08 ตุลาคม 2563

สังโยชน์ ๑๐ ประการ

 
เนื่องจากการตัด “สังโยชน์ ๑๐” เป็นสิ่งสำคัญมาก ในการก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะ ถ้าเราไม่สามารถตัดกิเลสที่เป็นเครื่องร้อยรัดใจของเราได้แล้ว ความสำเร็จที่จะบรรลุธรรม หรือจะก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะในขั้นใด ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย

จึงเห็นความจำเป็นที่จะขออธิบายเรื่องนี้ซ้ำให้ละเอียด เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติ ในการตัดกิเลสที่เป็นตัวสำคัญ ที่จะขัดขวาง หรือเป็นอุปสรรคในการก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะในลำดับต่าง ๆ ดังนี้

*** สังโยชน์ ๑๐ ประการ ***

นักเจริญวิปัสสนาญาณ จะรู้ตัวว่าได้อะไรหรือไม่ ท่านให้พิจารณาสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการ คือ...

๑. สักกายทิฏฐิ  
ความเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

หมายความว่า เราไม่พอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสใด ๆ ทั้งหมด เราไม่หลงใหลใฝ่ฝันอยู่ในขันธ์ ๕ คิดว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสมบัติของกิเลส และตัณหา เป็นแดนของความทุกข์ และสิ่งนี้มันจะพลัดพรากจากเราก็คือจิต มันจะแตกจะทำลาย มันจะป่วยไข้ไม่สบาย จะถูกอารมณ์ร้ายต่าง ๆ ของโลกเข้ามายั่วยวน เราก็ไม่หวั่นไหว คิดว่าเมื่อถึงกาลถึงสมัย #มันก็ต้องพัง ห้ามปรามมันไม่ได้ กฎธรรมดาเป็นอย่างนั้น

๒. วิจิกิจฉา 
ความสงสัยในพระนิพพานไม่มี คิดว่าพระนิพพานมีจริง ผลของการปฏิบัติที่เราปฏิบัติอยู่นี่ ถ้าปฏิบัติจริง ๆ ต้องถึงพระนิพพานแน่นอน มีจิตตั้งมั่นอยู่อย่างนี้

๓. สีลัพพตปรามาส 
การรักษาศีลให้เคร่งครัด ไม่ทำศีลให้ด่าง ให้พร้อย ให้ขาด ให้ทะลุ รักศีลยิ่งกว่ารักชีวิต

อาการ ๓ อย่าง คือ สังโยชน์ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นผลที่พึงได้จากอารมณ์วิปัสสนาญาณ เมื่อได้แล้วจะมีอาการอย่างใดก็ตามเข้ามายั่วยวน ทำให้เราหลงใหลใน รูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส เสียดายในชีวิต เสียดายในร่างกาย 

คิดว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา ก็ไม่เกิด ใครจะมาทำให้จิตของเราให้คลายจากพระนิพพาน โดยพรรณนาว่า พระนิพพานไม่มีอะไรดี ไม่มีของน่าอยู่ น่าชม เราก็ไม่เชื่อ เมื่อจิตใจใฝ่ฝันตั้งมั่นอยู่แล้ว ถึงแล้วว่าเราต้องการพระนิพพาน มีความมั่นคงอยู่อย่างนั้น

"สีลัพพตปรามาส" ใครจะมายั่วเย้าให้เราทำลายศีลแม้แต่หน่อยหนึ่งเราก็ไม่ทำ

อย่างนี้เชื่อว่าท่านเป็น #พระโสดาบันแน่ ก็หมายถึงว่า จิตที่ละได้อย่างนี้แล้วไม่กลับคืนมาอีก ไม่มีความเสียดายในชีวิต ไม่มีความเสียดายในทรัพย์สมบัติที่สูญสลายไป ไม่สงสัยในคุณพระรัตนตรัย คิดว่าพระนิพพานมีจริง ถ้าปฏิบัติแล้วต้องได้จริง ได้ถึงจริง รักษา ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เป็น "สมุจเฉทปหาน" คือไม่สร้าง ไม่ทำลายศีลให้ด่าง ให้พร้อย ให้ขาด ให้ทะลุ อาการ ๓ อย่างนี้เป็นผลของพระโสดาบัน และพระสกิทาคามี

๔. กามฉันทะ 
ทำจิตให้เหือดแห้งในความพอใจในกามารมณ์ ความยินดีในเพศไม่ปรากฏ

๕. ปฏิฆะ 
พยาบาทความผูกโกรธ ขังโกรธไว้ในใจไม่มี ใครมาทำให้โกรธ โกรธนิดหนึ่งแล้วก็ทิ้งสลายตัวไป ไม่มีความพยาบาท แล้วต่อไปก็ทำลายความโกรธให้สิ้นไป 

ในเมื่อจะมีบุคคลหมู่ใด จะมายั่วมาเย้าให้เรามีความโกรธ เราก็ไม่โกรธ หรือมายั่วเย้าให้เราเกิดกามราคะ มีความปรารถนา ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส และ สัมผัส อารมณ์อย่างนั้นก็ไม่เกิด อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นผลของวิปัสสนาญาณจริง เป็นองค์ของพระอนาคามี เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงในขั้นต่อไป

๖. รูปราคะ 
หมายความว่า เรามีฌานจริง แต่เราไม่หลงว่าฌานนี้เป็นตัววิเศษเกินไปกว่าตัววิปัสสนาญาณ รู้อยู่เสมอว่าฌานเป็นบันไดที่จะเป็นกำลังของจิตใจ ให้เข้าไปใช้อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ เข้าประหัตประหารกิเลส ที่เรียกกันว่า “รูปฌาน”

๗. อรูปราคะ 
เราเห็นว่าอรูปฌานเป็นของดี แต่ว่ายังไม่ดีวิเศษ เพราะอรูปฌานนี้ยังเป็นผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ยังเป็นโลกียฌาน แต่ว่าเป็นกำลัง เป็นบันไดขั้นหนึ่ง หรือเป็นกำลังที่เข้ามาค้ำจุนจิตใจ ให้เข้าไปเจริญวิปัสสนาญาณ ได้รับผลดี

๘. มานะ 
ความถือตัวถือตน ถือว่าเราเลวกว่าเขา ถือว่าเราเสมอเขา ถือว่าเราดีกว่าเขา อย่างนี้เราตัดเสียได้ คือไม่คิดอย่างนั้น คิดว่าคนในโลกนี้ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว เกิดมาแล้ว ก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตายเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรที่จะต้องเข้าไปถือยศถือศักดิ์ ถือชาติวาสนาและตระกูลใด ๆ ทั้งสิ้น

๙. อุทธัจจะ 
ความฟุ้งซ่านรำคาญในจิตใจไม่มี ตัดเสียได้แล้ว มีอารมณ์เป็นอันเดียวคือ "เอกัคคตารมณ์" มีจิตใจชุ่มชื่น รู้ได้ตามสภาวะของความเป็นจริง

๑๐. อวิชชา 
คือความพอใจในทรัพย์สมบัติของโลก คือในร่างกายของเรา หรือในรูปของคนอื่นไม่มี ความกำหนดยินดีในทรัพย์สินของโลก ที่มีชีวิต และ ไม่มีชีวิต แม้แต่ตัวเองก็ไม่มี อย่างนี้เรียกว่าตัด "อุปาทานขันธ์" เสียได้ ตัดตัว "อวิชชา" ความโง่เสียได้

ธรรมโอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...