หลวงปู่ : มันมีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าจิตโยมตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมแล้ว..โยมก็ต้องอ้างในกุศลผลบุญของโยม แต่ผลบุญของโยมนั้นถ้าจิตโยมยังไม่ตั้งมั่น โยมก็ต้องอ้างคุณพระรัตนตรัยขึ้นมา ทีนี้โยมจิตใจตั้งมั่นแล้วก็หาความจำเป็นไม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อยู่ที่ว่าสภาวะจิตโยมนั้นเกิดขึ้นในขณะนั้นเป็นสภาวะอารมณ์แบบใด
ถ้าบารมีเราเต็มแล้วเราก็ไม่ต้องอาศัย แต่ถ้าบารมีเรายังไม่ถึงเราก็ต้องอาศัย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าเราทำอยู่เป็นนิตย์แล้ว เรียกอาศัยอยู่ตลอดเวลา เค้าเรียกว่ามีความเคยชินก็หาว่าเป็นอะไรไม่
อยากให้โยมเข้าใจอย่างหนึ่งว่า เมื่อจิตเรามีความตั้งมั่นในพระรัตนตรัยนั้นแล ในกุศลในศีลนั้นแล เค้าเรียกพระรัตนตรัยได้บังเกิด นั้นการสำรวมกายวาจาใจ..พระรัตนตรัยก็บังเกิด ณ ที่แห่งนั้น แต่การกล่าวอ้างนั่นเพื่อให้เราระลึกถึง ให้จิตใจมันมีกำลังมากยิ่งขึ้นอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ จิตมันก็จะเรียกว่าตั้งมั่น มีกำลังส่งตรง เค้าเรียกว่าส่งไปได้ไกล
ลูกศิษย์ : แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะคะว่าบารมีเราเต็มแล้ว
หลวงปู่ : ไม่ยากหรอกจ้ะ โยมมีความเชื่อมั่นในศีลแค่ไหนเล่าจ๊ะ เชื่อในพระพุทธมากแค่ไหน ในพระธรรม ในพระสงฆ์ โยมมีความสงสัยในธรรมมากแค่ไหน ถ้าโยมสิ้นสงสัยแล้ว บารมีโยมก็เต็ม เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะโยมจะไม่รั้งรออะไรอีกต่อไป จะไม่มีข้อแม้ คนที่ยังมีข้อแม้อยู่นั่นเค้าเรียกว่ายังมีความสงสัย ยังไม่แน่นอน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่เมื่อคนสิ้นสงสัยทุกอย่างแล้ว มีกระแสพระนิพพานเป็นที่หมายแล้ว มีความตายเป็นที่ตั้งแล้ว จะเอากายสังขารที่มีลมหายใจอยู่นี้ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอย่างเดียวนี้แล เค้าเรียกว่าบารมีมันเต็ม เต็มมันก็อยู่ไม่ได้แล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ จะมีจิตที่แน่วแน่ เดินตามครูบาอาจารย์อย่างเดียว..นี่เค้าเรียกมันเต็ม
ถ้าคนไม่เต็มนี่เค้าเรียกว่าอย่างตรงกันข้ามนั่นแหล่ะจ้ะ คนเต็มกับคนไม่เต็มน่ะ..แล้วก็เกิน ไอ้ไม่เต็มนี่เค้าเรียกว่าในอดีต เต็มนี่คือเต็มในปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้มันเต็ม ถ้าเกินเป็นอนาคตคือจิตมันฟุ้ง มันชอบคิดปรุงแต่ง..ไปโน่นแล้ว นั่งภาวนาพุทโธ อ้าว..พุทโธหายไป เกินนี่ทำยังไง เกินจะแก้ยังไง (ลูกศิษย์ : กลับมาอยู่ที่ลมหายใจอีกครั้งนึง) เกินเราก็ต้องเจริญสติกลับมาสิจ๊ะ สติโยมหลุดไปแล้วนอกโลกแล้ว โยมก็ต้องกลับมาก่อน ให้รู้ว่าในขณะนี้เราอยู่ในโลกมนุษย์อยู่
ไอ้พวกเกินนี่ชอบระลึกชาติ ชอบมีฤทธิ์มีเดชอยากระลึกชาติ มันต้องดึงจิตเข้ามาปัจจุบัน อยู่ในภพภูมิของการเกิดเป็นมนุษย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่มันจะทำให้เต็มได้ในภพปัจจุบัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไอ้พวกเกินๆนี่พวกหลงอดีตหรือไปอยู่ในอนาคต ที่ไม่เต็มก็เพราะไปยึดติดอยู่ในอดีต..ไม่เต็ม ไอ้พวกเกินก็..นี่ชอบไปยึดถือในอนาคต ตรงข้ามในปัจจุบันแล้วมันจะเต็มได้ยังไงจ๊ะ ทำให้มันเต็ม
ให้รู้ว่าเราบ้าอย่างไร ดูในปัจจุบันในอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น ความบ้ามันคืออะไร ความบ้าคือความไม่สงบของจิตเวลาที่มันฟุ้ง เค้าเรียกว่าบ้าคลั่งเหมือนอารมณ์น่ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เค้าเรียกว่าความบ้า
ถ้าเรานั่งแล้วจิตเราไม่สงบ ทำยังไงก็ไม่สงบ..อย่าไปนั่ง ให้ไปเดินซะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อันที่สองถ้ายังไม่สงบ..อย่าเพิ่งหลับตา ให้ลืมตาไว้ นั่งทอดพระเนตรไปอยู่เบื้องหน้าไม่ต้องเกินวา ดูไป ทอดอารมณ์ไปก่อน ดูซิมันจะสงบตอนไหน แล้วขณะที่เราทอดอยู่อารมณ์ที่เราหลับไปแล้วอารมณ์นั้นยังไม่ดับ เอาอารมณ์นั่นแหล่ะมาทอด..ทอดยังไง คือเพ่งดูในอารมณ์นั้นแต่ไม่ต้องหลับตา
เพราะถ้าโยมหลับตาลงไปแล้วทอดไป ทีนี้โยมจะจินตนาการเข้าไปอีก อ๋อ..มันทอดแบบนี้ ทอดอย่างนี้ มันก็จะไปเรื่อยทีนี้ แต่ถ้าโยมลืมตามาอยู่ในสภาวะความเป็นจริง แม้บางทีนำอารมณ์มาวิตกวิจารมาทอดอยู่อย่างนั้นน่ะ..มันจะดับของมันเอง เพราะเมื่อจิตมันตกภวังค์ พอจิตมันตกภวังค์เรากำหนดลมเข้าไปเลยทีนี้ เอาสติเข้าไปในภวังค์นั้น
แต่ในภวังค์ที่มนุษย์มันชอบเข้าไปเพราะมันขาดสติ แต่ถ้าโยมเอาสติเข้าไปกำหนดรู้ในภวังค์ มันจะมีเรียกว่าเป็นฌาน เจริญฌาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมนั่งแล้วหลับไม่มีสติแต่มันสงบ อันนี้เค้าเรียกว่าทรงฌาน ทรงบ่อยๆทีนี้จะหลับ ประคองจนมากเกินไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ทีนี้โยมต้องใช้วิชานี้ให้เป็นประโยชน์ โยมต้องเพ่งอารมณ์ ถ้าโยมเพ่งอารมณ์แล้วมันจะไม่หลับ มันจะไม่ตกภวังค์ เพราะว่าจิตเรามีการงาน เค้าเรียกว่าระลึกถึงการสิ่งใดแล้ว ให้น้อมจิตเข้าไป..ไตรลักษณญาณเข้าไป เค้าเรียกน้อมจิตเข้าไปสู่การพิจารณา สู่การระลึกแล้วทำให้นั้นเรารู้สึกสลดหดหู่สังเวชใจในการเกิดนั้นแล..เรียกว่ากรรมฐาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าเราไปสัมผัสอารมณ์ใดพิจารณาอารมณ์ใดแล้วไปพึงพอใจ..เค้าเรียกว่ากามคุณ เมื่อเราไประลึกหน้าไม่ชอบหน้าใครโทสะก็บังเกิดขึ้นอีกทีนี้ เค้าเรียกว่าเกิดเวรพยาบาทเกิดขึ้น ในห้วงของจิตนั้นเราต้องทำยังไง..ต้องละอารมณ์นั้นลงไปให้ได้ นี่เค้าเรียกว่าตัดกรรมต้องตัดที่ใจ
คือใจนี้เป็นตัวคิด..ตัวคิดและระลึกถึงเพราะมีสัญญาเก่า สัญญาเก่าตัวนี้ที่มันยังไม่หมดไป เราไปสัญญาอะไรกับใครไว้ เราไปผูกอะไรไว้ นี่เรียกว่าสัญญา เราต้องไปตัดไปแก้มันออกมา ไปแก้ตอนที่เราเจริญสติ เมื่อเจริญมากๆ เจริญมากๆ สัญญามันจะขึ้นมามาก มันขุดขึ้นมามากเลย จำได้หมด มันขึ้นมาทั้งนั้นไอ้สัญญาพวกนี้..ดับมันออกไปให้หมด แก้มันออกมาที่เราผูกไว้ผูกไว้ ผูกคือที่เราไปยึด..เค้าเรียกว่าผูก
บางคนไม่ผูกยังมัดด้วย นี่ของกู จะตายแล้วยังของกู..นี่เค้าเรียกว่ามัดด้วย ทำไมถึงเรียกว่ามัด ก็ตอนขณะจิตจะตายมีความอาฆาตแค้นไว้ นั่นเค้าเรียกว่ามัดตราสังข์ไว้ ตรึงจิต เมื่อตรึงจิตทีนี้ไปไหนไม่ได้ วนเวียนเกิดมาก็ตามหาอย่างเดียวเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ที่นี้กรรมฐานเค้าจึงว่าแก้ที่ต้นเหตุที่สุดแล้ว เราเจริญสติมากๆ เจริญมากสติมีกำลังมาก สติมันเลยหยั่งรู้ในภพ ทำเจริญภพปัจจุบันอยู่บ่อยๆ..มันจะซ้อนภพซ้อนภพซ้อนภพ ทีนี้ภพไม่รู้กี่ภพคืออารมณ์ที่เกิดขึ้นนั่นแหล่ะจ้ะ คือมโนภาพมโนจิตมันเกิดขึ้นมานี่ ให้เรากำหนดรู้แต่อย่าไปปรุงแต่ง
เมื่อไปรุงแต่งภพมันไม่จบหรอกทีนี้ เราต้องดับภพดับอารมณ์ รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง ถ้าอันไหนคือรู้แล้วยังวางไม่ได้ แสดงว่าเหตุมันกำลังจะเกิดขึ้นในปัจจุบันแห่งภพ ต้องทำอย่างไร..ให้มีสติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็คือแก้ในปัจจุบัน นี่สิ่งเหล่านี้โยมต้องเจริญให้มาก คือการเจริญสติคือตัวรู้ เจริญเพื่อให้มันรู้ ไม่ใช่รู้แล้วไปยึด..นั่นเรียกไม่รู้จริง ไอ้นั่นเค้าเรียกว่าเกิน เกินนี่มันมาจากไหน..มันมาจากขาด ขาดมันมากจากไหน..เค้าเรียกว่าศีลมันบกพร่องไงจ๊ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น