นั้นสิ่งทั้งหลายก็เป็นสิ่งที่ว่าเป็นสิ่งสมมุติให้เรานั้นข้ามสิ่งสมมุติ ถ้าสิ่งนั้นมันมีบารมีจริงมันก็ทำให้เราเข้าถึงความสงบ มีกำลังใจมีบารมีได้ เพื่อจะเชื่อมต่อกับสิ่งที่ครูบาอาจารย์เค้าบอก เมื่อเราศรัทธาในครูบาอาจารย์ว่าสิ่งนั้นมันสามารถเชื่อมต่อเข้าถึงได้ แสดงว่าสิ่งนั้นก็เป็นยานพาหนะอย่างหนึ่ง
ก็เหมือนสมาธิเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อให้จิตเราเข้าถึงความสงบ เมื่อเราถึงแล้วสิ่งนั้นเราต้องใช้อีกหรือไม่ ก็จะใช้ต่อเมื่อเรานั้นจิตมันเริ่มฟุ้งซ่าน..ต้องอาศัยภาวนา เช่นว่าภาวนาพุทโธเพื่อให้เกิดกำลังสมาธิ นั้นถ้าเราไม่มีองค์ภาวนาจะเข้าถึงสมาธิก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีสมาธิจะเข้าถึงจิตที่ตั้งมั่นก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีศีลที่จะทำให้เกิดขึ้น..ให้เกิดสมาธิมันก็ยาก
นั้นคนที่ภาวนาไม่ขึ้นเป็นเพราะอะไร คำว่าภาวนาไม่ขึ้นคือเรียกบุคคลผู้นั้นศีลนั้นบกพร่องอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถเจริญภาวนาหรือทำสมาธิได้เลย ก็เหตุเพราะว่าเรานั้นไปเบียดเบียนหรือล่วงเกินปรามาสในศีล คือศีลมันชำรุด จนไม่สามารถทรงอารมณ์ให้จิตมันสงบได้แม้ช่วงขณะจิตเดียวเลย ก็จะมีขันธมารหรือเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงก็ดีมาล่วงเกิน มาเบียดเบียน มาขัดขวางอยู่ตลอดเวลา มันจึงจำเป็นต้องให้มีการภาวนาและเจริญทาน คือการสละ คือการให้ คือการขอขมากรรม ขออโหสิกรรมอย่างนี้..
ดังนั้นเรานั้นไม่สามารถทำให้ศีลเกิดได้ตลอดเวลา แต่เราสามารถทำให้มันเกิดได้ คือให้มันมีได้ นั่นคือให้มีสติให้รู้ว่าการที่จะมีศีลได้ต้องทำอย่างไร คือเราต้องมีความสำรวมกายวาจาใจ อะไรที่ว่าคำว่าสำรวม..ก็คือการระวัง อะไรที่จะทำให้เรามีความระวัง..ก็คือต้องมีตัวสติ ไม่เผอเรอ แล้วอะไรเรียกว่าตัวสติ การที่เราภาวนาอยู่นี้ต้องมีสติมั้ยจ๊ะ ต้องมีสติกำกับหรือไม่ (ลูกศิษย์ : มีครับ) นั้นเค้าว่าองค์ภาวนานี้แลดีที่สุด แม้พระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ต้องภาวนา
จะภาวนาดูลมอานาปานสติก็ดี อย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ให้จิตเรามีสติ ดึงรู้อยู่ เรียกว่าเป็นเครื่องรู้ ไอ้ตัวรู้คือตัวสติตัวระลึกได้ เมื่อเราระลึกได้ว่าเราทำอะไรอยู่ในขณะนั้น..สิ่งนั้นเรียกว่าตัวสติ ว่าสิ่งนั้นที่เราทำว่ามันดีหรือไม่ดี เป็นคุณหรือเป็นบาป ให้โทษหรือผลอย่างไร..
ดังนั้นแล้วผู้ที่เจริญสมาธิภาวนาก็ดี ต้องมีตัวสติเป็นตัวนำ แต่บางคนที่จะเข้าถึงตัวสติ เข้าถึงศีล เข้าถึงสมาธิ เข้าถึงองค์ภาวนาได้ บุคคลผู้นั้นทั้งหลายจะสร้างบารมีแม้จะเล็กจะใหญ่..ก็ต้องมีความศรัทธา หากไม่มีศรัทธาแม้ตัวเดียวย่อมทำอะไรให้เกิดขึ้นมาไม่ได้เป็นรูปธรรม แม้นามธรรมก็เข้าถึงไม่ได้ คือยังไม่เข้าถึงจิตตัวเอง คนที่ยังไม่รู้จิตตัวเองจะไปรู้อย่างนู้นอย่างนี้ไม่ได้
ดังนั้นการฝึกจิตนี้แลจึงนำประโยชน์มาให้อย่างมหาศาล เมื่อเรารู้จิตตัวเองแล้วเราย่อมรู้จิตของผู้อื่น เมื่อรู้เท่าทันสภาวะจิตของตัวเอง ย่อมรู้สภาวะจิตของคนอื่นเช่นเดียวกัน จิตของตัวเราเป็นอย่างไร จิตของเรามีอะไรหล่อเลี้ยงถามมันดู คือมีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง นี่แลที่จิตเรานั้นมันทุกข์ร้อนอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะ ๓ ตัวนี้ ที่มันคอยแห่คอยหามเราอยู่ตลอดเวลา และนำพาให้เราไปเกิดดีบ้างไม่ดีบ้าง เกิดทุกข์บ้างสุขบ้างเหล่านี้
เมื่อเรารู้ ๓ ตัวนี้ได้ คือมารู้โทษรู้คุณมัน เมื่อเรารู้เท่าทันมันแล้ว ความเร่าร้อนของจิตนั้นมันก็จะเบาบางลง ตัวรู้ตัวนี้แลเค้าเรียกว่ารู้แห่งภพแห่งชาติ เพราะไอ้ ๓ ตัวนี้ไฟกิเลส ๓ กองนี้แลคือเผาไหม้ให้เกิดให้ตายมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว นั้นฉันเคยบอกว่าท่านสมเด็จฯเคยบอกสอนว่าไปสวรรค์ มาบัดนี้ท่านพอมีบารมีบ้างท่านก็เลยจะบอกว่าจะพาไปนิพพาน
นิพพานไม่ใช่ว่าเป็นที่ว่าง แต่นิพพานคือเมืองๆหนึ่ง และจะเกิดนิพพานได้มันต้องเกิดจากการบำเพ็ญเพียรจากการเป็นมนุษย์ จะเป็นอรหันต์ พระอริยะเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ต้องมาบำเพ็ญที่กายมนุษย์นี้ ในภพภูมินี้ที่มีกายหยาบ มีอาการ ๓๒ ที่สามารถฝึกจิตได้
ดังนั้นแล้วจึงบอกว่าเมืองนิพพานไม่ใช่เมืองที่เป็นที่ว่าง ถ้าว่างแล้วไม่ใช่ว่านิพพาน แต่เมืองนิพพานเป็นเมืองที่ว่าเป็นความสุขเย็น ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ว่างคือว่างจากกิเลสตัณหาอุปาทานที่ร้อยรัด..นั่นเรียกว่าว่าง แต่ไม่ใช่ว่างโดยที่ไม่มีอะไร ฉันไม่เข้าใจหรือก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านไหนบอกว่านิพพานแปลว่าความว่าง
แต่ที่ฉันเห็นที่สัมผัสได้นิพพานไม่ได้ว่าว่าง แต่ที่ว่างคือว่างจากกิเลสตัณหาอุปาทาน ดับสูญ..นิพพานก็ไม่ได้แปลว่าดับสูญ แต่ที่ดับสูญคือดับกิเลสตัณหาให้มันสูญ ไม่ให้มันเกิดภพเกิดชาติเกิดเชื้อขึ้นมาอีก เหมือนที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านดับสูญ ดับแต่กิเลสแต่จิตท่านยังอยู่ แสดงว่าจิตมีวันตายมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ :ไม่มีค่ะ) นี่แหล่ะ งั้นเมื่อไม่มีวันตายจิตไหนที่เป็นอมตะแล้วก็ไปอยู่ที่เดียวกัน ฉันรู้มาอย่างนั้น ฉันเห็นมาอย่างนั้น..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น