หลวงปู่ : นั่งไม่ได้ก็ไปเดินสิจ๊ะ
ลูกศิษย์ : เดินก็ยังคิดครับ สวดมนต์ก็ยังคิดเลยครับ
หลวงปู่ : โอ้..นั่นแหล่ะ..เค้าเรียกสมาธิ คนที่ครุ่นคิดได้วิตกได้..เค้าเรียกว่าสมาธิทั้งนั้น เพราะสมาธิมันมีอยู่แล้วในกายมนุษย์ มันเป็นสากลของโลก บอกว่าทำสมาธิไม่ได้นั่งสมาธิไม่ได้ โยมยังไม่เข้าใจคำว่าสมาธิ สมาธิ..มันคืออะไร "สมาธิ"คือจิตที่ตั้งมั่น จิตโยมยังไม่ตั้งมั่นเพราะยังขาดหลัก นั้นโยมต้องไม่ว่าจะนั่งหรือจะเดินจะทำอะไร ขอให้โยมฝึกภาวนาจิตก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เกลี้ยกล่อมจิตก่อน ดึงจิตก่อน ปลุกธาตุก่อน..
ลูกศิษย์ : คือมีสติใช่มั้ยครับ
หลวงปู่ : สติโยมก็คงมีอยู่แล้ว ไม่งั้นโยมคงมาที่นี่ไม่ได้ หรือว่าโยมยังอยู่บนโลกนี้ได้ถือว่าโยมยังมีสติอยู่ ถ้าไม่มีสติคงโดนรถชนตายไปตั้งนานแล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วขอให้โยมรู้ พอระลึกได้โยมก็ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือบทคาถาบทใดบทหนึ่งก็ได้ มันเป็นกรรมฐานทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
คือเราจะภาวนาคาถาบทใดก็ตาม เมื่อเราภาวนาจนจิตตั้งมั่นแล้วมันจะละเข้าถึงความสงบ นั่นแหล่ะเค้าเรียกว่าเป็นอุบายเข้าถึงกรรมฐานเช่นเดียวกัน ดังนั้นเราไม่ต้องสำคัญว่าเราจะต้องนั่งสมาธิได้หรือไม่ นั้นสมาธิคือใจที่ตั้งมั่นสงบแล้วจากภายนอก แล้วภายในเราสงบหรือไม่ก็ต้องดู เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีองค์ภาวนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ภาวนาไปเหมือนเราทานอาหาร ทานไปเรื่อยๆเดี๋ยวมันก็อิ่มของมันเอง ดังนั้นภาวนาไป แล้วอย่าไปสนใจ อย่าไปวิตกว่าเราทำสมาธิไม่ได้ จริงๆมันมีสมาธิอยู่แล้ว แค่เราวิตก..นั่นแหล่ะจ้ะ เพียงแต่ว่าไอ้วิจาร..คือละนี่เรายังไม่เข้าใจ เรายังไม่มีหลักของกรรมฐาน
ในสิ่งที่เราอยากปรารถนาจะนั่งสมาธินั้น จิตมันเป็นกุศลแล้ว สมาธิอ่อนๆมันเกิดแล้ว ขณิกสมาธิมันเกิดแล้ว ฌานมันเกิดแล้วแต่มันไม่ตั้งมั่น หรือมันตั้งมั่นได้ไม่นานนั่นเอง เค้าเรียกกุศลทานของเรานั้นมันยังอ่อนอยู่ เค้าเรียกอินทรีย์มันยังอ่อน มันยังพร่องอยู่ มันต้องฝึก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้ามันมีต้นทุนมีฐานทุนแล้วยังไงมันก็ทำไม่ยากหรอกจ้ะ แต่ถ้าจิตคนเราแม้นมันจะมีบุญกุศลมากมายขนาดไหน แต่มันยังหลงตัวหลงตนอยู่ ไม่เชื่อในบาปบุญคุณโทษในกรรมในบาปทั้งหลาย มันก็เจริญยากในกรรมฐานถ้าอย่างนั้น แต่ถ้าจิตเรามีความนอบน้อมในพระรัตนตรัย เชื่อในบุญกุศลในบาปบุญคุณโทษแล้ว ปรารถนาที่อยากจะฝึกจิตนั่นแล..ยังไงครูบาอาจารย์ เทพเทวดาทั้งหลายเค้าก็ต้องโมทนาอุดหนุนค้ำชูผลักดันส่งเสริมอย่างนั้น
นั้นเรานั่งไม่ได้ทำอะไรก็ฟุ้งซ่านหมด เราก็เอาตัวคิดนั่นแลมาเป็นอารมณ์เสีย เพราะเมื่อว่าจิตเราตั้งมั่นเราทำยังไงให้จิตมันเป็นเอกคัตตา..คือจิตเป็นอารมณ์เดียว นั้นเราก็ไปวิตกในอารมณ์นั้น ไปครุ่นคิดในอารมณ์นั้น ในความคิดนั้นที่เราฟุ้งอยู่นั่นแล..เอามาเป็นอารมณ์เสีย เค้าเรียกการเพ่งแห่งจิต..มันก็จะเกิดฌาน จิตมันก็จะรวมตัวกันเป็นหนึ่งเอง มันรวมตัวกันได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร เราก็คอยดึงมันด้วยเอาภาวนานี้เป็นอุบาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ อะไรก็ตามที่เรานั้นถนัด
ดังนั้นแล้วการจะฝึกฝนอะไร ถ้าเราเริ่มใหม่ๆแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน ภาวนาไป วันไหนเราไม่ว่าจะอยู่ในการงานอันใด ทำอะไรอยู่ อยู่กับหมู่คณะ อยู่กับมิตรอะไรก็ตามด้วยการงาน เราก็สามารถภาวนาในจิตได้ เพราะว่าธรรมนั้น..การประพฤติปฏิบัตินั้นไม่มีกาลไม่มีเวลา..เป็นอกาลิโกอยู่เหนือสมมุติบัญญัติทั้งหลาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ขอให้โยมมีใจที่เป็นประธาน มีความศรัทธามีความเชื่อน้อมจิตนั้นที่ปรารถนาจะเข้าถึงความสงบ..พระกรรมฐานฌานวิถีมันก็บังเกิด เค้าเรียกว่าต้นทุนวาสนาเก่ามันยังมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น