30 พฤศจิกายน 2563

“สามเณรสิน” สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช




“๓ สามเณรแห่งกรุงศรีอยุธยา” ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของชาติไทย!! เป็นต้นตระกูลหลายสกุล!

ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ กษัตริย์พระองค์ที่ ๓๑ ของกรุงศรีอยุธยา หรือที่เรียกกันเมื่อสวรรคตแล้วว่า พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ณ วัดสามวิหาร ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงศรีอยุธยาหรือนานกว่านั้น มีสามเณร ๓ รูปมาบวชพร้อมกันและเกาะกลุ่มรักใคร่ ทั้งยังดูสูงศักดิ์กว่าพระเณรทั้งหลายในวัด เพราะต่างก็เป็นลูกของขุนนางผู้ใหญ่แห่งราชสำนัก
       
       สามเณรที่มีอายุแก่กว่าเพื่อนชื่อ สิน เกิดปีขาล เป็นบุตรบุญธรรมของ เจ้าพระยาจักรี สมุหนายก ส่วนบิดาจริงเป็นพ่อค้าจีน ชื่อไหฮอง รับราชการเป็นนายอากร มีตำแหน่งเป็น ขุนพัฒน์ มารดาเป็นไทยชื่อ นกเอี้ยง เล่ากันว่าเมื่อเวลาคลอดมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น คือมีงูใหญ่เลื้อยขึ้นมาขดอยู่รอบขอบกระด้งที่ใส่ทารก ทั้งยังมีฟ้าผ่าลงมาที่เรือน บิดามารดาเห็นว่าทารกน่าจะเป็นผู้มีบุญวาสนา ถ้าเลี้ยงไว้เองเกรงว่าจะไม่รอด จึงจะยกให้ผู้มีวาสนาบรรดาศักดิ์ ซึ่งสมุหนายกที่อยู่บ้านใกล้กันก็ยินดีรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม
       
       สามเณรที่อายุรองลงมา ชื่อ ทองด้วง เกิดปีมะโรง เป็นบุตร หลวงพิพิธอักษร (ทองดี) เสมียนตรากรมมหาดไทย สามเณรองค์นี้ท่าทางสง่าผ่าเผย มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
       
       ส่วนสามเณรคนที่อายุอ่อนกว่าเพื่อน ชื่อ บุนนาค เกิดปีมะเมีย เป็นบุตร พระยาจ่าแสนยากร (เสน) ข้าราชการวังหน้า สามเณรองค์นี้เป็นคนอ่อนโยน ปัญญาไว ไหวพริบดี อีกทั้งยังเทศน์กัณฑ์มัทรีได้ไพเราะนัก บ้านอยู่ใกล้ๆวัดนั่นเอง
       
       สามเณรทั้ง ๓ แม้จะรักใคร่สนิทสนมกันดี แต่ก็ต่างเชื้อสายชาติพันธุ์กัน
       
       สามเณรสินถึงจะเป็นลูกเลี้ยงสมุหนายก แต่แท้ที่จริงเป็นลูกจีนที่อพยพเข้ามา ส่วนสามเณรทองด้วง มีเชื้อสายไทยแท้ สืบมาแต่เจ้าพระยาโกษาปาน ราชทูตของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ไปโด่งดังในฝรั่งเศส โดยเจ้าพระยาโกษาปานมีบุตรคนโตชื่อ “ขุนทอง"”รับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาวรวงศาธิราช เสนาบดีคลัง
       
       เจ้าพระยาวรวงศาธิราชมีบุตรคนโตชื่อ “ทองคำ” รับราชการเป็น พระยาราชนิกูล ปลัดทูลฉลองมหาดไทย
       
       พระยาราชนิกูล มีบุตรคนโตชื่อ “ทองดี” ได้เป็น หลวงพิพิธอักษร ซึ่งก็คือบิดาของสามเณรทองด้วงนั่นเอง
       
       ส่วนสามเณรบุนนาคนั้น มีเชื้อแขกเปอร์เซีย สืบสายมาจาก เฉกอะหมัด พ่อค้าชาวเปอร์เซียที่แล่นสำเภาเข้ามาค้าขายยังกรุงศรีอยุธยา จนได้เป็น เจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนาธิบดี อัครมหาเสนาบดี สมุหนายกฝ่ายเหนือ เพราะได้ร่วมกับพระเจ้าปราสาททองเมื่อครั้งยังเป็น พระยามหาอำมาตย์ เข้าปราบปรามกบฏญี่ปุ่นยึดวังในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม และบุตรของเฉกอะหมัดชื่อ “ชื่น” ได้เป็นเจ้าพระยาอภัยราชา สมุหนายก ต่อจากบิดา ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง
       
       เจ้าพระยาอภัยราชา มีบุตรชื่อ “สมบุญ” ได้เป็น เจ้าพระยาชำนาญภักดี สมุหนายกในรัชสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
       
       เจ้าพระยาชำนาญภักดีมีบุตรชื่อ “ใจ” ได้เป็น เจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย สมุหนายกในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
       
       เจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย มีบุตรชื่อ “เสน” ซึ่งก็คือ พระยาจ่าแสนยากร บิดาของสามเณรบุนนาค ซึ่งต่อมาพระยาจ่าแสนได้เลื่อนขึ้นเป็น เจ้าพระยามหาเสนา สมุหนายกในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช ๔ หรือขุนหลวงหาวัด
       
       สามเณรบุนนาค ก็คือลูกหลานลำดับชั้นที่ ๕ ของเฉกอะหมัดนั่นเอง แต่ได้ละจากศาสนาอิสลามมาถือพุทธในช่วงของเจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย (ใจ)
       
       หลังจากสึกออกมาแล้ว สามเณรทั้ง ๓ ยังคบหาเที่ยวเล่นอยู่ด้วยกันตลอดมา วันหนึ่งนั่งเล่นอยู่ที่แคร่หน้าบ้านเจ้าพระยาจักรี นายสินซึ่งตอนนั้นไว้ผมเปียได้นอนหลับไป และด้วยความคึกคะนองเป็นคนขี้เล่นของนายบุนนาค จึงเอาผมเปียของนายสินผูกไว้กับแคร่แล้วแกล้งทำเสียงเอะอะโวยวาย นายสินตกใจตื่นผงะขึ้นนั่งก็ต้องหงายหลังลงเพราะถูกผมเปียดึง ทำให้เพื่อนๆหัวเราะชอบใจ แต่นายสินทั้งเจ็บทั้งอาย จึงผูกใจเจ็บนายบุนนาค ทำให้ความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ขาดสะบั้นลง แต่นายทองด้วงก็ยังคบหาทั้งนายสินและนายบุนนาคด้วยความรักใคร่เช่นเดิม
       
       เมื่อโตพอเข้ารับราชการ เจ้าพระยาจักรีก็นำนายสินถวายตัวเข้าเป็นมหาดเล็กพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หลวงพิพิธอักษรก็ถวายตัวนายทองด้วงเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพรราชกุมาร กรมขุนพรพินิต กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เช่นเดียวกัน พระยาจ่าแสนยากร ก็ถวายตัวนายบุนนาคกับกรมพระราชวังบวรฯ จึงทำให้นายทองด้วงกับนายบุนนาคเข้ารับราชการในวังหน้าด้วยกัน แต่นายสินไปอยู่วังหลวง
       
       ในหน้าที่ราชการ นายสินก้าวไปเร็วกว่าเพื่อน อายุเพียง ๓๐ ก็ได้เป็นพระยาตาก เจ้าเมืองตาก นายทองด้วงได้เป็น หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ส่วนนายบุนนาค เป็น นายฉลองไนยนารถ มหาดเล็กหุ้มแพรในกรมพระราชวังบวร และยังคงอยู่ที่บ้านบิดาในกรุงศรีอยุธยาต่อไป
       
       ก่อนกรุงแตกในปี พ.ศ.๒๓๑๐ นายสินซึ่งได้เลื่อนขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร แต่ไม่มีโอกาสไปรับตำแหน่ง เพราะต้องนำกำลังมาช่วยป้องกันกรุงศรีอยุธยา คนจึงเรียกกันว่า“พระยาตาก” ตลอดมา เมื่อคราวที่ฝ่ายกรุงส่งกองทัพเรือเข้าสู้กับพม่า พระยาตากก็คุมกองทัพเรือไปด้วย แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีทางจะสู้ข้าศึกได้ ทั้งในกรุงก็ยุ่งเหยิง จะยิงปืนใหญ่แต่ละทีต้องแจ้งเข้าไปในวังก่อน เพราะกลัวสาวสนมกำนัลในจะตกใจ พระยาตากเองก็ถูกคาดโทษไว้ทีหนึ่งแล้วฐานที่ยิงปืนใหญ่โดยไม่ขออนุญาต สกัดพม่าที่บุกเข้ามาถึงกำแพงเมือง จึงตัดสินใจนำทหาร ๕๐๐ คนแหวกวงล้อมของพม่าไปส้องสุมกำลังที่เมืองจันทบุรี
       
       ส่วนนายบุนนาคซึ่งแต่งงานกับท่านลิ้ม มีบุตรสาว ๑ คนแล้วชื่อ ตานี ก็พาลูกเมียเล็ดลอดหนีออกจากกรุงไปอัมพวา สมุทรสงคราม เพื่ออาศัยหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ซึ่งมีบ้านภรรยาอยู่ที่นั่น
       
       มีข้าราชการหลายคนที่หนีออกจากกรุงศรีอยุธยาตามไปสมทบกับพระยาตากที่จันทบุรี ในจำนวนนี้มี นายบุญมา น้องชายของนายทองด้วงซึ่งรับราชการเป็นมหาดเล็กของเจ้าฟ้าอุทุมพร และได้เลื่อนขึ้นเป็น นายสุดจินดา มหาดเล็กหุ้มแพรของพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ หรือ พระเจ้าเอกทัศน์ ได้หลบหนีพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาตามหาพี่ชาย ซึ่งพาครอบครัวหลบไปอยู่ในป่าแถวอัมพวาจนพบ
       
       นายบุญมาได้ชวนพี่ชายไปร่วมกับพระยาตาก แต่ตอนนั้นคุณหญิงนากภรรยากำลังตั้งครรภ์แก่ (อุ้มครรภ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ไม่อาจทิ้งภรรยาไปได้ จึงให้น้องชายไปก่อน พร้อมทั้งให้ตามหานางนกเอี้ยง มารดาพระยาตาก ที่ได้ข่าวว่าซ่อนตัวอยู่แถวบ้านแหลม แขวงเมืองเพชรบุรี พาไปให้พระยาตากด้วย นอกจากนี้ยังฝากแหวนพลอยไพฑูรย์ ๑ วง แหวนพลอยบุศราคัมเนื้อทอง ๑ วง กับดาบคร่ำทองโบราณอีก ๑ เล่ม ไปให้พระยาตากในฐานะเพื่อนสนิทด้วย
       
       นายบุญมาไปตามหานางนกเอี้ยงจนพบ พาไปให้พระยาตากที่จันทบุรี ซึ่งทำให้พระยาตากดีใจมาก นายบุญมาได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของพระยาตากจนกอบกู้อิสรภาพได้สำเร็จ สถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี และเถลิงถวัลย์ราชสมบัติขึ้นเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี ส่วนนายบุญมาได้รับโปรดเกล้าฯเป็น พระมหามนตรี เจ้ากรมพระตำรวจขวาในปี พ.ศ.๒๓๑๐ นั่นเอง
       
       ต่อมาพระมหามนตรีได้กราบบังคมทูลขอไปรับหลวงยกกระบัตรพี่ชายที่เมืองราชบุรีเข้ามารับราชการด้วย ซึ่งพระเจ้าตากสินก็โปรดให้ไปรับมา และเนื่องจากพระมหามนตรีอัญเชิญพระบรมราชโองการไป หลวงยกกระบัตรต้องรีบมาเข้าเฝ้าด่วน ทำให้ครอบครัวเตรียมตัวไม่ทัน จึงได้ให้นายบุนนาคช่วยดูแลครอบครัวแทน แล้วค่อยอพยพตามมาในภายหลัง
       
       หลวงยกกระบัตรได้รับโปรดเกล้าฯเป็นพระราชวรินทร์ ซึ่งต่อมานายบุนนาคก็พาครอบครัวตามมาส่งให้ และอาศัยปลูกบ้านอยู่ในเขตบ้านของพระราชวรินทร์ที่ได้รับพระราชทานด้วย โดยทำหน้าที่เป็นทนายหน้าหอ มีหน้าที่ออกรับหน้าแทนพระราชวริทร์ที่บ้าน
       
       เพื่อนฝูงหลายคนได้เข้ารับราชการกับพระเจ้ากรุงธนบุรีกันเป็นแถว แต่นายบุนนาคไม่กล้า ทั้งยังขอร้องมิให้เพื่อนเก่าๆกล่าวชื่อตนเข้าพระกรรณสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วย เพราะเกรงความพยาบาทเรื่องเอาผมเปียไปผูกแคร่ซึ่งทำให้โกรธมาก
       
       พระราชวรินทร์และพระมหามนตรีต่างก็เป็นขุนศึกคู่พระทัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ออกกรำศึกด้วยทุกครั้ง และได้เลื่อนยศเลื่อนบรรดาศักดิ์มาตลอด จากพระราชวรินทร์ เลื่อนขึ้นเป็น พระยายมราช เจ้าพระยาจักรี จนถึง สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
       
       พระมหามนตรีก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น พระอนุชิตราชา พระยายมราช จนถึง เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช
       
       ส่วนนายบุนนาคยังรับหน้าที่ทนายหน้าหอด้วยความซื่อสัตย์มาตลอด ไม่ยอมเข้ารับราชการ แต่ไม่ว่านายทองด้วงจะไปศึกสงครามครั้งใด ตั้งแต่เป็นพระราชวรินทร์จนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก นายบุนนาคจะต้องติดตามไปด้วยทุกครั้ง เหมือนรับราชการ แต่ไม่ยอมให้พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพบหน้า
       
       ครั้งหนึ่งในงานที่วัดแจ้ง นายบุนนาคถือพานทองล่วมหมากตามเจ้าพระยาจักรีไปในงาน พอพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จมา นายบุนนาคกลัวว่าจะเห็นตนจึงรีบไปซ่อนอยู่ในเรือ จนเมื่อพระเจ้าตากสินเสด็จพระราชดำเนินไปแล้ว จึงได้ออกจากที่ซ่อนแล้วรีบกลับบ้าน จากนั้นก็ไม่กล้าติดตามเจ้าพระยาจักรีเข้าไปในวังหรือในงานพระราชพิธีอีกเลย
       
       ต่อมานายบุนนาคนึกถึงทรัพย์สมบัติของครอบครัวซึ่งฝังไว้ที่กรุงศรีอยุธยาก่อนหนีพม่า จึงพาท่านลิ้มภรรยาไปขุด ฝากลูกสาวไว้กับท่านผู้หญิงนาก ขากลับขนสมบัติมาทางเรือใหญ่ แจวล่องมาทางแม่น้ำอ้อม เมืองนนทบุรี แต่พอถึงปากคลองบางใหญ่ในเวลา ๕ ทุ่ม ซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ก็ปรากฏว่ามีโจรกลุ่มใหญ่จ้ำเรือตามมาทันและเข้าปล้น นายบุนนาคนำข้าทาสเข้าต่อสู้ แต่โจรมีมากกว่าได้ฆ่าท่านลิ้มกับทาสอีก ๒ คนตาย นายบุนนาคต้องโดดน้ำว่ายขึ้นฝังเอาชีวิตรอด
       
       การตกพุ่มม่ายของนายบุนนาค คนใกล้ชิดของท่านเจ้าคุณสามี ทำให้ท่านผู้หญิงนากเกิดความสงสาร ต่อมาจึงยก คุณนวล น้องสาวให้
       
       การยกน้องสาวให้ทนายหน้าหอผู้ซื่อสัตย์ของเจ้าคุณสามีครั้งนี้ กล่าวกันว่า นอกจากท่านผู้หญิงจะเห็นอกเห็นใจนายบุนนาคคนใกล้ชิดรักใคร่กับท่านเจ้าคุณสามีมาตั้งแต่เด็ก ช่วยดูแลครอบครัวในยามที่เจ้าคุณไม่อยู่แล้ว ยังเป็นการป้องกันไม่ให้พี่น้องต้องผิดใจกัน เพราะเกรงว่าท่านเจ้าคุณจะเอ็นดูน้องภรรยาด้วยอีกคน
       
       ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้เกิดการจลาจลวุ่นวายขึ้นในกรุงธนบุรี ขณะที่เจ้าพระยาจักรีซึ่งได้เลื่อนขั้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปทำศึกที่เขมร เมื่อกลับมา ข้าราชการและอาณาประชาราษฎร์จึงอัญเชิญขึ้นครองราชย์ปราบดาภิเษกเป็น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และย้ายราชธานีมาอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
       
       เมื่อสิ้นแผ่นดินของพระเจ้าตากสินแล้ว นายบุนนาคก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้ารับราชการ
       
       ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ กล่าวตอนนี้ไว้ว่า
       
       “ตรัสเอาหม่อมบุนนาค บุตรพระยาจ่าแสนครั้งกรุงเก่า มิได้คิดเข้ามาทำราชการหายศบรรดาศักดิ์ พึ่งแต่พระเดชพระคุณให้ใช้สอย ได้ตามเสด็จไปพระราชสงครามทุกครั้ง มีความชอบตั้งให้เป็น พระยาอุทัยธรรม”
       
       ทั้งยังพระราชทานบ้านพักให้อยู่ท้ายวังในหมู่บ้านเสนาบดี ซึ่งก็คือบริเวณที่เป็นวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามในปัจจุบัน และบ้านของพระยาอุทัยธรรม อันเป็นบ้านของสกุลบุนนาคก็อยู่ตรงที่เป็นโบสถ์พระนอนขณะนี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) ก็อยู่บ้านนี้ต่อจากบิดา และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ผู้สำเร็จราชการในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็เกิดที่บ้านหลังนี้
       
       พระยาอุทัยธรรมได้ถวายธิดาคนแรก คือ ท่านตานี ที่เกิดจากท่านลิ้มให้รับราชการฝ่ายใน ซึ่งได้เป็นเจ้าจอมมารดาของพระองค์เจ้าหญิงจงกลนี และพระองค์เจ้าชายเสวตฉัตร กรมหมื่นสุรินทรารักษ์ ต้นสกุล “ฉัตรกุล”
       
       ในสงคราม ๙ ทัพ เจ้าพระยายมราช (สน) ซึ่งไปตั้งทัพรับพม่าอยู่ที่ราชบุรี แต่พม่าเข้ามาตั้งค่ายอยู่ที่เขางูก็ยังไม่รู้ เมื่อเสร็จสงครามจึงต้องโทษตามกฎอาญาทัพ ถูกถอดบรรดาศักดิ์ โปรดให้พระยาอุทัยธรรมขึ้นเป็นเจ้าพระยายมราชแทน
       
       ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๓๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงเป็นจอมทัพยกไปตีเมืองทวาย แต่ไม่สำเร็จ เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) แม่ทัพผู้หนึ่งหายไป ไม่มีใครทราบว่าตายหรือถูกจับ เสด็จกลับจากศึกครั้งนี้จึงโปรดเกล้าฯ เลื่อนเจ้าพระยายมราชขึ้นเป็นเจ้าพระยามหาเสนาแทน
       
       เจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) รับราชการในตำแหน่ง สมุหกลาโหมจนอายุได้ ๖๘ ปีจึงถึงแก่อสัญกรรม มีบุตรธิดากับ “เจ้าคุณนวล” ๑๐ คน และยังมีบุตรธิดากับ ๗ หม่อมอีก ๒๒ คน รวมมีบุตรธิดา ๓๒ คน
       
       ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ มีการประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุล เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร) บุตรสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) ที่เกิดกับเจ้าคุณนวล ขอพระราชทานนามสกุล จึงโปรดเกล้าฯพระราชทานนามสกุลของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ตามชื่อของเจ้าพระยามหาเสนาว่า “บุนนาค” เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๖
       
       เชื้อสายของเฉกอะหมัดที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในปลายสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงได้นามสกุลอย่างเป็นทางการในรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตามชื่อของเจ้าพระยามหาเสนาในรัชกาลที่ ๑ และถือว่าเป็น “ราชินีกูล” คือสกุลฝ่ายพระราชินี เพราะสืบเชื้อสายมาจาก “เจ้าคุณนวล” พระขนิษฐภคินีของสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ ราชินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ส่วนบุตรที่เกิดจากภรรยาคนอื่นๆไม่ได้ใช้บุนนาคด้วย
       
       เชื้อสายราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินนั้นปรากฏว่ามีพระราชโอรสและพระราชธิดากับสมเด็จพระอัครมเหสีและพระสนมต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๓๐ พระองค์ ดำรงพระยศโดยสืบจากฐานันดรศักดิ์ของพระราชมารดา เป็นชั้นเจ้าฟ้า ๑๒ พระองค์และชั้นพระองค์เจ้า ๑๘ พระองค์ แต่ได้ถูกลดพระยศทั้งหมดเมื่อสิ้นรัชกาล แม้แต่สมเด็จพระอัครมเหสี กรมหลวงบาทบริจา ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระราชินี ยังถูกลดพระยศลงเป็น “หม่อมสอน” และพระราชโอรสหลายพระองค์ก็ถูกสำเร็จโทษพร้อมพระราชบิดา
       
       ในรัชกาลที่ ๒ สมเด็จเจ้าฟ้าชายสุพันธุวงศ์ พระราชโอรสของพระเจ้าตากสินในเจ้าจอมมารดาเจ้าฟ้าฉิมใหญ่ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นหัวหน้ากบฏจึงถูกสำเร็จโทษพร้อมกับโอรสเล็กๆอีก ๖ พระองค์ รวมกับเจ้าพี่เจ้าน้องร่วมพระราชบิดาที่คิดก่อการร้ายอีกหลายพระองค์ จนเกือบจะไม่เหลือราชวงศ์กรุงธนบุรี
       
       แต่อย่างไรก็ดี ยังมีพระราชโอรสและพระราชธิดา ได้รอดชีวิตสืบสกุลเชื้อสายพระเจ้าตากสินต่อมา ทั้งโดยทางตรงและทางพระราชธิดาซึ่งร่วมสัมพันธ์กับราชวงศ์จักรี
       
       ที่ถือว่าเป็นสายตรงสืบมาจากพระราชโอรสของพระเจ้าตากสิน ก็คือ
       
       ราชสกุล “พงษ์สิน” สืบมาจาก คุณชายราช โอรสของ เจ้าฟ้าชายทัศพงศ์
       
       ราชสกุล “สินสุข” สืบมาจาก คุณชายทองดี โอรสของ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระราชโอรสองค์ใหญ่ ซึ่งถูกสำเร็จโทษพร้อมพระราชบิดา
       
       ราชสกุล “อินทรโยธิน” สืบมาจากคุณชายทองอิน โอรสของกรมขุนอินทรพิทักษ์เช่นกัน
       
       ราชสกุล “ศิลานนท์” สืบมาจาก คุณชายอิ่ม โอรสของเจ้าฟ้าชายศิลา
       
       ราชสกุล “รุ่งไพโรจน์” สืบมาจากคุณชายรุ่ง โอรสของเจ้าฟ้าชายนเรนทรราชกุมาร
       
       ราชสกุล “ณ นคร” สืบมาจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ซึ่งเป็นพระราชโอรสลับของพระเจ้าตากสิน จากเจ้าจอมมารดาปราง ซึ่งสกุลนี้รวมกับเชื้อสายที่สืบมาจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ด้วย
       
       นอกจากนี้บุตรชายของ เจ้าพระยานครน้อย ยังแยกนามสกุลออกเป็น “โกมารกุล ณ นคร” และ “จาตุรงคกุล” อีกด้วย
       
       ราชสกุล “ณ ราชสีมา” สืบมาจากเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) หรือเจ้าพระยากำแหงสงคราม ซึ่งเป็นพระราชโอรสลับของพระเจ้าตากสินกับเจ้าจอมมารดา ยวนหรือจวน เช่นเดียวกับเจ้าพระยานครน้อย
       
       นอกจากนี้ยังมีสายที่เกิดจากพระราชธิดาร่วมกับราชวงศ์จักรีอีกหลายสกุลเช่น อิศรเสนา อิศรางกูร ปาลกะวงศ์ เสนีย์วงศ์ กุญชร ชุมสาย ลดาวัลย์ สุริยกุล นพวงศ์ ภาณุมาศ กาญจนวิชัย จรูญโรจน์ เป็นต้น
       
       นี่คือเสี้ยวหนึ่งของพระราชประวัติ ๒ มหาราชแห่งชาติไทย ที่ทรงกอบกู้เอกราชและสถาปนากรุงเทพมหานครจนรุ่งเรืองมาถึงปัจจุบัน กับต้นตระกูลของสกุลที่มีลูกหลานเข้ารับราชการและมีบทบาทสำคัญในราชสำนักแห่งกรุงรัตนโกสินทร์มาหลายรัชกาล


คู่บารมีพระอวโลกิเตศวร


พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์  มองเห็นว่าสัตว์โลกมีแต่ความทุกข์  น้ำตาไหลด้วยมหากรุณา กลายเป็นทะเลสาบ  มีดอกบัวขึ้น และในดอกบัว มีพระแม่ตาราเขียว เกิดจากหยดน้ำตาข้างขวา และ พระแม่ตาราขาว เกิดจากหยดน้ำตา ข้างซ้าย

..พระนางตารา เป็นพระโพธิสัตว์ ได้รับการยกย่องว่า”เป็นมารดาของพระพุทธเจ้า”..และพระโพธิสัตว์ ..ในด้านของกรุณา..สถิตย์ ณ..แดนพุทธเกษตร เป็นคู่บารมีของ พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร

..พระนางตารา มีความงดงาม  มีความเมตตา  เข้มเเข็ง ทรงพลัง มีอำนาจ .เราสามารถขอพรกับพระแม่ได้โดยการ สวดคาถาหัวใจพระแม่ว่า

“โอม ตาเร ตุเร ตุตาเร สวาหะ ..

*.ความหมายแห่งมนต์.*

"โอม"   - เสียงของจักรวาล  ตาราผู้ศักดิ์สิทธิ์
"ตาเร"   - ความรอดพ้นจาก อันตรายและความทุกข์ ทางโลก
"ตุเร"  - ทางแห่งโพธิสัตว์ การนำพาผู้อื่น สู่พระนิพพานด้วยเมตตา กรุณา
"ตุตาเร -  การรอดพ้น ทางจิตวิญญาณ อวิชชาโลภ โกรธ หลง เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน
"สวาหะ  -  โปรดอำนวยพรให้ข้าพเจ้า ด้วยเถิด!"
.
              พระนางตารามีอยู่จริง ควรจะไปกราบขอพรท่าน โดยเฉพาะ ผู้บำเพ็ญบารมีนางแก้ว"
   ………………

ที่มา
มโนธาตุ โพธิญาณ

29 พฤศจิกายน 2563

#ภัทเทกรัตตสูตร

.
🌾สมัยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ
ที่พระเชตวนาราม กรุงสาวัตถี ได้ตรัส
ภัทเทรัตตสูตรแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
.
🌾ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งล่วงไปแล้วมาตาม
ไม่ควรหวังสิ่งซึ่งยังมาไม่ถึง เพราะว่าสิ่งใด
ล่วงพ้นไปแล้ว สิ่งนั้นอันเราละเสียแล้ว
อนึ่งสิ่งใดซึ่งไม่มาถึงเล่า สิ่งนั้นยังไม่มาถึง
เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาจึงไม่ควรให้สิ่งซึ่งล่วง
ไปแล้วมาตาม ไม่ควรหวังสิ่งซึ่งไม่มาถึง
ก็ผู้มีปัญญาได้มาเห็นธรรม ซึ่งเป็นปัจจุบัน
เกิดขึ้นจำเพาะหน้าแจ้งชัดอยู่ในที่นั้นๆ
ความเห็นแจ้งธรรมซึ่งปัจจุบันของท่านนั้น
ไม่ง่อนแง่น ไม่กำเริบด้วยดี ผู้มีปัญญาอันมา
ได้ความเห็นแจ้งในธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน
อันไม่ง่อนแง่นและไม่กำเริบด้วยดีแล้ว
ควรเจริญความเห็นนั้นไว้เนืองๆ ความเพียร
เผากิเลสให้เร่าร้อนอันผู้มีปัญญาควรรีบทำ
เสียในวันนี้ทีเดียว ใครจะพึงรู้ว่าความตาย
จักมีในวันพรุ่งนี้ เพราะว่าความหน่วงเหนี่ยว
ความผูกพันกับด้วยมฤตยูความตายซึ่งมี
เสนาใหญ่นั้นไม่ได้เลย
.
🌾เพราะฉะนั้นความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน
อันผู้มีปัญญาควรทำเสียในวันนี้ทีเดียว
นักปราชญ์ผู้สงบระงับย่อมกล่าวสรรเสริญผู้มีปัญญาซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียร
เผากิเลสให้เร่าร้อน ไม่เกียจคร้าน ขยันหมั่น
เพียร ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างนี้ผู้นั้นแล
ว่าผู้มีราตรีเดียวเจริญดังนี้ เมื่อตรัสอุเทศนี้
จบแล้ว จึงตรัสวิภังค์ต่อไปว่า
.
🌾ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลให้สิ่งซึ่งล่วงไป
แล้วมาตามอยู่เป็นไฉน? บุคคลมาคิดว่า ณ
กาลล่วงไปแล้วเมื่อก่อน เราได้เป็นผู้มีรูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอย่างนี้ๆ
นำความเพลิดเพลินในขันธ์ มีรูปขันธ์เป็นต้น
ซึ่งล่วงไปแล้วนั้นมาตามอยู่ ภิกษุทั้งหลาย
อย่างนี้แล ชื่อว่าบุคคลให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้วมาตามอยู่
.
🌾ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลไม่ให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้วมาตามอยู่เป็นไฉน? บุคคลมาคิดว่า ณ
กาลไกลล่วงไปแล้วเราได้เป็นผู้มีรูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณอย่างนี้ๆ แล้วไม่นำ
ความเพลิดเพลินในขันธ์ มีรูปขันธ์เป็นต้น
ซึ่งล่วงไปแล้วนั้นมาตามอยู่ ภิกษุทั้งหลาย
อย่างนี้แล ชื่อว่าบุคคลไม่ให้สิ่งซึ่งล่วงไป
แล้วนั้นมาตามอยู่ ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล
ชื่อว่าบุคคลไม่ให้สิ่งซึ่งล่วงแล้วตามอยู่
เบื้องหน้าไม่ปรารถนา ไม่ให้ตามอยู่ และปัจจุบัน
ก็ไม่ให้มาตามอยู่ ไม่ถือว่าเราว่าเขา ชื่อว่า
ไม่ง่อนแง่นอยู่ในธรรมทั้งหลาย 
.
🌾พระอริยสาวกและสัตบุรุษท่านไม่ตามเห็นว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความ
เป็นตัวตนบ้าง ไม่ตามเห็นรูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณในตัวตนบ้าง ไม่เห็นตัวตน
ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณบ้าง
ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ชื่อว่า บุคคลไม่ง่อน
แง่นอยู่ในธรรมทั้งหลายซึ่งเกิดขึ้นจำเพาะ
หน้าฉะนี้แล
.
• พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต •🌿🌾🌺

ขอบคุณ​ที่มา:
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=486206775579033&id=100025691432921

28 พฤศจิกายน 2563

ระดับบารมี ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ..


การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์  ตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า จะเกี่ยวกับคนอื่นๆ ดวงจิตวิญญาฯมากมาย .  เพื่อให้เขาได้รับสิ่งดีๆ  บ้างชอบทำงานใหญ่   ชอบช่วยเหลือ  สั่งสอนแนะนำผู้อื่น

.....แล้วเราจะดูบารมีของโพธิสัตว์องค์นั้น   ว่าแก่กล้าระดับใด ดูจากในชาตินี้..ว่า  "ศรัทธา และ ปัญญา อุปายการสอน บุญญฤทธิ์"...   มั่นคงแค่ไหน มี"ภูมิธรรม".อย่างไร .. ถ้ายังไม่เอาไหน.พร่องไปหมด..พากเพียรน้อย   อดทนต่ำ.ลอยไปลอยมา..แต่ปากตะโกนว่า..ตนเองปารถนาพุทธภูมิ...แปลว่า....บารมีพุทธภูมิยังอ่อน..ต้องเพียรสร้างให้มากกว่านี้

"
ให้ดูว่า กำลังใจ(บารมี) ในการเสียสละ สิ่งที่ตัวเองรัก ทั้ง ทรัพย์ อวัยวะ ชีวิตเพื่อรักษาธรรม ถวายเป็นพุทธบูชา   #เพื่อความปรารถนาในพระโพธิญาณ ทำได้ง่าย-ยากแค่ไหน  ยิ่งของที่รัก ทั้งลูก เมีย   ชีวิตยิ่งสละง่ายๆ..ยิ่งแสดงว่าบารมีมาก.กระแสโพธิญาณแน่น

***...เราพอจะแบ่งลักษณะความเข้มของบารมี   ได้๓ ระดับใหญ่ ๆ คือ..

*ถ้าอยู่ระดับบารมีต้น

บุคคลนั้น จะชอบเป็นผู้นำกลุ่ม ผู้นำประเทศ  รักกลุ่มตนเอง.. สร้างทานบารมีเก่ง พากลุ่มคณะ สร้างโบสถ์-วิหารหลังใหญ่ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ ยังอยากให้คนยกย่องสูง..แต่มีศีลยังไม่บริสุทธิ์ ...ไม่สนใจการภาวนาจริงจัง..
 *...ระดับนี้ส่วนใหญ่ยังคงลงนรก เป็นเปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน เทวดา เวียนเกิดตาย   และยังเกิดเป็นหญิงได้อยู่

*ระดับอุปบารมี 

  นอกจากสร้างทานบารมี ยังควบคู่กับการรักษาศีลมากขึ้น แต่ยังมีความพร่อง ขาดในศีลอยู่บ้างสนใจ วิปัสสนากรรมฐาน เล็กน้อย บ้างมีกำลังญาณดี  มีอภิญญา ๕  บ้างออกบวชเป็นฤาษีชีไพร บวชในพระพุทธศาสนา หรือนอกเขต  มีผู้เคารพศรัทธาเลื่อมใสมาก  หากประมาทก็ยังตกนรกได้ แต่ไม่สามารถเป็นหญิงได้ ยกเว้นกรณีอธิษฐานลงมาเกิด เพื่อเป็นหญิง (เป็นเฉพาะกิจ) 
 
 *.ระดับปรมัตถบารมี   

  มีการสร้างทานบารมี    เพื่อสงเคราะห์สัตว์โลก รักษาศีลบริสุทธิ์ ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในเพศบรรพชิต (เพศฆราวาสพบน้อย  ยกเว้นบางท่านที่ลงมาเติมบารมีให้เต็ม) สนใจ ทั้งสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน มี อภิญญา ๕ 

*..สามารถทรงอารมณ์ได้เทียบเท่าตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ (ไม่ได้เป็นอริยะ)  กายใน จะเป็นกายแก้ว มีแสงสว่างมากกว่าเทวดาทั่วไป  คล้ายรัศมีกายพระอรหันต์..(นั่น..ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า..พระโพธิสัตว์องค์นั้น..เป็นพระอรหันต์)

**.และ หากพระโพธิสัตว์องค์นั้น นอกจาก เข้าถึงปรมัตถบารมี แล้ว ยังเป็นประเภทพระพุทธเจ้าแบบพิเศษ(ไม่ใช่ ปัญญา ศรัทธา วิริยิกะ) กายใน ยัจะมีความสว่างมาก ละเอียดมาก  จนไม่สามารถเห็นกายในท่านได้  เห็นแต่แสง ยกเว้นท่านผู้นั้นสงเคราะห์ให้เห็นเอง..สาธุ

ขอบคุณที่มา 
มโนธาตุ โพธิญาณ

27 พฤศจิกายน 2563

เดินสมาบัติอรูปฌาน ต้องฝึกถอนสมาธิให้เป็น

ถ้า #เดินสมาบัติอรูปฌาน 
ต้องฝึกถอนสมาธิให้เป็น
เพราะว่า สมาธิจะค้างง่าย
ถ้าจิตละเอียด แล้วเริ่มอยู่กับความเวิ้งว้างได้ดี
จะพบว่า มันจะค้างง่าย

#สมาธิค้าง ก็จะทำให้เราอยู่กับมิติข้างใน 
มากกว่ามิติข้างนอก

เพราะฉะนั้น 
คนที่จิตละเอียด #ระดับอรูปฌาน
ก็ต้องคล่องในสมาธิ ถอนออกให้เป็น

เวลาพาถอน รู้สึกได้ไหม 
ระดับมันเปลี่ยน... ถอนออก

สมาธิ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
#สมาธิทุกขั้นตอนเป็นบาทฐานของวิปัสสนา
ทำ #อาสวักขยญาณ ให้เกิดขึ้นได้

ตั้งแต่ ปฐมฌาน สติตั้งมั่น 
เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
สามารถพลิกเป็นวิปัสสนา
แล้วก็สลัดคืนสู่ อมตธรรมได้เหมือนกัน
ไต่ระดับขึ้นไป

แต่ว่า กำลังในแต่ละระดับ 
ก็จะมีความละเอียดลงไป
เหมือนสมาธิจะค่อยๆ ละเอียดขึ้น

เวลาพาเดินสภาวะ รู้สึกได้ไหม
เนื้อมันละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ 

ถ้าเราพลิก ในแต่ละชั้น 
กำลังของวิปัสสนา ก็มีความละเอียดขึ้นไปเช่นกัน

แล้วการสลัดคืน เข้าสู่ความบริสุทธิ์ 
ก็จะมีความลึกซึ้งขึ้นเช่นกัน

สังเกตช่วงเดิน #รูปฌาน แล้วพลิกเป็นวิปัสสนา
กับ #อรูปฌาน แล้วก็พลิก 
....ต่างกัน

แล้วก็เวลาสลัดคืน ความละเอียดลึกซึ้งในความบริสุทธิ์ ก็ต่างกันนะ
เพราะฉะนั้นก็ สามารถเอาไปฝึกได้ 

ซึ่งพอเราชำนาญ 
มันไม่จำเป็นต้องไต่ระดับเสมอไป
มันเข้าออก สภาวะใดก็ได้
เพราะว่า สภาวะในแต่ละสภาวะ มันเป็นมิติ

ไม่ว่าจะเป็น #ปีติ #สุข #อุเบกขา #อากาสา
#วิญญาณัญจา #อากิญจัญญา #เนวสัญญา
มันเป็นมิติ ที่สามารถเข้าออกได้เลย

ถ้าชำนาญ กระดิกนิ้วนิดเดียว มันเข้าออกได้เลย
จากนั้นก็สามารถเพิ่มโวลุ่ม คือ ความละเอียดได้

สมมติเราอยู่ใน อากาสา ไม่ได้หมายความว่า
เราจะต้องเข้าถึงอรูปฌาน แบบเต็มกำลัง

มันอาจจะแค่แตะๆ ความละเอียดของมันก็ได้
แต่เราสามารถ ถ้าละเอียดพอ 
โวลุ่มมันละเอียดขึ้น มันจะเวิ้งว้าง ละเอียดเลย

ก็เหมือน อุเบกขา พอเข้าถึงอุเบกขา
ไม่ได้หมายความว่า เราจะเข้าถึงฌานที่ 4

แต่ว่า เราอยู่กับ อุเบกขา 
จนมีความละเอียดเต็มกำลัง
มันจะเข้าถึง ฌานที่ 4 ได้

เวลาเราเข้าถึง สุข มันไม่ได้หมายความว่า
เราจะเข้าถึงฌานที่ 3 
แต่ถ้าเราเข้าถึง สุข จนมีความละเอียดเต็มกำลัง
มันจะเข้าถึงฌานที่ 3 ได้

เพราะฉะนั้น 
ในแต่ละระดับ มันมีความละเอียด
มันมีโวลุ่ม ในการปรับ
เพราะฉะนั้นค่อยๆฝึก 

การเดินสภาวะ มันก็จะมีเทคนิคต่างๆ 
แล้วค่อยๆ ฝึก อาศัยการฝึกจนชำนาญ
มันก็จะทำให้เรารู้แจ้ง ทั้งใน #ระดับโลกียธรรม
แล้วก็ #ระดับโลกุตรธรรม

อย่างเช่น สังโยชน์เบื้องปลาย 
ที่เรียกว่า รูปราคะ อรูปราคะ ที่ว่า #ติดในฌาน

🔹️คำว่า "ติดในฌาน" 
จริงๆ คือ ยังไม่สามารถเดินสภาวะได้
มันก็เลยค้างอยู่อย่างนั้น
รูปฌาน รูปราคะ อรูปราคะ พวกนี้

แต่ถ้าเดินสภาวะเป็น 
ทุกอย่างมันก็เป็นแค่สภาวะที่เกิดขึ้น 
แล้วก็ผ่านไป สามารถปรับได้ดังใจ

ก็ค่อยๆในแต่ละวัน #ฝึกให้ชำนาญ
ก็จะมีสิ่งที่ถ่ายทอด ที่ลึกซึ้งลงไป 
ค่อยๆเรียนรู้ไป

โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
พระวิปัสสนาจารย์
พระธรรมบรรยายหลังจากฝึก 28/8/63

26 พฤศจิกายน 2563

การรับรู้คลื่นพลังงานยกระดับมิติ

𝗔𝗾𝘂𝗮𝗿𝗶𝗮𝗻𝗙𝗹𝗼𝘄𝗖𝗿𝘆𝘀𝘁𝗮𝗹𝗚𝗮𝘁𝗲𝘄𝗮𝘆
 รหัสแสงนี้ยึดรหัสแสงศักดิ์สิทธิ์ 144 𝘚𝘸𝘰𝘳𝘥𝘖𝘧ซึ่งเราปล่อยออกมาโดยเคลื่อนไปสู่เกตเวย์ครีษมายันในเดือนมิถุนายน พวกคุณหลายคนทำงานกับรหัสแสงจากการเปิดใช้งาน 144 ในปีนี้และเราจะเปิดให้เจาะลึกมากขึ้นในการทอดสมอดั้งเดิมนี้ในเดือนธันวาคมและมกราคม

 ปีนี้เป็นปีแห่งราศีมังกร - พลังงานภายในที่ลึกซึ้งดังกล่าวทำงานผ่านการจัดตำแหน่งของจักรวาลที่ทรงพลังและความถี่วิวัฒนาการจากระบบ Sirian และ Arcturian กลุ่มดาว Pleiadian และ Alpha Centauri รวมถึงดาวในท้องถิ่นของเราเอง ดวงดาวจำนวนมากได้สื่อสารผ่านผลึกศักดิ์สิทธิ์ของ Andara Monotomic และพอร์ทัลดินและโครงสร้างเซลล์ที่เรารับรู้เอง

 ในขณะที่เรากำลังเปิดกว้างและมีความอ่อนไหวมากขึ้นในศูนย์รวมของเรา - เรากำลังก้าวไปสู่ระบบการสื่อสารภาคสนามแบบบูรณาการสมอง / ร่างกาย / สากลขั้นสูงที่เวลาและระยะทางถูกยุบรวมเป็นประสบการณ์เอกฐานในการไหล ... ไม่มีที่สิ้นสุดในขณะนี้

 ความลึกลับและปาฏิหาริย์ของชีวิตมีประสบการณ์ทุกวัน - ในช่วงเวลานั้นและภาระที่หนักอึ้งของการรับรู้ในอดีตและพลังงานที่กักขังอยู่นั้นสามารถที่จะหลุดลอยไปได้มากขึ้น

 ความเชื่อและการรับรู้หลายอย่างของเรา - แม้แต่เรื่องการตื่นนอนและจิตวิญญาณก็ยังถูกท้าทายอย่างมาก การก่อตัวของความเป็นจริงมีความซับซ้อนและทำให้เกิดความสนใจโดยที่มันเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อและขยายออกไปอย่างมากเมื่อจุดยึด (คนที่อยู่ในเสียงสะท้อนสากล) พบ

 Aquarian Light Code นี้เป็นการเฉลิมฉลองให้กับการเคลื่อนไหวที่ล้ำลึกยิ่งขึ้น

 Triquetra ดั้งเดิมเป็นรหัสแห่งการปกป้องและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในขณะที่ถุงมือแห่งเงาความเป็นคู่และขั้วแสดงตัว

 รหัสนี้พัฒนาขึ้นเมื่อการเชื่อมต่อของ Diamond Light ถูกสร้างขึ้นและลึกเข้าไปในร่างกาย - ระบบประสาทและโสมกำลังสื่อสารกันในรูปแบบที่สมดุลมากขึ้น

 การสื่อสารและการรับรู้ไม่ได้ จำกัด อยู่ที่ความเป็นจริงอีกต่อไป (คำที่พิมพ์หรือพูด / ภาพหรือสัญญาณเสียง) ปัจจุบันมีหลายมิติและสามารถสัมผัสได้ทั้งหมดจากจุดเริ่มต้น

 𝗛𝗼𝘄𝗶𝘀𝘁𝗵𝗶𝘀𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝗱?

 นี่คือระบบประสาทสัมผัสของเหลวใหม่ของคุณที่เกิดขึ้นซึ่งโครงสร้างสากลที่คุณสัมผัสและหายใจเข้าเป็นสถานะของเหลวที่มีพลังเป็นผลึก

 นี่คือแสงที่อยู่ในสถานะที่สูงขึ้นของความถี่ที่สอดคล้องและสอดคล้องกับสถานะที่ต่ำกว่าของ 'ร่างกายเบา' - เปิดประสบการณ์ความเป็นจริงและการรับรู้ของคุณและล้างการบิดเบือนและการแทรกซึมของจิตใจเพื่อให้ความชัดเจนและมุมมองที่สมดุล

 บ่อยครั้งที่สิ่งนี้เกิดขึ้นมันค่อนข้างแปลกคุณอาจมีประสบการณ์ต่อไปนี้:

 - ความแม่นยำ

 - กระแสจิต

 - สถานะ 'ความฝัน' ที่ชัดเจน

 - วัตถุที่ปรากฏและหายไป

 - การซิงโครไนซ์หลาย ๆ อย่างแม่นยำ

 - การสำแดงทันที

 - งานเงาและความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์

 - ช่วงเวลา 'หมดเวลา' / การสูญเสียเวลาหรือการชะลอเวลา (การโค้งงอ)

 - การรู้ลึกที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องอ่านหรือแสวงหาจากภายนอกหรือยึดมั่นในการรู้ (กระแส)

 - ผู้คนหายไปจากชีวิตหรือสนามของคุณอย่างกะทันหัน

 - คุณถูกมองว่าหายไปจากการรับรู้ของผู้คน - การมองไม่เห็น

 - สิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในสนามการรับรู้ของคุณ

 - โครงสร้างที่สว่างมากในโครงสร้างทางเรขาคณิตหรือสูญเสียการเรนเดอร์ (ความแข็งแรงของพื้นผิว)

 - อาคารหรือโครงสร้างที่หายไปหรือมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะที่ปรากฏในอนาคต / สลิปเวลา

 - โครงสร้างผลึกโครงสร้างแสงและรหัสแสงที่ปรากฏในวัตถุผนังอาคารและภูมิทัศน์

 - การสื่อสารของวัตถุที่ดูเหมือนไม่มีชีวิตและโครงสร้างอินทรีย์

 - คลื่น / สี / แสง / ลูกกลม / lightships และความผิดปกติของภาพที่ปรากฏในสนามของคุณ

 - ถูกเรียกไปยังสถานที่ต่างๆหรือให้ความสนใจกับโครงสร้างความเป็นจริงบางอย่าง

 - 'บางส่วน' ของท้องฟ้าดึงดูดความสนใจของคุณ (ดวงดาวมักจะอยู่ที่นั่นแม้ว่าพวกมันจะถูกบดบังด้วยโครงสร้างชั้นบรรยากาศในเวลากลางวัน)

 - การสูญเสีย 'Solidity' ของพื้น - พื้นจะไม่รู้สึกหรือดูแข็งอีกต่อไป

 - กลัวการหายไปหรือถูกลบ

 - การรับรู้หลาย ๆ ความเป็นจริงในการรับรู้ที่มั่นคงและยึดติด

 - ร่างกายพลังงานรู้สึกใหญ่และเบากว่าร่างกายมาก

 - ซิลิก้าหรือสารคล้ายทรายบนเตียงมีรอยแปลก ๆ บนร่างกาย

 - รู้สึกเหมือนอยู่ใต้น้ำหรือกำลังพัฒนาโครงสร้างคล้ายเหงือกหรือเคลื่อนที่ภายในโครงสร้างของเหลว

 - สามารถรู้สึกถึงความตั้งใจและโปรเจ็กต์ที่ไม่ชัดเจนจากผู้อื่นและในอินพุต SENSORY ทั้งหมด

 - ตระหนักมากขึ้นเกี่ยวกับการคาดการณ์และรูปแบบความคิดของคุณเองโดยไม่รู้ตัว

 - ตระหนักถึงรูปแบบโปรแกรมการหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนสมาธิสิ่งที่แนบมาและนิสัยในทุกระดับ

 - สามารถรู้สึกถึงสนามสากลและสนามกลุ่มโดยไม่รู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณ์หรือโอเวอร์โหลด

 - การตอบสนองทางร่างกายและอารมณ์ต่อสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด - ความรู้สึกที่ต้องการอยู่และยังคงรวบรวมและบูรณาการ

 - ประสบการณ์ทางร่างกายโดยเฉพาะในระบบประสาทสมองตากระดูกสันหลังฝีเย็บอวัยวะเพศมือและเท้าระบบต่อมไร้ท่อหัวใจและลำคอ

 - รู้สึกว่าทุกอย่างสั่นสะเทือน

 - อาการวิงเวียนศีรษะหรือเวียนศีรษะหากคุณสูญเสียความสมบูรณ์ของเสียงสะท้อนหรืออยู่นอกเฟส (รูปทรงแสงของคุณกำลังหมุนออกจากการเชื่อมโยงกัน) - ตอนนี้คุณกำลังยึดแสงของคุณแตกต่างกัน หัวใจเพชรถูกเปิดใช้งาน

 - ไม่มีสิ่งใดแยกออกจากกัน - ขั้วจะสลายไป - เมื่อเมทริกซ์สมองพยายามสร้างมันขึ้นมาใหม่การบิดเบือนจะถูกนำมาสู่ความสนใจ

 - การรับรู้ว่าเมื่อใดที่รูปแบบของมนุษย์ของเหยื่อผู้ช่วยให้รอดฮีโร่ภารกิจผู้พลีชีพแม่พ่อลูกครูผู้สร้างสันตินักเคลื่อนไหวและอื่น ๆ กำลังเล่นอยู่และมีแนวโน้มที่จะเป็นพยานมากกว่าการสูญเสียในการสร้างสรรค์

 - ความสง่างามที่ดุเดือด - การใช่และไม่ใช่ที่มีสุขภาพดีมาถึง ไม่มีอิทธิพลและความพยายามที่จะควบคุมและมีอิทธิพลต่อผู้อื่นอีกต่อไป - มีการเปิดกว้างและยอมรับการมีส่วนร่วมของ mirco / macro

 - ความจริงจังทางวิญญาณสลายไป

 - ความเมตตาและพระคุณเกิดขึ้น

 เราจะลงลึกมากขึ้นในข้อมูลที่แบ่งปันข้างต้นในการถ่ายทอดสดปลายสัปดาห์นี้และแบ่งปันรหัสแสงเพิ่มเติมเพื่อเข้าสู่พื้นที่ Group Diamond Light Healing ในวันศุกร์ นี่เป็นเพียงการแปรงฟันสั้น ๆ ในบางแง่มุมของการเปลี่ยนแปลง - การเปลี่ยนแปลงที่ลึกที่สุดคือการชะลอตัวและนิ่งอยู่ภายใน - ของการรับรู้ว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งในสถานะของเกรซ

 การกลับตัวของ SELFish หรือการบริการเพื่อตนเองซึ่งมีพื้นฐานมาจากการขาดความรักและความต้องการที่ไม่ได้สติ

 ในตัวตนของ Unity ศูนย์จะถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบจักรวาลของ ONE - การตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ทำให้เกิดการสะท้อนความเป็นจริงทั้งหมดและสิ่งที่แนบมาและสิ่งที่แนบมาในสถานะ SELF - สร้างและทำซ้ำอย่างต่อเนื่องจนกว่าขั้วพลังงานจะเป็น ทำให้เป็นกลางกลับสู่สถานะการไหลสากลหรือสถานะของเหลว

 ในร่างกายระบบจักรวาลของเราเราเป็นเหมือนเซลล์เล็ก ๆ ในสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่มีการสั่นสะเทือนแบ่งออกเป็นแสงและเสียงจากนั้นเข้าสู่โครงสร้างทางเรขาคณิตและในที่สุดก็จะกลายเป็นโครงสร้างและแรงของอนุภาคและอะตอม ... แม้ในร่างกายการเต้นรำนี้ก็เป็น การเล่น - หัวใจของคุณคือหัวใจของจักรวาล

 Aquarian Flowing heart ที่ศักดิ์สิทธิ์พบคุณในความเมตตาของคุณ

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10159506799274903&id=543424902

#วิธีทำให้ถึงอรหันต์สั้นที่สุดง่ายที่สุด

เวลานั้นองค์สมเด็จพระทศพลเสด็จมาพอดี
ทรงประทับยืนอยู่เหนือศีรษะด้านหน้า
มีแสงสว่างมาก แล้วท่านตรัส ท่านบอกว่า

"คุณ คนที่ปฏิบัติอยู่แล้วทั้งหมดนี้กำลังใหญ่
คือ เข้าถึงนิพพานทุกคน แต่ทว่าเพื่อความไม่ประมาทให้เขาทำอย่างนี้

วันหนึ่งจะใช้เวลาไหนก็ได้ เวลาที่ใจสบาย
ถ้าเวลาอื่นมันติดงานมากก็เอาเวลานอน
นอนก่อนจะหลับ หรือว่าตื่นใหม่ๆ ใจสบาย
เอาจิตจับนึกถึงท่าน (พระพุทธเจ้า)
ถ้าบุคคลใดไม่ได้ทิพจักขุญาน
ก็นึกภาพเอาเอง กำหนดภาพพระพุทธเจ้า
หรือพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง
ให้เป็นประกาย บังคับจิต ถ้าเห็นเป็นสีเหลือง
ก็บังคับให้เป็นสีแก้วให้ได้ ทำอยู่อย่างนี้
ไม่กี่วันหรอกก็เป็น ให้จิตมันเป็นฌาน
ถ้านึกถึงเมื่อไรก็เห็นพระพุทธเจ้าเป็นสีแก้ว
เป็นประกายทุกวัน"

องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ ท่านบอกว่า
ให้เขาทำอย่างนี้นะ ทุกวันอย่าได้ขาด
วันหนึ่งใช้เวลา ๒ ถึง ๓ นาที ก็ไม่เป็นไร
ฉันไม่จำกัดเวลา ว่าจะใช้เวลานานหรือเร็ว
ถ้าเขาทำอย่างนี้ได้ทุกวัน แล้วก็ทรงอารมณ์
ตามที่บอกไว้ คือ

๑) นึกถึงความตายไว้ อย่าประมาทในชีวิต
๒) เคารพในพระรัตนตรัย
๓) ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์
๔) จิตหวังพระนิพพานอย่างเดียว

ท่านบอกว่าเป็นอย่างนี้ละก็ ถ้าก่อนอายุขัย
ของเขา ๗ วัน ท่านกำหนดให้เลยนะ
ว่าก่อนอายุขัยอีก ๗ วัน ต้องตายแน่อยู่ไม่ได้
ตอนนั้นกระแสจิตของเขาจะเห็นภาพ
ในอากาศเต็มจักรวาล ทั้งพระพุทธเจ้าก็ดี
พระอรหันต์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี
แพรวพราวไปหมด และก็หลังจากนั้นไป
เมื่อกำลังใจของตนจะพ้นกำหนด
ในการทรงสังขาร
สมเด็จพระพิชิตมารบอกว่า
จะเข้าถึงอรหัตผลทันที
________
จากหนังสือ "พระคุณพ่อ" ครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิด
พระราชพรหมยาน หน้า ๑๑๔ คัดลอกโดย
คณะบุญสุประวีณ์
FB : กุลปราการ นันทิกานต์

มนุษย์ มี​ ๗ จำพวก

๑.#มนุสสติรัจฉาโน ทำไมจึงว่ามนุสสติรัจฉาโน
ดูซิ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
คือมันขี้เกียจขี้คร้าน รับอาหารแล้วก็นอน
ไม่รู้จักการกราบ ไม่รู้จักการไหว้ ไม่รู้จักการรักษาศีลภาวนา
ทำบุญให้ทานอะไร เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานน่ะ
มนุษย์เช่นนั้นแหละตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ดูเอาซิ พิจารณาเอาซี ร่างกายเป็นมนุษย์แต่หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน

๒.#มนุสสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่หัวใจเป็นเปรต
มันมีแต่โมโหโทโส อยากฆ่า อยากฟัน
ความทะเยอทะยานดิ้นรน มีพยาบาทอาฆาตจองเวร
ดูซิ ใจมันมีอาฆาต นี่แหละมนุสสเปโต
ร่างกายเป็นมนุษย์ เมื่อดับขันธ์ไปแล้วก็ไปเป็นเปรต

๓.#มนุสสนิรเย ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นนรก
หัวใจเป็นนรก คือมันมืด มันกลุ้มอกกลุ้มใจ ให้ทุกข์ให้ร้อน
ดูเอาซิ นั่นแหละนรก ดับขันธ์ไปแล้วก็ไปนรกซี่
ได้รับความทุกข์ยากความลำบากรำคาญ นี่มนุษย์เช่นนี้
ทีนี้ถ้าไม่ไปเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า
หัวใจต่ำช้า อย่างอธิบายมาแล้ว ต่ำช้ายังไงล่ะ
เป็นใบ้บ้าเสียจริต หูหนวกตาบอด ปากกืด กระจอกงอกง่อย
ขี้ทูดกุฏฐัง ตกระกำลำบาก แน่ะ มนุษย์หัวใจเป็นยังงั้น
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์อีกก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า
ดูซิ ใจเราทุกคน ไม่ว่าพระว่าเณร ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย
เอ้าดู อธิบายให้ฟัง ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเราไม่ต้องการก็เลิกก็ละเสีย
ให้รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักผิดรู้จักถูก รู้จักฟัง อธิบายให้ฟัง

๔.#มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นเทวธิดา เทวบุตร
หัวใจมีทาน มีศีล มีภาวนา รู้จักเคารพนอบน้อม รู้จักกราบรู้จักไหว้
ใจมีหิริโอตตัปปะ ละอายบาป กลัวบาป ใจเบิกบาน ใจสว่างไสว ใจดี
ดับขันธ์ก็ไปเป็นเทวบุตรเทวธิดา เรื่องเป็นอย่างนั้น ดูเอาซิ

๕.#มนุสสพรหมา ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม หัวใจเช่นใด
มีพรหมวิหาร มีพรหมวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่
หัวใจว่างไม่มีอะไร เหมือนกะอากาศนี้แหละ ว่างเปล่าหมด
เหลือแต่อรูปจิต ดับขันธ์ไปเป็นพรหม ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม
อยากรู้ก็ดูเอาซิ ที่อยู่ของเราเป็นอย่างนี้ มนุษย์ทั้งหลาย

๖.#มนุสสอรหัตโต ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระอรหันต์
คือละกิเลส ละตัณหา กิเลสคือใจเศร้าหมอง
ตัณหาคือใจทะเยอทะยานดิ้นรนกระวนกระวาย
ท่านละกิเลสตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา
ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ ละขาดในสันดาน ไม่มีสิ่งเหล่านี้ในจิตใจ
เมื่อดับขันธ์ไปก็เข้าสู่นิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสาร
ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็เป็นแต่มนุษย์ ได้แต่มนุษย์ซิ

เราจึงมาฝึกหัดอบรมบ่มนิสัยของเรา เพ่งเล็งดูซิ
เราอย่าดูอื่น เรานั่งอยู่ก็นั่งดูใจของเรา ไม่ได้ดูดินฟ้าอากาศนะ
ใจของเรามันเป็นอย่างไร เหมือนที่อธิบายให้ฟังไหมล่ะ
มันไม่ดีตรงไหนก็แก้ไขซิ ทีนี้

๗.#มนุสสพุทโธ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี้
ว่าเรื่องภพเรื่องชาติของท่าน บิดามารดาของท่านก็มี
บุตรภรรยาท่านก็มี ท่านเป็นมนุษย์ครือเรานี่แหละ
แต่ท่านประพฤติปฏิบัติ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
เป็นสยัมภู ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ไม่มีบุคคลผู้ใดหรือใครแนะนำพร่ำสอน รู้ด้วยตนเองเป็นสยัมภู
รู้แจ้งแทงตลอดหมดซึ่งสารพัดเญยยะธรรมทั้งหลาย ไม่มีที่ปกปิด
สัตว์ทั้งหลาย ตนของท่าน บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ญาณความรู้ความเห็นในบุพพชาติเบื้องหลัง
เป็นอะไรๆ มา ท่านรู้หมด เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
จุตูปาตญาณ จุติจากนี้ไปอยู่ในภพชาติใด ภพน้อยภพใหญ่ ท่านรู้หมด
คือเหมือนอธิบายให้ฟังนี้ อาสวักขยญาณ สิ้นจากภพจากชาติท่านก็รู้หมด
.
.
พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร​ ณ.วัดป่าอุดมสมพร เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๑๘
.
ที่มาของบทความ: คัดมาจากหนังสือ ๑๐๘ ปีหลวงปู่ฝั้น อาจาโร​ ประวัติ พระธรรมเทศนา และพระอภิธรรมสังคิณีมาติกาบรรยาย​ ธรรมบรรณาการในโอกาสฉลองอุโบสถวัดป่าไชยชุมพล (เสลียงแห้ง) จังหวัดเพชรบูรณ์ พิมพ์ครั้งที่ ๒​ มกราคม พ.ศ​ ๒๕๕๑

วิบากกรรม..เมือง!


เมื่อเราดูมวย..ถ้าเราเชียร์มุมไหน..เราก็ดีใจ เมื่อฝ่ายมุมตรงข้าม ถูกถลุงแตกเลือดออก บางครั้งกองเชียร์ ยังออกท่าทาง ตีเข่า ฟันศอก เชียร์ สะใจ..มันเป็นการสะสมอารมภ์แห่งโทสะ..โดยที่เราไม่รู้.ว่า.ใจเราจะขาดเมตตาแล้ว.

ในชีวิตจริงเช่นกัน...ทุกคน ทุกกลุ่ม ล้วนมีความคิด ความเชื่อ ศรัทธา ที่ต่างกัน...จะให้มาคิด..ปฏิบัติ เหมือนกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้..เราเองก็ไม่ควรไป..ดูแต่ความผิดของคนอื่น ..เพ่งโทษคนอื่น..คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น..ให้มาคิด ทำ เหมือนตน..เพราะหลงว่า..แบบข้าสิถูก..แบบเอง..ผิด..

..ดูคนอื่นให้น้อยๆ..เพื่อสอนตัวเอง...ดูตนเองให้มากๆ..และ แก้ไขตนเอง. อย่าใจร้อน ไปผสมอารมภ์ร่วมของกลุ่มต่างๆ..ที่มีความคิดไม่เหมือนกัน..ใยต้องเลือกข้าง?..เมื่อเลือกข้าง..เราจะมองอีกฝ่ายว่าไม่ใช่พวกเรา..ไม่ใช่กลุ่มคนดีอย่างเรา..บางทีเลยเถิด..มองว่าอีกฝั่ง..เป็นตัวอะไรไม่รู้..ที่เราจะทำลายพวกเขา..ทำให้เขาบาดเจ็บ ล้มตาย มีความทุกข์..ก็สมควรแล้วนี่...

.....การรู้สึกแบบนี้..ทำให้จิตใจเรา ขาดเมตตา ใจเราจะหยาบ.กระด้าง...จะมีกิเลสโทสะในจิตมากขึ้นๆ..
อย่าเพิ่งไป ผสมโรง ด่าทอ วิจารณ์ ด้วยความเมามัน โกรธแค้น..หันมาดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน  ปล่อยวางก่อน
 เมื่อจิตสงบแล้ว  จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น..ด้วยจิตเมตตากรุณา

*...ถ้าเราไปยุ่ง กรรมของผู้อื่น   เราต้องรับภาระกรรมนั้นด้วย  เพราะทุกคนต่างก็มีกรรมของตนอยู่แล้ว หากขาดปัญญา แม้เจตนาดี หากไปทำกรรมที่เป็นโทษ   ก็ยังเป็นโทษอยู่ดี
จิตของเราจักร้อนรุ่ม ไม่สงบ เป็นทุกข์.  

......ทุกอย่างมันมีกรรมของมันเช่นนั้นเอง...เกิดขึ้น ผ่านไป..ใยต้องสร้างกรรมเพิ่มกับเขาด้วย

*... เมื่อเราอยู่ในเมือง หรือ ประเทศ เดียวกัน สิ่งที่ควรทำ หมั่นอุทิศบุญบ่อยๆ..ให้กับเทวดาที่ดูแล..คนเหล่านั้นทั้ง ๒ กลุ่ม ..ให้เทวดามีกำลัง เพื่อดลใจให้คนทั้ง๒ กลุ่ม มีความคิด มีปัญญา มีเมตตา พูดคุยกัน..จนมีทางออกร่วมกัน โดยไม่มีความรุนแรง..

*...และ เราทุกคน ควร อุทิศบุญ แปลงเป็นอาวุธทิพย์ เจาะจง ถวายเป็นอาวุธ...ให้แก่..***..พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และเทวดา บริวารของท่าน

**..ทำเช่นนี้  เทวดาสัมมาทิฏฐิ.. จึงจะมีกำลังในการต่อกรกับฝ่ายมิจฉาทิฐิ  ฝ่ายมาร ที่ส่งกายละเอียด แทรกใจมนุษย์ ทั้ง ๒ กลุ่ม อันทำให้เกิดความรุนแรง ความสูญเสีย แก่บ้านเมือง ..นั่นคือสิ่งที่ทุกคน ควรทำ..และเป็นการสร้างบารมีของเราด้วย


ที่มา
มโนธาตุ โพธิญาณ

กรรม.@.หนีอบายภูมิ

กฎแห่งกรรม คือ..เหตุและผล เป็นกฎของธรรมชาติ ทำสิ่งใด รับผลของกรรมนั้นๆ เสมอ เรียก”วิบาก”

....จะกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ จะดีหรือชั่ว เจตนาหรือไม่ บ้างรับผลในชาตินี้ บ้างรับผลชาติต่อไป บ้างรับผลในชาติต่อไปๆๆๆๆๆ..

“ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้” **

....กรรมส่งผลข้ามภพ ” จะตัดสินกันช่วงเวลาก่อนตายว่า จิตขณะนั้นเป็นอย่างไร

*. ถ้าจิตใส ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เพราะจิตจับบุญกุศล
*.. ถ้าจิตหมองมัว ไปอบาย เพราะจิตจับบาปอกุศล
*..ถ้าจิตใสนิ่ง ไปพรหม อรูปพรหม
*..ถ้าจิตประกายพรึกเต็มดวง ไปนิพพาน เพราะจิตบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ

เรา ชาวพุทธควรมีศรัทธา 4 อย่างคือ

1. เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
2. เชื่อเรื่องกรรมมีจริง
3. เชื่อผลของกรรม
4. เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน

** บุคคลใด ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด คนพวกนี้ จะหลงทำกรรมชั่วทั้งกาย วาจา และใจ ได้ง่าย
 
  ***..ผู้ที่จะเข้าใจกรรมได้ถูกต้อง.. จะต้องเป็นผู้บรรลุพระโสดาบันเป็นอย่างน้อย หากเป็นท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิจะต้องเป็นผู้ที่ทรงอารมณ์ของพระอริยเจ้าได้ (ต้องเรียนรู้วิปัสสนาญาณ)

***เมื่อเรา ยังไม่เข้าถึงพระอริยะ เราจึงควรเร่งสร้างบารมี ทั้งบุญหยาบบุญละเอียด ทาน ศีล ภาวนา เอาให้หมด ให้จิตบันทึกกุศลแน่นๆ..และ..ทรงอารมณ์พระอริยเจ้าไว้ เพื่อปิดอบาย .ในชาตินี้


ที่มา
มโนธาตุ โพธิญาณ

25 พฤศจิกายน 2563

Pleiadian Light Ships Transmission: ขยายตารางแสงแองเจิลไปทั่วโลก


 Pleiadians เป็นญาติของเราจากระบบดาวเคราะห์อื่น  พวกเขาเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของเรา  พวกเขาเป็นกลุ่มที่ประกอบด้วยเผ่าพันธุ์ต่างๆที่อยู่ในระบบดาวลูกไก่  พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเราในขั้นตอนวิวัฒนาการของเราไปสู่แสงคู่ที่สูงขึ้น

 ยานอวกาศ Pleiadian อยู่รอบโลกของเราในขณะนี้พร้อมกับเรือจากระบบอื่น ๆ  เรือรบเหล่านี้ไม่ใช่เรือมิติที่ 3 เนื่องจากมีอยู่ในมิติที่ 4  เมล็ดพันธุ์สตาร์ซีดจำนวนมากที่จุติบนโลกมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มดาวลูกไก่

 ในการส่งสัญญาณนี้มีความเชื่อมโยงส่วนตัวกับเรือ Pleiadian Ligth และสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นสู่สวรรค์  ตามมาด้วยการรักษาโลกที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมโบราณของ Lemuria, Atlantis และ Antartica

การวิจารณ์คือการควบคุมพฤติกรรม

 คน 3D มักจะวิพากษ์วิจารณ์กันคุณเห็นเด็กแห่งแสงสว่างคนที่ตื่นแล้วส่วนใหญ่เป็นเพราะขาดความเข้าใจหรือขาดประสบการณ์ส่วนตัว

 การขาดความเข้าใจหลายครั้งส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่น่ากลัวซึ่งนำไปสู่การเยาะเย้ยและการโจมตีอย่างก้าวร้าวต่อผู้คนหลายมิติหรือปลุกให้ตื่น  สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าการวิพากษ์วิจารณ์และกลวิธีการข่มขู่เป็นรูปแบบของการกลั่นแกล้งที่ผู้ใช้ 3D ใช้ต้นแบบคอนโทรลเลอร์  อย่างไรก็ตามในกรณีส่วนใหญ่เกิดจากการจัดการ NAA การฉายแสงและ / หรือการควบคุมจิตใจที่ใช้โดยพลังมืดซึ่งใช้ประโยชน์จากการที่บุคคลไม่สามารถรับรู้ถึงพลังงานใด ๆ ในการทำงานที่จัดการกับพวกมัน  ในขณะที่ความสับสนวุ่นวายที่เกิดจากการขึ้นสู่ดาวเคราะห์เร่งขึ้นหลายคนจึงได้รับอิทธิพลจากพลังด้านลบที่พวกเขาไม่เข้าใจ  พลังเชิงลบเหล่านี้บางส่วนมาจากผู้คนเป็นเจ้าของเลเยอร์ 3 มิติของจิตที่ไม่รู้สึกตัวและอัตตาเชิงลบซึ่งได้รับการเสริมสร้างนิสัยและพฤติกรรมเชิงลบตลอดชีวิต  เมื่อผู้คนรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่มั่นใจในตัวเองพวกเขาจะหันไปวิพากษ์วิจารณ์ควบคุมและจัดการกับพฤติกรรมได้อย่างง่ายดาย

  การให้ความรู้ตนเองเกี่ยวกับพฤติกรรมนี้เป็นประโยชน์เพื่อปกป้องตนเองและสร้างขอบเขตที่ดีต่อสุขภาพที่จำเป็น  คนที่ใช้ 3D จะมีแนวโน้มไปที่พฤติกรรม Service to Self ที่แสดงออกมาในต้นแบบของ Controller  ดังนั้นการควบคุมผู้คนมักจะถือว่าความต้องการความปรารถนาความต้องการและจุดประสงค์ของพวกเขานั้นสำคัญกว่าสิ่งที่คุณเป็นอยู่เสมอ  หลายครั้งพวกเขาจะปรับเปลี่ยนสถานการณ์เพื่อปฏิเสธประสบการณ์หรือการรับรู้ถึงความเป็นจริงของคุณเพื่อสนับสนุนวาระของพวกเขาเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ  ไม่ว่าคุณจะทำอะไรหรือรับผิดชอบอะไรพวกเขายืนยันว่าคุณต้องให้ความสำคัญกับพวกเขาและปัญหาของพวกเขาโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นกับคุณ  ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมพฤติกรรมคือมันมักจะนำไปสู่รูปแบบของการจัดการทางจิตใจหรืออารมณ์ที่ส่งเสริมการหลอกลวงและการโกหก  ความจำเป็นในการยืนยันการควบคุมผู้อื่นนำไปสู่ระดับของรูปแบบการจัดการที่ไม่หยุดหย่อน

 การหลอกลวงผู้อื่นนำไปสู่การหลอกลวงและการโกหกที่แตกต่างกันไป  สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะเชิงลบที่คน 3D ใช้กันโดยทั่วไปซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขากำลังจัดการบางสิ่งบางอย่างหรือบางคนเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัวของพวกเขาเกือบตลอดเวลา  คน 3 มิติพูดสิ่งหนึ่งและทำอีกสิ่งหนึ่งและไม่ตระหนักว่าพวกเขามีพฤติกรรมที่แตกแยกเพราะพวกเขาต้องคิดซ้ำซ้อนและพูดซ้ำสอง  มีความเห็นอกเห็นใจผู้คน 3 มิติที่ทุกข์ทรมานจากพฤติกรรมเชิงลบเหล่านี้ แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองถูกควบคุมโดยพวกเขา

 การควบคุม + การจัดการ = การหลอกลวง / การโกหก

 ไม่มีส่วนใดของสมการนี้ที่สามารถยินยอมพร้อมกับกองกำลัง Krystic หรือวิญญาณเทพเจ้าได้ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนที่มีดวงดาวและผู้มีหลายมิติที่จะต้องควบคุมตนเอง

 การละลายบุคลิกภาพ 3D

 สถานีอวตารของตัวตนของเราซึ่งเป็นเมทริกซ์บุคลิกภาพของเราในโลก 3 มิติซึ่งเป็นแง่มุมที่เต็มไปด้วยความถี่สามมิติที่ต่ำกว่ากำลังค่อยๆเลือนหายไปสำหรับบางคนในช่วงเวลานี้  สิ่งนี้เท่ากับการสลายตัวของเมทริกซ์บุคลิกภาพหรือสถานีแห่งอัตลักษณ์ของเราที่อยู่ในสามมิติที่ต่ำกว่าและย้ายลักษณะของตัวตนนั้นไปสู่ย่านความถี่ที่สูงขึ้นของเมทริกซ์วิญญาณของเราหรือสถานีอัตลักษณ์ที่สูงขึ้น  จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้คนบนโลกที่เชื่อว่าพวกเขาเป็นเพียงเอกลักษณ์บุคลิกภาพ 3 มิติของพวกเขาเมื่อมันเริ่มสูญสลาย?  เราสามารถเห็นผลกระทบบางอย่างของการแยกส่วนของบุคลิกภาพ 3 มิติและการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ในขอบเขตระดับโลก  ประสบการณ์ที่หลากหลายสำหรับบางคนมาจากความรู้สึกวิตกกังวลความเครียดและความสับสนทางจิตใจไปจนถึงขั้นคลุ้มคลั่งและพฤติกรรมบ้าๆ

 คน 3D ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าพวกเขาสูญเสียความเชื่อมโยงในวิธีคิดและประมวลผลความเป็นจริงเนื่องจากความคิดของพวกเขาแยกส่วนมากขึ้นผ่านระบบความเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของการคิดสองครั้งและการพูดสองครั้ง  Doublethink เป็นการกระทำของการยอมรับสองความเชื่อที่ขัดแย้งซึ่งกันและกันในเวลาเดียวกันว่าถูกต้องมักจะอยู่ในบริบททางสังคมที่แตกต่างกัน  Doublethink เกิดจากการขาดความตระหนักถึงการคิดแบบแยกส่วนหรือความไม่ลงรอยกันทางความคิดดังนั้นบุคคลนั้นจึงไม่ทราบถึงความขัดแย้งหรือความขัดแย้งในความคิดหรือการกระทำของตนเมื่อพวกเขาขัดแย้งกัน  เทคนิคการปรับแต่ง Doublethink และ Gaslighting เป็นวิถีชีวิตในจิตสำนึก 3 มิติในปัจจุบัน  ผลกระทบเชิงลบสะสมของการปฏิเสธความจริงและการปฏิเสธตัวตนที่แท้จริงอย่างต่อเนื่องได้แสดงให้เห็นความบอบช้ำทางจิตใจและอารมณ์สำหรับทุกคนบนโลก

 เนื้อหามิติที่ต่ำกว่าที่มีอยู่ในเขตสำนึกร่วมของดาวเคราะห์กำลังอยู่ระหว่างการกำหนดค่าใหม่ครั้งใหญ่และการเปลี่ยนแปลงอย่างมีพลังในความเป็นจริง 3 มิตินี้ได้ถึงมวลวิกฤตซึ่งหมายความว่ามันส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้คนทั้งหมดในโลก  ไม่ว่าจะเป็นบุคคล 3 มิติหรือบุคคลหลายมิติที่ตื่นขึ้นมาความเชี่ยวชาญในตนเองที่สูญเสียหรือได้รับนั้นวัดได้จากวิธีที่คุณจัดการกับความเครียดและความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นบนโลกเป็นการส่วนตัว  ไม่มีใครบนโลกนี้ได้รับการยกเว้นจากการสัมผัสกับความสับสนวุ่นวายความสับสนและความมืดที่มีอยู่ในจิตไร้สำนึกของมนุษยชาติโดยรวม

 ในช่วงเวลานี้ความสมบูรณ์ของพลังภายในของเราได้รับการทดสอบเพื่อรักษาความเป็นกลางในขณะที่เผชิญกับพลังแห่งความโกลาหลครั้งใหญ่  สิ่งนี้กำลังได้รับการทดสอบในทุก ๆ คนเพียงจากความจริงที่ว่าอยู่บนโลกในเวลานี้  เราสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและยึดมั่นในความเป็นกลางได้ดีเพียงใดในทุกสถานการณ์ที่ตึงเครียด  เราต้องวัดระดับความสามารถของเราตอนนี้  หากเราปรับตัวได้ไม่ดีความยืดหยุ่นและความเป็นกลางในสถานการณ์ชีวิตของเราเราต้องปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยชุดทักษะนี้  นี่เป็นเวลาที่จะจับตาดูว่าเรารับมือกับความบ้าคลั่งของโลกได้ดีเพียงใดในขณะที่จิตรวมของมนุษยชาติเดินทางไปในค่ำคืนแห่งความมืดมิดของวิญญาณ

 สิ่งนี้ใช้อะไรและสิ่งที่ถูกถามจากเรา?  ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพของความคิดพฤติกรรมการกระทำของตนเนื่องจากจิตสำนึกทั้งหมดที่สร้างขึ้นมีเหตุและผลโดยตรงเนื่องจากวัฏจักรการขึ้นสู่สวรรค์กำลังเข้มข้นขึ้นเราจึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเคลื่อนออกจากจิตสำนึก 3 มิติอย่างสม่ำเสมอ  และจากการป้อนพลังงาน 3 มิติเหล่านั้นโดยการระบุและล้างสามชั้นของอัตตาเชิงลบที่ทำงานในฟิลด์มิติที่ต่ำกว่า  การล้างอัตตาเชิงลบเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปรับให้เข้ากับระยะเวลาที่เปลี่ยนไปและเพื่อช่วยรักษาความเชื่อมโยงและความมีสติ  มีความจำเป็นที่จะต้องจัดการกับความขัดแย้งที่ไม่ได้รับการแก้ไขซึ่งสร้างความวิตกกังวลในจิตใจอารมณ์และร่างกายของเราและใช้เครื่องมือการเคลียร์และการบำบัดที่แทนที่วิธีคิดเดิมของเราด้วยความเป็นกลางความรักและสันติ

 KRYSTALINKS!ิ

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=203293494666054&id=103958524599552

ความเห็นผิด ..ช่างน่ากลัว

 

        การเห็น ที่ผิดแผกไปจากความเป็นจริง เรียก “ นิยตมิจฉาทิฏฐิ” มี๓ ประการ คือ

๑. ความเห็นผิด ๑๐ อย่าง  

    - การให้ทาน,การบูชา,ทำดีทำชั่ว ,การต้อนรับ (ไม่ได้รับผลแต่อย่างใด)
  - ผู้มาเกิดในภพนี้,ภพหน้า,คุณบิดา,คุณมารดา,สัตว์นรก เปรต เทวดา พรหม,ผู้รู้แจ้ง พระอริยะ (ไม่มี)
 
๒. ความเห็น"ปฏิเสธเหตุ"ไม่เชื่อว่ากรรมดี หรือกรรมชั่ว 

๓. ความเห็นว่า การทำดี ทำชั่วของสัตว์ทั้งหลาย ไม่ได้ชื่อว่า เป็นบุญ บาป

 **...นิยตมิจฉาทิฏฐินี้ เป็นความเห็นผิด สามารถส่งผล ให้เกิดใน"นิรยภูมิ"   

  **.."มิจฉาทิฏฐิ" ความหลงผิดอย่างแรงกล้า ว่านรกสวรรค์บุญบาปไม่มี ..จึงก่อกรรมชั่ว..โดยไม่ยับยั้งชั่งใจ ..เป็นเหตุให้ไปเกิดในโลกันตนรก ..หรือเผยแพร่ความเห็นผิดออกไปในวงกว้าง และมีผู้ให้ความเชื่อถือ บอกว่า สวรรค์ไม่มี นรกไม่มี บาปไม่มีผล บุญไม่มีผล 

 
**..แม้ว่าอนันตริยกรรมที่หนักที่สุด เช่น ฆ่าพ่อ หรือ ฆ่าแม่ จะนำไปเกิดในนรกแล้ว กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มักไม่ได้ทำอนันตริยกรรมซ้ำๆอีก แต่ความเห็นผิดนั้นยากนัก...ที่จะเปลี่ยนความคิดให้เป็นเห็นถูกได้..

.... แม้จะเกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา ..ความเห็นผิดก็ยังติดตามตัวไป ..ดังนั้น จึงขึ้นๆลงๆ นรก ครั้งแล้วครั้งเล่า

ที่มา 
มโนธาตุ โพธิญาณ

เข้าใจพระพุทธศาสนาภายใน 10 นาที

1. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ?  
อริยสัจ 4 คือ 
ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ 
สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ 
นิโรธ คือความดับทุกข์ 
มรรค คือข้อปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ 

2. พระพุทธเจ้าทรงสอน
เรื่องอะไร ? 
ทุกข์กับการดับทุกข์ 

3. ภาพรวมของพระพุทธศาสนา .... มีดังนี้ 
3.1 ให้มองโลกตามความ
เป็นจริง (จริงขั้นสมมุติ=สมมุติสัจจ์, 
จริงแท้=ปรมัตถสัจจ์) อาทิ
ตัวเรามีอยู่ แต่หาใช่ตัวตน
ที่แท้จริงไม่ 

3.2 ให้ถือทางสายกลาง
ทางตึง (ทรมานกายให้ลำบาก) ก็ดี, ทางหย่อน (ฟุ้งเฟ้อหลงใหล มัวเมา) ก็ดี, มิใช่แนวทางของพระพุทธศาสนา 
แนวทางของพระพุทธศาสนา คือ มรรคมีองค์ 8 ทางสายกลางพอดี ๆ 

3.3 ให้พึ่งตนเอง
มิใช่พึ่งเทวดา โชคชะตาราศี หรือ ดวงดาว ฤกษ์ยาม 

3.4 ไสยศาสตร์ การบนบานศาลกล่าว อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การดูฤกษ์ยาม การเจิม ฯลฯ มิใช่พุทธศาสนา 

3.5 สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) มิใช่เกิดขึ้นเองลอย ๆ หรือพรหมลิขิต การจะดับทุกข์ได้ต้องดับที่เหตุ 

3.6 โอวาทที่เป็นหลักเป็นประธาน (โอวาทปาฏิโมกข์) คือ ให้ละชั่ว ทำกุศลให้ถึงพร้อม และทำจิตให้บริสุทธิ์ 

3.7 สิ่งทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา
แม้พระนิพพาน ก็เป็นอนัตตาเช่นกัน หาใช่อัตตาตัวตนไม่ 

3.8 ให้เชื่อในหลักธรรม คือ ทำดี-ได้ดี, ทำชั่ว-ได้ชั่ว
ให้ทำตนอยู่เหนือดี เหนือชั่วนั่นแหละ จึงจะพบนิพพาน (คือเหนือกรรม) 

3.9 จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือนิพพาน (ได้แก่สภาวะจิตที่สงบเย็น ปราศจากทุกข์) 

3.10 สรุปธรรมทั้งปวง รวมลงในเรื่องเดียว คือ “ความไม่ประมาท” 

4. การศึกษาธรรมะ 2 สมัย 
4.1 สมัยปัจจุบัน คือ รู้จัก กับ รู้จำ .... อาศัยการฟัง อ่านค้นคว้า จึงมีความรู้อยู่ในสมองและในสมุด พูดธรรมะได้คล่องแต่ปฏิบัติไม่ค่อยได้ จึงได้ผลน้อย 
4.2 สมัยพุทธกาล คือ รู้แจ้ง ... โดยเมื่อฟังและจำแล้ว ก็จะลงมือปฏิบัติ ทำจริงในขณะนั้นทันที ทำให้เกิดผลเป็นความรู้แจ้งเรื่องชีวิต ดับทุกข์ในขณะนั้นทันที

5. วิธีศึกษาพระพุทธศาสนา 
เมื่อแรกพุทธปรินิพานนั้น สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งให้ถือเอาเป็นศาสดาแทนพระองค์ มีเพียง 2 คือ ธรรมและวินัย
หลังจากนั้นมา 300 ปี จึงเกิดมีพระไตรปิฎกขึ้น (สุตตันตปิฎก วินัยปิฎก และอภิธรรมปิฎก) ..... บัดนี้ล่วงกาลมาถึง 2500 กว่าปี คำสอนเดิม ขั้นปรมัตถ์ค่อย ๆ หายไป หมดไป เกิดมีคำสอนใหม่ ๆ เป็นพุทธศาสนาเนื้องอกจับใส่พระโอษฐ์ ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก 
ดังนั้นในการศึกษาพระพุทธศาสนาพึงอาศัยหลักดังนี้
– ด้านปริยัติ (ความรู้เนื้อหา) 
ให้อ่าน ฟัง คิด วิจัย ให้เข้าใจคือให้ปฏิบัติได้จริง .... หากสงสัย ให้อาศัยหลักกาลามสูตรเข้าพิจารณาตัดสิน มิใช่เชื่อไปเสียหมด 
– ด้านปฏิบัติ 
การปฏิบัติทุกอย่างของพระพุทธศาสนาไม่ว่าการทำทาน รักษาศีล ภาวนา พระพุทธองค์ทรงสอนให้ ทำเพื่อ “ละกิเลส” มิใช่เพื่อเอา หวังได้นั่นได้นี่ อันทำให้ยิ่งเพิ่ม โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งหาใช่พุทธศาสนาไม่  
ทุกวันนี้ไหว้เพื่อเอา เพื่อขอ ทำบุญเพื่อเอาสวรรค์ นิพพาน หวังผลทั้งชาตินี้ชาติหน้า ซึ่งจะกลายเป็นพอกกิเลสยาวนาน 
– ด้านปฏิเวธ (ผล) 
ทำเพื่อละ จะพบนิพพาน (จิตบริสุทธิ์ มีความสะอาด สว่าง สงบ) แต่ถ้าทำเพื่อเอา จะพบกิเลสในตนพอกพูนยิ่งขึ้น ๆ ยาวนาน และยิ่งมีทุกข์มาก .... ดังนั้น จงมุ่งปฏิบัติเพื่อห่างไกลทุกข์โดยส่วนเดียว ให้ได้เห็นผลด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก) 

6. จะศึกษาพุทธศาสนาได้
ที่ไหน ? 
ให้ศึกษาในร่างกายของเราเองนี้ ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิใช่จะต้องศึกษากับพระ และในวัดวาอารามเท่านั้น 
จึงควรศึกษาตนเอง อย่ามัวแต่ศึกษานอกตัว หรือมัวติดอยู่แค่พิธีกรรม หรือได้แต่ทำตาม ๆ เขาไป จะเสียทีที่ได้มีโอกาสเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้ลิ้มรสแค่เปลือกกระพี้ มิได้ชิมรสอันเป็นเนื้อใน อันได้แก่ธรรมรสของความเย็นอกเย็นใจ (นิพพาน) 

7. เหตุแห่งทุกข์และ
การดับทุกข์ 
เหตุเกิดจากอุปทาน คือ การเข้าไปยึดถือว่า นี่คือ 
ตัวตนของเรา นี่ของๆ เรา
การดับ โดยละอุปทานเสีย 
(โดยพยายามปฏิบัติให้ “เห็นอนัตตา”) จะโดยบังคับจิตเป็นสมาธิ (เจโตวิมุตติ) หรือโดยพิจารณาธรรมด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) ก็ได้ 

8. พุทธพจน์ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” 
คำว่า “เห็นธรรม” คือ เห็นปฏิจจสมุปบาท คือ วงจรที่ทุกข์เกิด และดับ โดยเริ่มต้นจากอวิชชา จนเกิดทุกข์ 

9.จุดหมายสูงสุดของ
พระพุทธศาสนา คือ นิพพาน 
(สภาวะจิตที่สงบเย็น)
ปราศจากกิเลส เครื่องร้อยรัดทั้งปวง (ชาวบ้านพูดว่า เย็นอก เย็นใจ) หาพบได้ที่ใจตัวเอง 

10. สรุป ... ทุกข์เกิดขึ้นที่จิต พึงรักษาจิตให้เป็นประภัสสรไว้เสมอ ระวังการกระทบ (ผัสสะ) ทางตา หู ฯลฯ ให้ดี มีสติรู้ทันว่า…เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยิน อย่าให้เวทนา ตัณหา เกิดได้ แล้วท่านจะพบความสงบเย็นตลอดเวลา 
ความทุกข์เกิดขึ้นที่จิต เพราะเห็นผิดเมื่อผัสสะ ... ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่เมื่อผัสสะ ... ความทุกข์เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ

..... (จากธรรมสมโภช 80 ปี พุทธทาสภิกขุ) .....

เราจะรู้ได้ยังไงล่ะคะว่าบารมีเราเต็มแล้ว

ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ ในขณะที่เราเจริญกรรมฐานหรือเจริญภาวนาเนี่ยะ แล้วเราจะแผ่เมตตา การที่เราอ้างถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์เนี้ยะค่ะ จะทำให้เราแผ่เมตตาหรืออุทิศบุญกุศลนั้นได้ดีกว่าเราไม่อ้างถึงคุณพระรัตนตรัยหรือเปล่าคะ ผู้รับที่เราแผ่ไปถึงเค้าจะได้รับได้ดีกว่าที่เราไม่ได้อ้างถึงคุณพระศรีรัตนตรัยหรือเปล่าเจ้าคะ

หลวงปู่ : มันมีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าจิตโยมตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมแล้ว..โยมก็ต้องอ้างในกุศลผลบุญของโยม แต่ผลบุญของโยมนั้นถ้าจิตโยมยังไม่ตั้งมั่น โยมก็ต้องอ้างคุณพระรัตนตรัยขึ้นมา ทีนี้โยมจิตใจตั้งมั่นแล้วก็หาความจำเป็นไม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อยู่ที่ว่าสภาวะจิตโยมนั้นเกิดขึ้นในขณะนั้นเป็นสภาวะอารมณ์แบบใด 

ถ้าบารมีเราเต็มแล้วเราก็ไม่ต้องอาศัย แต่ถ้าบารมีเรายังไม่ถึงเราก็ต้องอาศัย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าเราทำอยู่เป็นนิตย์แล้ว เรียกอาศัยอยู่ตลอดเวลา เค้าเรียกว่ามีความเคยชินก็หาว่าเป็นอะไรไม่

อยากให้โยมเข้าใจอย่างหนึ่งว่า เมื่อจิตเรามีความตั้งมั่นในพระรัตนตรัยนั้นแล ในกุศลในศีลนั้นแล เค้าเรียกพระรัตนตรัยได้บังเกิด นั้นการสำรวมกายวาจาใจ..พระรัตนตรัยก็บังเกิด ณ ที่แห่งนั้น แต่การกล่าวอ้างนั่นเพื่อให้เราระลึกถึง ให้จิตใจมันมีกำลังมากยิ่งขึ้นอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ จิตมันก็จะเรียกว่าตั้งมั่น มีกำลังส่งตรง เค้าเรียกว่าส่งไปได้ไกล 

ลูกศิษย์ : แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะคะว่าบารมีเราเต็มแล้ว 
หลวงปู่ : ไม่ยากหรอกจ้ะ โยมมีความเชื่อมั่นในศีลแค่ไหนเล่าจ๊ะ เชื่อในพระพุทธมากแค่ไหน ในพระธรรม ในพระสงฆ์ โยมมีความสงสัยในธรรมมากแค่ไหน ถ้าโยมสิ้นสงสัยแล้ว บารมีโยมก็เต็ม เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะโยมจะไม่รั้งรออะไรอีกต่อไป จะไม่มีข้อแม้ คนที่ยังมีข้อแม้อยู่นั่นเค้าเรียกว่ายังมีความสงสัย ยังไม่แน่นอน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

แต่เมื่อคนสิ้นสงสัยทุกอย่างแล้ว มีกระแสพระนิพพานเป็นที่หมายแล้ว มีความตายเป็นที่ตั้งแล้ว จะเอากายสังขารที่มีลมหายใจอยู่นี้ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอย่างเดียวนี้แล เค้าเรียกว่าบารมีมันเต็ม เต็มมันก็อยู่ไม่ได้แล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ จะมีจิตที่แน่วแน่ เดินตามครูบาอาจารย์อย่างเดียว..นี่เค้าเรียกมันเต็ม

ถ้าคนไม่เต็มนี่เค้าเรียกว่าอย่างตรงกันข้ามนั่นแหล่ะจ้ะ คนเต็มกับคนไม่เต็มน่ะ..แล้วก็เกิน ไอ้ไม่เต็มนี่เค้าเรียกว่าในอดีต เต็มนี่คือเต็มในปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้มันเต็ม ถ้าเกินเป็นอนาคตคือจิตมันฟุ้ง มันชอบคิดปรุงแต่ง..ไปโน่นแล้ว นั่งภาวนาพุทโธ อ้าว..พุทโธหายไป เกินนี่ทำยังไง เกินจะแก้ยังไง (ลูกศิษย์ : กลับมาอยู่ที่ลมหายใจอีกครั้งนึง) เกินเราก็ต้องเจริญสติกลับมาสิจ๊ะ สติโยมหลุดไปแล้วนอกโลกแล้ว โยมก็ต้องกลับมาก่อน ให้รู้ว่าในขณะนี้เราอยู่ในโลกมนุษย์อยู่ 

ไอ้พวกเกินนี่ชอบระลึกชาติ ชอบมีฤทธิ์มีเดชอยากระลึกชาติ มันต้องดึงจิตเข้ามาปัจจุบัน อยู่ในภพภูมิของการเกิดเป็นมนุษย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่มันจะทำให้เต็มได้ในภพปัจจุบัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไอ้พวกเกินๆนี่พวกหลงอดีตหรือไปอยู่ในอนาคต ที่ไม่เต็มก็เพราะไปยึดติดอยู่ในอดีต..ไม่เต็ม ไอ้พวกเกินก็..นี่ชอบไปยึดถือในอนาคต ตรงข้ามในปัจจุบันแล้วมันจะเต็มได้ยังไงจ๊ะ ทำให้มันเต็ม 
ให้รู้ว่าเราบ้าอย่างไร ดูในปัจจุบันในอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น ความบ้ามันคืออะไร ความบ้าคือความไม่สงบของจิตเวลาที่มันฟุ้ง เค้าเรียกว่าบ้าคลั่งเหมือนอารมณ์น่ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เค้าเรียกว่าความบ้า

ถ้าเรานั่งแล้วจิตเราไม่สงบ ทำยังไงก็ไม่สงบ..อย่าไปนั่ง ให้ไปเดินซะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อันที่สองถ้ายังไม่สงบ..อย่าเพิ่งหลับตา ให้ลืมตาไว้ นั่งทอดพระเนตรไปอยู่เบื้องหน้าไม่ต้องเกินวา ดูไป ทอดอารมณ์ไปก่อน ดูซิมันจะสงบตอนไหน แล้วขณะที่เราทอดอยู่อารมณ์ที่เราหลับไปแล้วอารมณ์นั้นยังไม่ดับ เอาอารมณ์นั่นแหล่ะมาทอด..ทอดยังไง คือเพ่งดูในอารมณ์นั้นแต่ไม่ต้องหลับตา

เพราะถ้าโยมหลับตาลงไปแล้วทอดไป ทีนี้โยมจะจินตนาการเข้าไปอีก อ๋อ..มันทอดแบบนี้ ทอดอย่างนี้ มันก็จะไปเรื่อยทีนี้ แต่ถ้าโยมลืมตามาอยู่ในสภาวะความเป็นจริง แม้บางทีนำอารมณ์มาวิตกวิจารมาทอดอยู่อย่างนั้นน่ะ..มันจะดับของมันเอง เพราะเมื่อจิตมันตกภวังค์ พอจิตมันตกภวังค์เรากำหนดลมเข้าไปเลยทีนี้ เอาสติเข้าไปในภวังค์นั้น 

แต่ในภวังค์ที่มนุษย์มันชอบเข้าไปเพราะมันขาดสติ แต่ถ้าโยมเอาสติเข้าไปกำหนดรู้ในภวังค์ มันจะมีเรียกว่าเป็นฌาน เจริญฌาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมนั่งแล้วหลับไม่มีสติแต่มันสงบ อันนี้เค้าเรียกว่าทรงฌาน ทรงบ่อยๆทีนี้จะหลับ ประคองจนมากเกินไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ทีนี้โยมต้องใช้วิชานี้ให้เป็นประโยชน์ โยมต้องเพ่งอารมณ์ ถ้าโยมเพ่งอารมณ์แล้วมันจะไม่หลับ มันจะไม่ตกภวังค์ เพราะว่าจิตเรามีการงาน เค้าเรียกว่าระลึกถึงการสิ่งใดแล้ว ให้น้อมจิตเข้าไป..ไตรลักษณญาณเข้าไป เค้าเรียกน้อมจิตเข้าไปสู่การพิจารณา สู่การระลึกแล้วทำให้นั้นเรารู้สึกสลดหดหู่สังเวชใจในการเกิดนั้นแล..เรียกว่ากรรมฐาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ 

ถ้าเราไปสัมผัสอารมณ์ใดพิจารณาอารมณ์ใดแล้วไปพึงพอใจ..เค้าเรียกว่ากามคุณ เมื่อเราไประลึกหน้าไม่ชอบหน้าใครโทสะก็บังเกิดขึ้นอีกทีนี้ เค้าเรียกว่าเกิดเวรพยาบาทเกิดขึ้น ในห้วงของจิตนั้นเราต้องทำยังไง..ต้องละอารมณ์นั้นลงไปให้ได้ นี่เค้าเรียกว่าตัดกรรมต้องตัดที่ใจ 

คือใจนี้เป็นตัวคิด..ตัวคิดและระลึกถึงเพราะมีสัญญาเก่า สัญญาเก่าตัวนี้ที่มันยังไม่หมดไป เราไปสัญญาอะไรกับใครไว้ เราไปผูกอะไรไว้ นี่เรียกว่าสัญญา เราต้องไปตัดไปแก้มันออกมา ไปแก้ตอนที่เราเจริญสติ เมื่อเจริญมากๆ เจริญมากๆ สัญญามันจะขึ้นมามาก มันขุดขึ้นมามากเลย จำได้หมด มันขึ้นมาทั้งนั้นไอ้สัญญาพวกนี้..ดับมันออกไปให้หมด แก้มันออกมาที่เราผูกไว้ผูกไว้ ผูกคือที่เราไปยึด..เค้าเรียกว่าผูก 

บางคนไม่ผูกยังมัดด้วย นี่ของกู จะตายแล้วยังของกู..นี่เค้าเรียกว่ามัดด้วย ทำไมถึงเรียกว่ามัด ก็ตอนขณะจิตจะตายมีความอาฆาตแค้นไว้ นั่นเค้าเรียกว่ามัดตราสังข์ไว้ ตรึงจิต เมื่อตรึงจิตทีนี้ไปไหนไม่ได้ วนเวียนเกิดมาก็ตามหาอย่างเดียวเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ 

ที่นี้กรรมฐานเค้าจึงว่าแก้ที่ต้นเหตุที่สุดแล้ว เราเจริญสติมากๆ เจริญมากสติมีกำลังมาก สติมันเลยหยั่งรู้ในภพ ทำเจริญภพปัจจุบันอยู่บ่อยๆ..มันจะซ้อนภพซ้อนภพซ้อนภพ ทีนี้ภพไม่รู้กี่ภพคืออารมณ์ที่เกิดขึ้นนั่นแหล่ะจ้ะ คือมโนภาพมโนจิตมันเกิดขึ้นมานี่ ให้เรากำหนดรู้แต่อย่าไปปรุงแต่ง 

เมื่อไปรุงแต่งภพมันไม่จบหรอกทีนี้ เราต้องดับภพดับอารมณ์ รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง ถ้าอันไหนคือรู้แล้วยังวางไม่ได้ แสดงว่าเหตุมันกำลังจะเกิดขึ้นในปัจจุบันแห่งภพ ต้องทำอย่างไร..ให้มีสติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็คือแก้ในปัจจุบัน นี่สิ่งเหล่านี้โยมต้องเจริญให้มาก คือการเจริญสติคือตัวรู้ เจริญเพื่อให้มันรู้ ไม่ใช่รู้แล้วไปยึด..นั่นเรียกไม่รู้จริง ไอ้นั่นเค้าเรียกว่าเกิน เกินนี่มันมาจากไหน..มันมาจากขาด ขาดมันมากจากไหน..เค้าเรียกว่าศีลมันบกพร่องไงจ๊ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒

24 พฤศจิกายน 2563

การปรามาสพระ บาปหนัก ระวังไปนรก ไม่รู้จริง คิดได้แต่อย่าพูด

"การกระทำความชั่วบางอย่าง เป็นบาปมหันต์ อาจต้องรับ
กรรมชั่วอย่างทันตาเห็น โดยไม่จำเป็นต้องรอไปถึงชาติหน้าก็มี
เช่น เถนเทวทัต ถูกธรณีสูบ เป็นต้น ขอให้จำไว้นะ
ของสูงเช่นพระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี อย่าได้ไปลบหลู่ดูหมิ่นเป็นอันขาดนะ เพราะเป็นบาปมหันต์ รับผลทันตาเห็นในชาตินี้ทันที และแม้ตายแล้ว บาปนั้นก็ยังติดตามไปถึงชาติหน้าภพหน้าอีกด้วยนะ"

บุคคล ๔ จำพวกในโลก
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
"มนุษย์และสัตว์โลก ล้วนถูกลิขิตให้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
จากในอดีตชาติทั้งสิ้น ใครทำกรรมดีมา ก็ได้เกิดมาเสวยสุข
และใครทำกรรมชั่วมาก็ต้องชดใช้กรรมชั่วนั้น ๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนเมื่อเกิดมาแล้ว หากผู้ใดสร้างสมแต่คุณงามความดี ก็จะไป
ได้รับส่วนกุศลผลบุญตอบสนองเอาในชาติหน้า
เหมือนเช่นคนที่เริ่มปลูกมะม่วงในขณะนี้ ก็จะไปได้กินผลมะม่วง
ในอีก 5-6 ปีข้างหน้านั้นแหละ ส่วนผู้ใดแม้ร่ำรวย มั่งมีศรีสุข
หากประกอบแต่กรรมชั่วไว้ในชาตินี้ ก็จะต้องไปชดใช้กรรมชั่ว
ในชาติหน้า เช่นกันนะ
ด้วยเหตุนี้ องค์สมเด็จพระศาสดา จึงได้จำแนกผู้คนออกไว้เป็น
4 จำพวกด้วยกันคือ
1.มาสว่างไปมืด
ได้แก่ บุคคลที่ในอดีตชาติสั่งสมบุญไว้มาก พอมาเกิดในชาตินี้
ก็มั่งมีศรีสุข และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่มิได้สร้างสมบุญกุศลเพิ่มเติม หรือกระทำแต่ความชั่วในชาตินี้ เมื่อตายไป
แล้วก็จะต้องชดใช้กรรมในอบายภูมิทั้ง 4 คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือแม้นหากเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะยากจนข้นแค้นสาหัส
2.มามืดไปมืด
ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำ ไว้ในอดีตชาติ
มิหนำซ้ำเมื่อเกิดมาแล้ว กลับกระทำแต่ความชั่วอีก เมื่อตายไป
ก็จะต้องไปชดใช้กรรมชั่วในอบายภูมิสถานเดียว
3.มามืดไปสว่าง
ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำมาแล้วในอดีตชาติ และแม้เมื่อเกิดมาในชาตินี้ จะมีฐานะความเป็นอยู่ที่ยากจนข้นแค้นแสนสาหัสสักเพียงไหน ก็ตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่คุณงามความดีโดยไม่ ท้อถอย เมื่อตายไปจักได้ไปเสวยสุขตามกุศลผลบุญที่ได้กระทำนั้น ดังเช่น เจ้าแดง สุนัขของฉัน ซึ่งถูกรถบรรทุกทับตาย แล้วไปเกิดเป็นเทวดานั้นแหละ จำได้ไหม ?
4.มาสว่างไปสว่าง
ได้แก่ บุคคลที่ในอดีตชาติ สั่งสมบุญไว้มาก เมื่อมาเกิดในชาตินี้
ก็มั่งมีศรีสุข และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มิหนำซ้ำ
กลับตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่คุณงามความดี เพิ่มเติมโดยไม่
หยุดยั้ง เมื่อตายไปก็จักไปเสวยสุขในภูมิที่สูงกว่ามนุษย์นะ
หรือแม้นเกิดเป็นมนุษย์ก็จะร่ำรวย มั่งมีศรีสุขยิ่งกว่าเก่า ประสบ
ความสำเร็จในหน้าที่การงานยิ่งกว่าเก่านะ เข้าใจหรือยัง..?
รวมความว่า ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่าที่ได้กระทำมาแต่
อดีตชาติทั้งสิ้น หากทำดีมากก็ได้เสวยสุข หากทำชั่วก็ต้อง
ทนทุกข์ชดใช้กรรมไป ส่วนจะกระทำความดีหรือกระทำชั่ว
ในชาตินี้ ก็ต้องว่ากันในชาติหน้า
แต่การกระทำความชั่วบางอย่าง เป็นบาปมหันต์ อาจต้องรับ
กรรมชั่วอย่างทันตาเห็น โดยไม่จำเป็นต้องรอไปถึงชาติหน้าก็มี
เช่น เถนเทวทัต ถูกธรณีสูบ เป็นต้น ขอให้จำไว้นะ
ของสูงเช่นพระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี อย่าได้ไปลบหลู่ดูหมิ่นเป็นอันขาดนะ เพราะเป็นบาปมหันต์ รับผลทันตาเห็นในชาตินี้ทันที และแม้ตายแล้ว บาปนั้นก็ยังติดตามไปถึงชาติหน้าภพหน้าอีกด้วยนะ"

พระแท้ ไม่แท้ จิตถึง ใช้ได้หมด

พระของหลวงปู่ปานจะจริงจะปลอม จะแท้จะเทียม ท่านให้พรไว้ว่า ถ้านึกถึงท่านอานุภาพเท่ากันหมด นึกถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว คาถาปลุกคือ

"อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด"

ที่มา: เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี
หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา

พระสยามเทวาธิราชมากราบท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต.

เหตุการณ์ครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านพระอาจารย์มั่น(ภูริทัตโต) เล่าว่า...

...คราวหนึ่งท่านพักอยู่ที่ดอยมูเซอ วันหนึ่งตอนท่านออกไปบิณฑบาต ได้สังเกตเห็นชาวบ้านจับกลุ่มสนทนากันด้วยท่าทางตื่นเต้น ฟังไม่ค่อยรู้ภาษา ได้ยินแต่ว่า "ยาปาน...ยาปาน..."

พอกลับถึงวัด ท่านจึงถามคนในวัดด้วยภาษาคำเมืองว่า "เขาพูดอะไรกัน?" ก็ได้ความว่า "ทหารยาปาน (ญี่ปุ่น) บุกขึ้นประเทศไทยที่เมืองสงขลา การรบเป็นไปอย่างหนักหน่วง มีแม่ค้าขายของเข้าร่วมรบด้วย นักรบแม่ลูกอ่อนก็มี แม่ลูกหนึ่งลูกสองก็มี.."

หลวงปู่มั่น(ภูริทัตโต)ฟังแล้วก็ยิ้ม

ต่อมาได้มีคำสั่งจากรัฐบาลถึงกองทัพให้ทหารไทยหยุดยิง โดยอ้างว่า ญี่ปุ่นไม่ต้องการรบกับไทย แค่ขอผ่านทางเฉย ๆ แต่ทหารไทยประจำแนวหน้า พร้อมทั้งนักรบแม่ลูกอ่อนก็ยังไม่หยุดยิง และไม่ยอมถอย ทหารญี่ปุ่นจึงขึ้นบกไม่ได้ ตายเขียวไปทั้งทะเล จนรัฐบาลต้องส่งกองทหารอื่น เข้าไปสั่งให้ทหารญี่ปุ่นหยุดยิง แล้วขอสับเปลี่ยนกองทหาร ทัพแนวหน้าและนักรบแม่ลูกอ่อน จึงได้หยุดยิงแล้วถอยเข้ากรมกอง ฝ่ายกองทัพญี่ปุ่นจึงขึ้นบกได้

หลวงปู่มั่น(ภูริทัตโต)ทราบข่าวแล้วก็ไม่ได้ถือเอา เป็นอารมณ์ ด้วยคิดว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก

เช้าวันต่อมา จวนจะสว่าง หลวงปู่มั่นเกิดวิตกว่า "ชะตากรรมของประเทศไทยจะเป็นอย่างไรกันหนอ" ... พลันก็ปรากฏนิมิตขึ้นว่า...

"...ประเทศไทยคล้ายภูเขาสูง บนยอดมีธงไทยสามสีปลิวสะบัดอยู่ และมีพระแก้วมรกตประดิษฐาน อยู่เหนือธงไทย ... มองดูตีนเขาลูกนั้นก็เห็นมีธงชาติต่าง ๆ ปักล้อมรอบเป็นแถว ๆ"

ท่านจึงพิจารณาได้ความว่า...

"..ประเทศไทยไม่เป็นอะไรมาก นอกจากผู้มีกรรมเท่านั้น และต่อไปนานาประเทศจะยอมรับนับถือ เพราะประเทศไทยพระพุทธเจ้าสอน ไม่ให้เบียดเบียนรังแกข่มเหง เพื่อนมนุษย์และสัตว์ และประเทศไทยก็ไม่เคยข่มเหงประเทศใด นอกจากป้องกันตัวเท่านั้น ชาติต่าง ๆ จึงยอมรับนับถือเป็นกัลยาณมิตร"

ในเวลาต่อมา..วันหนึ่งพระสยามเทวาธิราช พร้อมคณะเทพบริวาร ได้พากันมากราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น(ภูริทัตโต) ซึ่งกำลังเดินจงกรมอยู่ พอรายงานตัวเสร็จ ท่านพระอาจารย์มั่น(ภูริทัตโต) ถามวัตถุประสงค์

พระสยามเทวาธิราช ตอบว่า..

"...เวลานี้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้มาทิ้งระเบิด กรุงเทพฯ อย่างหนักหน่วง พวกข้าพเจ้าป้องกันเต็มที่..."

หลวงปู่มั่น(ภูริทัตโต) ถามว่า "มีคนบาดเจ็บล้มตายไหม"

พระสยามเทวาธิราช ตอบว่า "มี"

หลวงปู่มั่น(ภูริทัตโต) ถามว่า "ทำไมไม่ช่วย"

ตอบว่า "ช่วยไม่ได้ เพราะเขามีกรรมเวรกับฝ่ายข้าศึก 
จะช่วยได้แต่ผู้ไม่มีกรรม สถานที่สำคัญ และพระพุทธศาสนาเท่านั้น"

หลวงปู่มั่น(ภูริทัตโต) ถามว่า "มานี้ประสงค์อะไร"

ตอบว่า "ขอให้ท่านบอกคาถาปัดเป่าลูกระเบิดไม่ให้ตกถูกที่สำคัญด้วย"

หลวงปู่มั่น(ภูริทัตโต) จึงกำหนดพิจารณาหน่อยหนึ่ง
ได้ความว่า....

"นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา"

เทพคณะนั้นก็ได้สาธุการ แล้วลากลับไป ไม่เห็นกลับมาอีกเลย...
หนังสือ “รำลึกวันวาน” บันทึกโดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ 
เกี่ยวกับเกร็ดประวัติและปกิณกธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

เรื่องการบวงสรวง

ถ้าบวงสรวงแล้วยังไม่เที่ยงเพียงไร ท่านยังไม่
กลับ เรายังบูชาได้ตามความประสงค์ ท่านยัง
อยู่หมด ไม่ต้องลาหรอก ท่านยังอยู่จนกว่าจะเที่ยง
ส่วนมากเข้าใจว่าสำคัญตอนบวงสรวง ถ้ายัง
ไม่เลยเวลาท่านยังไม่กลับ ท่านอยู่ตั้งแต่ตอน
บวงสรวงยันเที่ยง
และเมื่อเที่ยงวันไปแล้ว ท่านจะไปบางส่วน
เฉพาะชั้นกามาวจรเท่านั้น
ตั้งแต่พรหมขึ้นไปท่านไม่กลับ
กามาวจรก็ไปบางชุด รุ่นใหญ่ไม่ไป ไปแต่รุ่นเล็ก
พวกรักษาเวรรักษายามไป นอกนั้นไม่ไป
ชั้นกามาวจร ท้าวมหาราชท่านก็ไม่ไป เพราะ
นายท่านอยู่ที่นี่ พระอินทร์ท่านอยู่ เขาประชุม
กันอยู่ที่นี่ คณะนี้ท่านไม่ไปตลอดงาน
อย่าง ภุมเทวดา ที่รักษาเขต สังเกตเวลาใกล้
จะเลิก เขาจะรีบมาหมด พวกนั้นเวลาปกติมา
ไม่ได้ เวลายามมาไม่ได้ พอใกล้จะเสร็จเหลือ
อีก ๑๐ นาที ท่านจึงมาได้ พอหลังจากนั้นท่าน
ก็กลับกันหมด ผู้ใหญ่ก็กลับ

ที่มา
จากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๒๖๙ หน้า ๗
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

การเชื่อมพลังงานที่ยิ่งใหญ่

คลังความรู้ที่ยิ่งใหญ่คือ คลังความรู้ของจักรวาล  ที่บันทึกร่องรอยในทุกๆสรรพสิ่งไว้   เข้าถึงก็รับรู้ได้   สาธุ
มนุษย์เราอาจจะสัมผัสกับมันได้ตลอดเวลา เพราะทุกๆ สิ่งรอบตัวเราคือสาส์นจากจักรวาล
หากเราใช้ความรู้สึก และ หัดสังเกตุมันเสียหน่อย.?...

จริงๆ แล้วข้อความ และ ตัวเลข ที่ปรากฎรอบๆ ตัวเราอย่างมากมาย เพียงแต่พวกเราไม่รู้
ตัว ไม่รู้ความหมายของมันเท่านั้น แม้ว่านานๆ ครั้งจะรู้ตัวว่าได้รับข้อความ สิ่งนั้นก็กลาย
เป็นจริงจนพวกเรารู้สึกเหมือนว่าเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน เช่น จู่ๆ ก็ไปสะดุดกับบทความหนึ่งบนท้องถนน ถึงแม้จะเป็นข้อความสั้นๆ แต่มันก็กินใจเราเหลือหลาย

อยู่ดีๆ เราก็ไปยืนตรงหน้าร้านแห่งหนึ่งที่รู้สึกชอบคุยกับคนข้างๆ และ ได้รับข้อความที่สะดุดหูมากๆ สาส์นจากจักรวาลน่ะมันลงมาในรูปแบบต่างๆ มากมาย สิ่งสำคัญคือการมองหา การร้องขอ ยิ่งเรามองหาเท่าไร ก็จะยิ่งได้รับคำตอบผ่านรูปแบบต่างๆ มากมาย

เพลินไปเลยนะ พ่ออยากให้พวกเราลองรับสาส์นดูนะ เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยสาส์นมาก
มาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในจักรวาลมันดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเพราะมันมีระบบที่ถูก
วางไว้ เราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้วางระบบนั้น บ้างก็ว่า "พระผู้สร้าง" บ้างก็ใช้คำว่า "ธรรมชาติ"

แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้วางระบบนั้น ระบบดังกล่าวก็มีความสมดุล และ เป็นกลาง มันไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แต่มันแผ่ซ่านไปทั่วจักรวาลในรูปแบบเดียวกันตั้งแต่ขนาดเล็กจนต้อง
ใช้กล้องจุลทัศน์ส่องมองจนถึงขนาดใหญ่เช่น ดาราจักร์ และ มันทะลุทลวงไปทั่วจักรวาล
ทุกซอกทุกมุม มันมีผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ และ เราเรียกมันว่า "กฎแห่งจักรวาล" 

มนุษย์เราได้ค้นพบกฎแห่งจักรวาลนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะในเชิงปรัญญา ศาสนา หรือ
วิทยาศาสตร์ ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าชื่ออะไร มันก็เป็นกฎเดียวกัน เมื่อเราทำอะไรอย่าง
หนึ่ง เราก็ต้องรับผลอย่างหนึ่งเสมอไปไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีหรือเลวก็ตาม

แม้ว่าบางครั้งเราไม่อาจจะทำนายได้ว่า ผลกรรมนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ และ ในทิศทางใด 
รวมทั้งจะมีปริมาณขนาดใดหนักหรือเบาในรูปแบบใดๆ แต่เราทุกคนก็รู้ว่ามันจะมาถึงเรา
อย่างแน่นอนไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เลย เพราะมันเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน

ในทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมนุษย์เราค้นพบกฎแห่งจักรวาล มนุษย์ก็สามารถนำมันมาใช้ประโยชน์กับชีวิตให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นเรื่อยๆ ในแง่ของเทคโนโลยี่ ในทาง
ศาสนามนุษย์เราใช้มันเพื่อทำให้โลก อยู่อย่างสงบสุขและทำให้มนุษย์หาความสุขโดยใช้
มันเป็นเครื่องมือ 

หากผู้ใดก็ตามที่พยายามไม่ทำตามกฎเหล่านี้ ก็ยังคงถูกกฎเหล่านี้ดำเนินการต่อเขา ไม่มี
ใครหลีกเลี่ยงมันได้ ฉะนั้น เราจึงควรใช้ความฉลาดในการทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์สูงสุดจากกฎแห่งจักรวาลเหล่านี้ แล้วชีวิตเราก็จะมีความสุข แล้วโลกของเราก็
จะมีความสงบสุขตามไปด้วย...

ขอบคุณที่มา

Teucer Rom..

แสงสว่าง มองการไกล..ภาพโดย.(Suchittra Guggaih Pu On)..

ความเกิดขึ้นแห่งความตายมี ๔ ประการ

หมวดที่ ๕
        มรณุปปตติจตุกก
 
มรณา หมายถึง ความตาย
                                อุปปตติ หมายถึง การเกิดขึ้น
                        จตุกกัก หมายถึง จตุกก มี ๔ อย่าง
            เมื่อรวมแล้ว มรณุปปตติจตุกก แปลว่า ความเกิดขึ้นแห่งความตายมี ๔ ประการ
            หรือหมายความว่า เหตุที่ทำให้ความตายปรากฏขึ้น มี ๔ ประการ คือ
                        ๑. อายุกขยมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นอายุ
                        ๒. กัมมักขยมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นกรรม
                        ๓. อุภยักขยมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นอายุ และสิ้นกรรม
                        ๔. อุปัจเฉทกมรณะ ได้แก่ ตายเพราะกรรมเข้าไปตัดรอน
 
 
แสดงนิมิตที่ปรากฏเมื่อใกล้จะตาย
            เมื่อเวลาใกล้ตาย กรรมอารมณ์, กรรมนิมิตอารมณ์, คตินิมิตอารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ย่อมปรากฏในทวารใดทวารหนึ่ง ในทวารทั้ง ๖ อยู่เสมอ
            กรรมอารมณ์ ตัวกรรมคือ กุศล อกุศลเจตนานี้ จะมาเป็นอารมณ์ปรากฏ
ทางทวารทั้ง ๕ ไม่ได้ นอกจากปรากฏทางใจอย่างเดียว ฉะนั้นผู้ที่ทำความดี, ความชั่ว 
แต่ภายในใจส่วนมาก เมื่อเวลาใกล้จะตาย การทำดี – ทำชั่ว แต่ทางวาจาและกายยัง
ไม่ปรากฏ เช่นนี้ กรรมอารมณ์ ย่อมมีโอกาสปรากฏได้
กรรมนิมิตอารมณ์ หมายถึงอารมณ์ทั้ง ๖ ที่ได้ประสพพบแล้วด้วยการ
กระทำทางกาย, วาจา, ใจ ของตนนั้น กรรมนิมิต คือเครื่องหมายจากการกระทำ
ไม่ว่าจะดีหรือชั่วอย่างไรก็ตาม ย่อมปรากฏได้ทางทวารทั้ง ๖ เมื่อเวลาใกล้จะตาย 
กรรมนิมิตเครื่องหมายจาการกระทำ ย่อมมีโอกาสปรากฏได้
คตินิมิตอารมณ์ หมายถึงอารมณ์ทั้ง ๖ ที่ได้ประสพพบแล้วด้วยการพบเห็น
และจะได้เสวยในภพหน้า เป็นคตินิมิตอารมณ์ บอกชี้ทางถึงภพภูมิที่จะไปเกิดให้ปรากฏคตินิมิตอารมณ์นี้ ย่อมปรากฏได้ในทวารทั้ง ๖
 
                                                                                จุติมี ๒ ประเภท
                                    ๑. รูปจุติ ๙ รูป
                                    ๒. นามจุติ ๑๙ ดวง
                               
รูปจุติ ๙ คือ อสัญญสัตตพรหม จุติด้วย รูป ๙ คือ
                                                            ๑. อวินิพโภครูป ๘
                                                            ๒. ชีวิตรูป ๑
                               
นามจุติ ๑๙ คือ กามจุติจิต ๑๐ ดวง
                                                            รูปจุติจิต ๕ ดวง
                                                            อรูปจุติ ๔ ดวง
 
 
การสิ้นสุดแห่งปัจจุบันภพ
 
การเกิดขึ้นแห่งภวังคจิต และ กัมมชรูปที่เกิดขึ้น สืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย
ในภพหนึ่งๆ เรียกว่า “ ปัจจุบันภพ ” ครั้นภวังคจิตตุปาทเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นจุติ และ
กัมมชรูปก็เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เรียกว่า ความเป็นไปแห่งปัจจุบันภพได้สิ้นสุดลง
            “ ปัจจุปปนน ภวปริโยสานภูตํ ” จุติจิต….เป็นจิตสุดท้ายแห่งปัจจุบันภพ
                       
และการเกิดขึ้นแห่งจุติจิตมี ๒ อย่างคือ
                                    เกิดขึ้นสุดท้ายแห่งวิถีจิต อย่างหนึ่ง
                                    เกิดขึ้นเมื่อภวังคจิตสิ้นสุดลง อีกอย่างหนึ่ง
 
ใน ๒ อย่างนี้จุติจิตเกิดขึ้นสุดท้ายแห่งวิถีจิต มี ๒ อย่าง 
และจุติจิตเกิดขึ้นเมื่อภวังคจิตสิ้นสุดลงก็มี ๒ อย่าง รวมความแล้ว   
 มรณาสันนวิถี ชนิดที่เป็น ปัญจมรณาสันนวิถี จึงมี ๔ อย่าง คือ
                                ๑. ช. ช. ช. ช. ช. ต. ต. จุติ.
                                ๒. ช. ช. ช. ช. ช. จุติ.
                                ๓. ช. ช. ช. ช. ช. ต. ต. ภ. ภ. ภ. จุติ.
                                ๔. ช. ช. ช. ช. ช. ภ. ภ. ฯ. จุติ.
                       
วิถีจิตทั้ง ๔ ประเภทนี้ มุ่งหมายเอาผู้ตายในกามภูมิ และจะเกิดในกามภูมิอีก
ส่วนผู้ ตายใน กามภูมิแล้ว จะเกิด ในพรหมภูมิก็ดี, 
           ตายใน พรหมภูมิ แล้วจะเกิด ในพรหมภูมิก็ดี หรือ
ตายใน พรหมภูมิ และจะเกิด ในกามภูมิก็ดี  
 
ทั้ง ๓ ประเภทนี้ มรณาสันนวิถี ได้แต่เฉพาะ ชวนะวาระ ๒ วิถี เท่านั้น คือ
                                ๑. ช. ช. ช. ช. ช. จุติ.
                ๒. ช. ช. ช. ช. ช. ภ………. จุติ.
           
สำหรับตทาลัมพนวาระอีก ๒ วิถีนั้น ย่อมไม่เกิด การที่ตทาลัมพนวาระ๒ วิถี
ไม่เกิดแก่บุคคล ๓ ประเภทนั้น เพราะตทาลัมพนะ จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย 
สภาพธรรม ๓ ประการคือ กามชวนะ, กามบุคคล, กามอารมณ์ 
ธรรม ๓ ประการนี้ต้องครบบริบูรณ์ ตทาลัมพนะจึงจะเกิดได้  
ฉะนั้นบุคคล ๓ จำพวก จึงมีธรรม ๓ ประการไม่ครบองค์  
มรณาสันนวิถีทั้ง ๒ ที่มีตทาลัมพนะ จึงเกิดไม่ได้

มรณุปปัตยานุกกะ 
( จุติ ปฏิสนธิปุถุชน)
 
๑. อบาย จุติ ๑ ได้กามปฏิสนธิ ๑๐ ดวง
 
๒. สุคติ และทวิเหตุก จุติ ๕ ได้ปฏิสนธิ ๑๐ คือกามปฏิสนธิจิต ๑๐ ดวง
 
๓. มหาวิบากญาณสัมปยุต จุติ ๔ ให้ได้ปฏิสนธิ ๑๙
 
๔. รูปาวจรวิบาก ๕ ดวง ดวงใดดวงหนึ่ง จุติลงแล้ว ย่อมให้ได้ปฏิสนธิจิต ๑๗ ดวงคือ 
 
มหาวิบากจิต ๘
มหัคคตวิบากจิต ๙
 
๕. สุทธาวาสปัญจมฌาน จุติจิต ๑ ดับลงแล้ว
ย่อมเป็นปัจจัยให้ได้ปัญจมฌานวิบากปฏิสนธิ ๑ เจตสิก ๓๐ ดวง
แม้ในปวัตติกาล ก็ได้ปัญจมฌานวิบากจิตนั้นแหละทำภวังค์ และจุติกิจ
 
๖. อากาสาจุติ ๑ ดับลงแล้ว ย่อมได้ปฏิสนธิจิต ๘ ดวง คือ
                        มหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต ๔
                        อรูปาวจรวิบากจิต ๔
            และในปวัตติกาล ก็ได้จิต ๘ ดวงนี้ มาทำกิจ
 
๗. วิญญาจุติ ๑ ดับลงแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้ได้ปฏิสนธิจิต ๗ ดวง คือ
                        มหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต ๔
                        อรูปาวจรวิบากจิตเบื้องบน ๓ (เว้น อากาสาวิบาก ๑)
            และในปวัตติกาล ก็ได้จิต ๗ ดวงนี้แหละ มาทำกิจ
 
๘. อากิญจัญญาวิบากจุติ ๑ ย่อมเป็นปัจจัยให้ได้ปฏิสนธิจิต ๖ ดวง คือ
                        มหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต ๔
                        อรูปาวจรวิบากจิตเบื้องบน ๒ 
 
๙. เนวสัญญาวิบากจุติ ๑ ย่อมเป็นปัจจัยให้ได้ปฏิสนธิจิต ๕ ดวง คือ
                        มหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต ๔
                        เนวสัญญาวิบากจิต ๑
 
 
    มรณาสันนกาล มีอารมณ์ ๓ ชนิด
 
๑. กรรม ได้แก่ โลกียเจตนา ๒๙
๒. กรรมนิมิต ได้แก่ อารมณ์ ๖ ที่มาปรากฏ เวลาใกล้ตาย
๓. คตินิมิต ได้แก่คติ ๕ คือ มนุสสคติ, นิรยคติ, ติรัจฉานคติ, เปตติคติ, เทวคติ
 
     * จิตที่รับมรณาสันนอารมณ์ ๓ *
 
จิต ๔๑ ดวง คือ มโนทวาราวัชชนจิต ๑
                                                กามชวนะจิต ๒๙
                                                ตทาลัมพนะจิต ๑๑
 
 
          * จิตที่มีอารมณ์เหมือนกัน *
 
                        ๑. มรณาสันนชวนะ ๒๙ ดวง ในอดีตภพ
            ๒ ปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวง ในปัจจุบันภพ
                        ๓. ภวังคจิต ๑๙ ดวง ในปัจจุบันภพ
                        ๔. จุติจิต ๑๙ ดวง ในปัจจุบันภพ
 
 
     * ลักษณะของอารมณ์ ๓ ชนิด *
 
            ๑. กรรม ได้แก่ โลกียเจตนา ๒๙ เป็นอดีต 
ปรากฏ มีเฉพาะปัจจุบัน ที่ยังไม่ตายเท่านั้น
 
๒. กรรมนิมิต ได้แก่ อุปกรณ์ของกรรม คือ อารมณ์ ๖ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่มาปรากฏตลอดเวลาใกล้ตาย เช่นเห็นมีดสำหรับสังหารเป็นต้น
เป็นได้ ๒ กาล คือ อดีตกาล และ ปัจจุบันกาล
 
๓. คตินิมิต ได้แก่คติ ๕ เป็นปัจจุบันอารมณ์
                                    รูปมาปรากฏทางมโนทวารอย่างเดียว ปรากฏทางจักขุทวารไม่ได้
                                    และปรากฏมีในภพนี้เช่นกัน
 
 
 
* จุติ ปฏิสนธิของพระอริยะ *
           
๑. กามโสดา และสกทาคามี
                        ได้มหาวิบากญาณสัมปยุตจุติ ๔ ดวง ดับลงแล้ว
ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิ ๑๓ ดวง คือ มหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต ๔ ดวง 
และ มหัคคตวิบากจิต ๙ ดวง รวม ๑๓ ดวง  
และในขณะที่จิต ๑๓ ดวงนี้ ทำภวงัคกิจ ตทาลัมพนกิจ และจุติกิจ เป็นปวัตติกาล
                ๒. กามอนาคามี
                        ได้จุติมหาวิบากญาณสัมปยุตจิต ๔ ดวง แล้วให้เกิด มหัคคตวิบากปฏิสนธิ ๙
          ๓. อริยบุคคลในรูปภูมิ ๑๐ 
                        เสกขบุคคลที่ในปฐมฌานภูมิ ๓ ได้ ปฐมฌานวิบากจุติ ๑
ได้ปฏิสนธิ ๙ คือ รูปวิบากปฏิสนธิ ๕ และ อรูปวิบากปฏิสนธิ ๔ รวมเป็น ๙
          ๔. พระเสกขบุคคลในทุติยฌานภูมิ ๓ 
                        ได้จุติ ทุติยฌานวิบาก และ ตติยฌานวิบาก ๒ ได้ปฏิสนธิ ๘ ดวง
คือ รูปวิบากปฏิสนธิ ๔ และ อรูปวิบากปฏิสนธิ ๔ รวมเป็น ๘
                          ส่วนปฐมฌานวิบาก ๑ พระอริยะ ไม่กลับมาอีกแล้ว
๕. พระเสกขบุคคล ที่ในตติยฌานภูมิ ๓ 
                        ได้จตุตถฌานวิบากจุติ ๑ ได้ปฏิสนธิ ๖ ดวง
คือ รูปจตุตถ ฌาน และปัญจมวิบากปฏิสนธิ ๒ 
และ อรูปวิบากปฏิสนธิ ๔ รวมเป็น ๖  
๖. พระเสกขบุคคล ที่ในจตุตถฌานภูมิ ๕ คือ สุทธาวาส ๕
                        ได้ปัญจมฌานวิบากปฏิสนธิ ๑ เลื่อนขึ้นไปตามลำดับจนถึง สุทธาวาสชั้นอกนิฏฐา
  แล้วนิพพานในที่นั้นหมด
 
๗. พระเสกขบุคคล ในพรหมชั้น อากาสา 
                        ได้อากาสาวิบากจุติ ๑ ได้ปฏิสนธิ ๔ คือ อรูปวิบากจิต ๔

 
๘. พระเสกขบุคคล ในพรหมชั้น วิญญาณัญจา 
                        ได้วิญญาณวิบากจุติ ๑ ได้ปฏิสนธิ ๓ คือ อรูปปฏิสนธิเบื้องบน ๓
 
๙. พระเสกขบุคคล ในพรหมชั้น อากิญจัญญา 
                        ได้อรูปอากิญจุติ ๑ ได้อรูปปฏิสนธิเบื้องบน ๒
 
๑๐. เนวเสกขบุคคล ในพรหมชั้น เนวภูมิ 
                        ได้เนววิบากจุติ ๑ แล้วนิพพานในที่นั้น โดยไม่กลับมาอีก
 
 
            พระอริยะ ที่ขึ้นไปเกิดในภูมิพิเศษ ๓ ภูมิ
ย่อมไม่ย้ายไปเกิดที่ภูมิอื่นอีก
          ย่อมอยู่ที่นั่น จนบรรลุพระขีณาสพ
         แล้วก็นิพพานในที่นั้นที่เดียว
 
 
สมตามบาลีที่มีว่า

เวหปผเล อกนิฏเฐ ภวคเค จ ปติฏฐิตา
น ปุน ยตถ ชายนติ สพเพ อริยปุคคลา

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...