การปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า อย่าเปะปะไปนะ มันไม่มีผลหรอก
จะต้องทำตนให้เข้าถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ อภิญญาสมาบัติ หรือ สองในวิชชาสามที่ทำมา เป็นเครื่องยืนยันว่า สวรรค์มีจริง พรหมโลก มีจริงนิพพานมีจริง นรก เปรต อสุรกายมีจริง
สามารถระลึกชาติถอยหลัง ชาตืของตนเองได้ว่า
เราเคยเกิดมาแล้วกี่ครั้ง ให้มันเบื่อ อารมณ์เบื่อคือ "นิพพิทาญาณ" จะได้เกิด
...เมื่อนิพพิทาญาณเกิดแล้ว เราก็ไม่อยากเกิดอีกต่อไป เราจะทำอย่างไร
อันดับแรกต้องไปดูสังโยชน์ ๓ เพื่อความเป็นพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามีก่อน อันนี้ต้องทำให้ได้
... ความจริงการเป็นพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี ถ้าจิตของเราได้ทิพพจักขุญาณเสียแล้ว หรือได้มโนมยิทธิเสียแล้ว มันควรจะเป็นของง่ายที่สุด
เพราะสิ่งที่ปฏิบัติมานี่มันยาก ถ้าหากว่าท่านทำกันไม่ได้จริงๆ ก็หมายความว่า ท่านยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิอยู่
เพราะกำลังใจด้านความเลวมีมากกว่าความดี
...สำหรับพระโสดาบัน กลับพระสกิทาคามี ตัดสังโยชน์ได้ ๓ ข้อคือ
๑.สักกายทิฏฐิ
๒.วิจิกิจฉา
๓.สีลัพพตปรามาส
ทั้ง ๒ ขั้นนี้ตัดได้ ๓ ข้อเหมือนกัน แต่จิตละเอียดกว่ากัน
สำหรับ "สักกายทิฐิ" ในหนังสือของเราที่เรียนกันรู้สึกเข้มแข็งมากไปหน่อย
ถ้าตัดสักกายทิฏฐิได้หมด ก็เป็นพระอรหันต์ไม่ใช่พระโสดาบัน
เราต้องดูพระบาลีส่วนหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
พระโสดาบัน กับพระสกิทาคามีเป็นผู้มีสมาธิเล็กน้อยและมีปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีล ๕ บริสุทธิ์
สำหรับฆราวาส พระเณรต้องมีศีลของตนบริสุทธิ์
...เมื่อเป็นผู้มีสมาธิเล็กน้อย สมาธิเล็กน้อยของพระโสดาบัน กับพระสกิทาคามี แค่ปฐมฌานก็พอ กำลังใจแค่ปฐมฌาน (ฌาน๑) นี่พอ
...สำหรับปัญญาเล็กน้อย นี่คือมีความเห็นว่าร่างกายมันต้องตาย มันไม่ทรงตัวอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย เมื่อเกิดแล้วก็แก่
แล้วก็เจ็บแล้วก็ตายเหมือนกันทุกคน ไม่ทรงตัวอยู่ เป็นอันว่าร่างกายอาศัยอะไร มันจริงๆไม่ได้ มันทรุดโทรมลงไปทุกวัน
เราไม่ยึดมันเป็นที่หมาย ไม่ยึดมันเป็นที่พึ่งตลอดกาลตลอดสมัย เรารู้สึกตัวว่าจะตาย
... เมื่อรู้สึกตัวว่าจะตายแล้ว จิตก็ยึดพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ คือมีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์
ไม่สงสัยในความดีของท่าน ตัด "วิจิกิจฉา" ความสงสัย
... สีลัพพตปรามาส ฆราวาสก็ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
...แล้วต่อท้ายอีกนิดนึงคือมี "อุปสมานุสสติ" คือจิตต้องการจุดเดียวคือนิพพาน
เพราะว่าเราปฏิบัติมโนมยิทธิได้เห็นแล้ว ว่าการเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมนั้นไม่เที่ยงแท้แน่นอน
เราก็เคยเป็นมาแล้ว มันไม่อยู่นาน เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีก็ลงมาอีก ไม่เป็นเรื่อง เราก็ไม่ต้องการความเป็นมนุษย์....
แล้วใช้ "บุพเพนิวาสานุสติญาณ"
นึกดูว่าเราเกิดเป็นมนุษย์มานับชาติไม่ถ้วน เกิดเป็นสัตว์มากกว่านั้น
เกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่น้อย มันก็ไม่ทรงตัว มันก็เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่เสมอ
จิตเราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน...
...ขอพูดกันง่ายๆ ว่า พระโสดาบันมีความรู้สึกตัวว่าสักวันหนึ่งมันตายแน่
เมื่อรู้ว่าจะตายก็ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่งแน่นอน
ไม่สงสัยในความดีของท่าน เคารพท่านจริง และมีศีลบริสุทธิ์คือศีล ๕
แล้วจิตมุ่งเฉพาะจุดเดียวคือนิพพาน ทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน
... โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระโสดาบัน สำคัญที่ศีล ๕ สำหรับฆราวาส
ถ้าสามารถทรงศีล ๕ ได้ ถือว่าเป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์แน่ และจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์
อย่างนี้ถ้าทุกคนทำได้ก็เป็นพระโสดาบัน
ขึ้นชื่อว่าบาปกรรมทั้งหมดที่ทำมาแล้ว ในอดีตถึงปัจจุบัน ก่อนหน้าจะได้พระโสดาบัน ไม่มีโอกาสให้ผล
....ถ้าตายจากความเป็นคน อย่างเลวก็ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม แล้วก็บำเพ็ญบารมีเรื่อยๆไป ก็พอมีหวังได้ คือเดินขึ้นไปหานิพพานเรื่อยไป ไม่กลับลงมาแล้ว
ถ้าจะกลับลงมาก็กลับแค่มนุษย์ ก็สร้างความดีต่อ แล้วต่อไปก็ไปนิพพาน
... ความจริงความเป็นพระโสดาบันเป็นของไม่ยาก แต่ว่าต้องฝึกจิตเบื้องต้นเสียก่อน
ถ้าการฝึกจิตเบื้องต้นไม่มี ถ้าจิตยังไปวุ่นวายกับกำลังความดี หรือความชั่วของคนอื่น เราก็ชั่วตลอดไป
ถ้าเราไม่ชั่ว เราก็ไม่เห็นคนอื่นชั่ว
ถ้าเราชั่วมาก เราเห็นคนอื่นชั่วมาก
ถ้าเราชั่วน้อย เราเห็นคนอื่นชั่วน้อย
ถ้าเราไม่ชั่วเลย ก็เป็นพระอรหันต์ เห็นคนอื่นไม่ชั่ว
เพราะว่าพระพุทธเจ้าเอง ไม่เคยตำหนิใคร ว่าเป็นคนชั่ว
เพราะทุกคนเกิดมาตามกำลังกฎของกรรม
...แล้ว "มานะ" การถือตัว ถ้าเราไม่ชั่วมันก็ไม่มี ตัวมานะเป็นกิเลสที่เลวที่สุด หยาบที่สุดร้ายแรงที่สุด ถ้าเราเลวมากเท่าไหร่เราก็ถือตัวถือตน มากเท่านั้น ถ้าเราเลวน้อย เราก็ถือตัวถือตนน้อยลงไป ถ้าเราไม่เลวเลยเราไม่ถือตัวถือตนเลย
... การโอ้อวดก็เหมือนกัน ถ้าเราเลวมากเราก็อวดมาก ถ้าเราเลวน้อย เราก็อวดน้อย ถ้าเราไม่เลว เราไม่อวดเลย ก็รวมความว่า นั่นเป็นกริยาเบื้องต้น แค่สะเก็ดของความดีที่ต้องตัดกันเสียก่อน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือธรรมะเพื่อพระนิพพาน หน้า ๒๐-๒๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น