[ณ วิหารเชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถี หลังจากเหล่าภิกษุกลับจากบิณฑบาตในเมืองแล้ว ได้เข้าไปพบพระพุทธเจ้าและเล่าว่า]
ภ: ภันเต มีสมณพราหมณ์และปริพาชกจำนวนมากในกรุงสาวัตถีที่มีลัทธิต่างกัน มีความเห็นต่างกัน และต่างก็ยึดมั่นในความเห็น (ทิฏฐิ) ของตนว่าเป็นจริง ส่วนความเห็นอื่นนั้นไม่จริง
พวกหนึ่งเห็นว่าโลกเที่ยง อีกพวกเห็นว่าไม่เที่ยง
พวกหนึ่งเห็นว่าโลกมีที่สุด อีกพวกเห็นว่าไม่มีที่สุด
พวกหนึ่งเห็นว่ากายกับจิตเป็นอย่างเดียวกัน อีกพวกเห็นว่าเป็นคนละอย่างกัน
พวกหนึ่งเห็นว่าตายแล้วเกิด (อัตตามีอยู่จริง) อีกพวกเห็นว่าตายแล้วสูญ (อัตตาไม่มีอยู่เลย)
พวกหนึ่งเห็นว่าตายแล้วเกิดก็มี ตายแล้วสูญก็มี อีกพวกเห็นว่าตายแล้วเกิดก็ไม่ใช่ ตายแล้วสูญก็ไม่ใช่
คนเหล่านี้ต่างทะเลาะกัน ใช้ววิวาทะทิ่มแทงหักล้างกันว่า ธรรมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
พ: ภิกษุทั้งหลาย อัญญเดียรถีย์เป็นคนตาบอด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ ไม่รู้ว่าอะไรคือธรรม อะไรไม่ใช่ธรรม จึงทะเลาะวิวาทกัน ว่าธรรมเป็นอย่างนั้น ธรรมเป็นอย่างนี้
เรื่องเคยมีมาแล้ว ในกรุงสาวัตถีนี่เอง พระราชาองค์หนึ่งได้สั่งให้คนไปรวบรวมคนตาบอดในสาวัตถีมาให้หมด เมื่อคนตาบอดมารวมกันแล้ว พระราชาได้สั่งว่า ‘จงนำช้างไปให้คนตาบอดคลำดู’ คนตาบอดพวกหนึ่งที่คลำหัวช้างก็บอกว่าช้างเป็นอย่างนี้ พวกที่คลำหูช้างก็บอกว่าช้างเป็นอย่างนั้น พวกที่คลำงาช้าง งวงช้าง เท้าช้าง ตัวช้าง หลังช้าง หางช้าง ปลายหางช้าง ก็บอกว่าช้างเป็นอีกแบบ
เมื่อได้คลำกันหมดแล้ว พระราชาก็ถามคนตาบอดเหล่านั้นว่า ‘พวกเจ้าได้เห็นช้างหรือยัง?’ คนตาบอดตอบว่า ‘ได้เห็นแล้ว’ พระราชาถามว่า ‘ที่ว่าเห็นช้างแล้วนั้น ช้างเป็นอย่างไร?’
คนที่คลำหัวช้างบอกว่า ‘ช้างเป็นเหมือนหม้อ’
คนที่คลำหูช้างบอกว่า ‘ช้างเป็นเหมือนกระด้ง’
คนที่คลำงาช้างบอกว่า ‘ช้างเป็นเหมือนใบไถ’
คนที่คลำงวงช้างบอกว่า ‘ช้างเป็นเหมือนงอนไถ’
คนที่คลำตัวช้างบอกว่า ‘ช้างเป็นเหมือนฉางข้าว’
คนที่คลำเท้าช้างบอกว่า ‘ช้างเป็นเหมือนเสา’
คนที่คลำหลังช้างบอกว่า ‘ช้างเป็นเหมือนครกตำข้าว’
คนที่คลำหางช้างบอกว่า ‘ช้างเป็นเหมือนสาก’
คนที่คลำปลายหางช้างบอกว่า ‘ช้างเป็นเหมือนไม้กวาด’
เหล่าคนตาบอดต่างลงไม้ลงมือกันว่า ช้างเป็นอย่างนี้ ช้างไม่ใช่อย่างนี้
พระราชาฟังแล้วก็ชอบใจด้วยเหตุนี้
สมณพราหมณ์พวกหนึ่งข้องติดอยู่กับความเห็นอันหาสาระไม่ได้เหล่านี้ คนที่มองอะไรด้านเดียว ยึดมั่นว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นถูกต้อง สุดท้ายก็จะทะเลาะวิวาทกัน
___________
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 44 (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน ชัจจันธรวรรค ปฐมนานาติตถิยสูตร ข้อ 136), 2559, น.565-569
#พระพุทธเจ้าพูดอะไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น