นโลกฉันไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่รู้อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้ วันสิ้นโลกนี้ไม่มี มีแต่วันสิ้นกัป วันสิ้นกัปนี่โลกไม่ได้สิ้น เพราะว่ามนุษย์และสัตว์ต้นไม้มันถูกเผาตายไปหมด อันนี้มีแต่โลกไม่ได้สลาย เดี๋ยวก็กลับมีสัตว์เกิดขึ้นมาใหม่ มีต้นไม้ขึ้นมาใหม่ ของเรามีแค่นี้นะ
แต่ว่าคุณถามว่าวันสิ้นโลกนี้ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไอ้กัปนี่มันเป็นเวลาเท่านั้นเอง เป็นเวลาเท่านี้เหมือนกับเราติดเรือนจำเขาตัดสิน 20 ปี พอ 20 ปี พวกแกออกไปแล้วเรือนจำเขาไม่ได้พัง ไอ้คน 20 ปีมันไปหมดแล้วใช่ไหม จะหาว่าเรือนจำเขาพังไม่ได้
นี่โลกเขาไม่ได้พัง แต่สิ้นสัตว์ สิ้นบุคคล สิ้นวัตถุ แต่พื้นแผ่นดินยังมีอยู่ ถ้าคำว่าสิ้นโลกของคุณหมายเอาอย่างนี้ล่ะมันก็มี แต่นับวันเวลาไม่ได้ เพียงแต่ประมาณเวลา พระพุทธเจ้าเองก็ทรงประมาณเวลาเท่านั้น ไม่ได้บอกวันแน่นอนจะนับกี่ล้านปี กี่ร้อยล้าน กี่พันล้านปี อันนี้ไม่ได้เลย
ที่ว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์มา เพราะว่าคนมีจิตบาปมาก ศีล 5 ทำไม่ค่อยจะครบ เช่น ปาณาติบาต เป็นต้น อายุมันก็จะน้อยลงทุกทีจนกระทั่งอายุถึง 10 ปี เป็นอายุขัย ตอนนี้เกิด "มิคสัญญี" ไม่มีการเคารพซึ่งกันและกัน การรบราฆ่าฟันกันมาก พระอาทิตย์ท่านรำคาญเต็มที โผล่มาทีละ 2 ดวง 3 ดวง 4 ดวง ตายหมด
ทีนี้ถึง 7 ดวง น้ำในมหาสมุทรก็แห้ง ต้นไม้แห้งกรอบจัด ผลที่สุดเป็นไฟลุก ไฟไม่ได้ไหม้มาจากไหน อาศัยน้ำแห้งต้นไม้แห้งกรอบเต็มที่ ความร้อนหนักก็เกิดไฟลุกขึ้นก็ล้างกันเสียทีหนึ่ง
ความจริงเรื่องรู้เลยตายหรือรู้ก่อนเกิดนี้ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากจะพูด และไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือนะ เพราะดูแล้วมันเลยธงไม่ใช่น้อยเลย มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งคนเขียนเขียนเรื่องรู้เลยตายและรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่น รู้ว่าเมื่อสิ้นศาสนานี้แล้วไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้ถึงภควพรหม ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยไม่หายว่ามันไฟอะไร จะดันไปไหม้แม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดี
หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว 4,000 ปี จะมีไฟล้างโลก ล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้นไม่ลุกลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่า ความชั่วที่จะเป็นเหตุให้ไฟล้างนั้น เป็นผลของสัตว์ที่สร้างอกุศลกรรมมากมารวมตัวกันอยู่ "เป็นสมัยสัตว์นรกครองโลก" มีแต่ความเร่าร้อน หาความสงบสุขไม่ได้
ความจริงแล้วมันเริ่มมีความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนถึงพุทธกาล 15 ปีแล้ว จากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรมเป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม
โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มี เมื่อครบ 1,000 ปีหลังจากนั้นจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษยโลก แม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื้น ต้นหญ้าต้นไม้จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้
หลังจากโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้น ทิ้งระยะนาน 10,000 ปี โลกเริ่มเกิด สัตว์และคนที่มาเกิดในยุคนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบ "โอปปาติกะ" คือมาเกิดด้วยอำนาจกรรมคือเป็นตัวเป็นตนขึ้น
"...มนุษย์ไม่มีใครสร้าง ร่างกายของสัตว์และมนุษย์เกิดจากอณูน้อย ๆ ที่รวมตัวกันเข้า วิญญาณนั้นเป็นธาตุอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า "วิญญาณธาตุ" มีการเกิดขึ้นได้และไม่มีการสลายตัว คำว่าวิญญาณในที่นี้หมายถึง จิต เป็นธาตุพิเศษที่เกิดจากการรวมตัวของอณูพิเศษ ที่มีความรู้ความเคลื่อนไหวรวดเร็ว"
ในระยะแรกนั้น...จะยังไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องแสง มีแสงสว่างเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละบุคคล คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ ยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปีติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิดล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน
โลกจึงเต็มไปด้วยความสุขหาความทุกข์ไม่ได้ นอกจากกฎธรรมดาคือความเสื่อมของสังขาร
เรื่องการทะเลาะแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด มีผิวขาวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงชาย มีแต่คนรวย มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป
ฉะนั้น ในยุคต้น ๆ ของกัปเขาจึงมีความสุขกันมาก การรบราฆ่าฟันไม่มี ความเป็นอยู่ก็เป็นสุข ทรัพย์สมบัติก็สมบูรณ์บริบูรณ์ อายุเขาจึงยืนนาน ต้นกัปคนมีอายุถึง 8 หมื่นปี เพราะเขาไม่มีโทษปาณาติบาต ต้นกัปจริง ๆ เขาไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีผู้ปกครองโลกปกครองประเทศ ก็อยู่กันด้วยความสุข
แล้วต่อมาพวกที่มีบุญน้อยลดตัวลงมา หมายถึงพวกเทวดา พวกเทวดาหรือพรหมนี่ เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีเดิม กรรมที่เป็นอกุศลเริ่มให้ผล อายุมันก็ลดลงบ้าง 100 ปี ลง 1 ปี ต่อมาในยุคนี้สัตว์ในอบายภูมิขึ้นมาเกิดมาก โลกจึงมีแต่ความเร่าร้อน
คนที่พยายามคอยเกิดบนโลกนี้มีมากต่อมาก พระพุทธเจ้ามาอีกแสนองค์ก็ยังไม่ร่อยหรอเลย ไอ้ที่เห็นว่าคนน้อยก็เพราะว่าเขาไปเสวยทุกข์ในนรกกันมาก ยิ่งต้นกัปคนยิ่งน้อย เพราะต้นกัปพวกที่มีบาปขึ้นมาไม่ได้เลย ลงมาแต่พวกพรหม หลังจากนั้นมาอีกหน่อยก็มาแต่พวกเทวดา
พระราชพรหมยาน,นิตยสารธัมมวิโมกข์ (2544),242,9-14
Facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น