◎ #ชีวประวัติท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์_ปณฺฑิโต
ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต ท่านมีนามเดิมว่า บุญฤทธิ์ จันทรสมบูรณ์ เป็นบุตรชายของหลวงพินิจจินเภท และคุณแส ท่านเกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.๒๔๕๗ ตรงกับปีเถาะ ณ บ้านท่าอิฐ ต.ท่าอิฐ อ.พิชัยดาบหัก จ.อุตรดิตถ์ บิดาท่านเป็นคหบดีที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น ท่านมีพี่น้องร่วมกัน ๑๑ คน
ต่อมาท่านได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล กรุงเทพฯ ตั้งแต่เล็กจนจบมัธยมปีที่ ๘ และจบระดับการศึกษาฝรั่งเศสรุ่นแรก การศึกษาครั้งนั้นรวมเวลา ๑๒ ปี(เป็นยุคแห่งสงครามด้วย) ต่อมาท่านได้สอบชิงทุนจาก อ.ก.พ. หรือที่เราเรียกว่า องค์การข้าราชการพลเรือน ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ภายใต้การดูแลของ โปรเฟสเซอร์เซเดส
หลังจากนั่น ท่านเดินทางกลับมาประเทศไทย แล้วมารับราชการที่กรมศึกษากร กระทรวงมหาดไทย สำนักปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รวมเวลา ๕ ปี หลังจากนั้นระหว่างสงครามโลก ได้รับบัญชาไปรับราชการอยู่ ณ จังหวัดหนองคาย เป็นเวลา ๓ ปี
ณ ที่จังหวัดหนองคายนี่เอง ท่านได้พบกับหลวงปู่กู่ ธมฺมทินฺโน ซึ่งท่านได้มีโอกาสกราบหลวงปู่เทสก์ เทสรังสีอีกด้วย เมื่อได้ปฏิบัติตนเป็นที่ปรารถนาแห่งธนรมนั้นแล้ว ท่านจึงได้บรรพชาอุปสมบท ซึ่งอยู่ในระหว่างหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง
◎ #พบทางสงบเมื่อสงครามยุติ
สำหรับชีวิตการต่อสู้ของท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ท่านเล่าให้ฟังว่า... "โยมชีวิตของอาตมานั้นมันซับซ้อนมาก ชีวิตคนหนุ่มก็เป็นอย่างนี้นะ ไม่มีครอบครัวนี่ แล้วก็เป็นนักเรียนหัวฝรั่ง หัวนอกเสียด้วยในเวลานั้น
พอสงครามสงบ (พ.ศ.๒๔๘๘) ก็ได้พบกับแนวทางธรรมะ คือ จิตสงบลงด้วย เป็นเพราะอะไรเล่า โยมฟังต่อไปนะ อย่าเกิดความสับสนหล่ะ
เออ คนแก่นี่มันก็เที่ยวปะนั่นปะนี่ทั่วไป อย่าหลงทางนะ ตอนที่อาตมายังไม่ได้บวชก็เพราะสงครามเกิดขึ้น ครั้นสงครามโลกสิ้นสุดลง ทางราชการก็ขออนุญาตให้ข้าราชการที่เขาห้ามบวช ๕ ปีนั้น ให้บวชได้
◎ #ว่างไปหมด
วันหนึ่งเมื่ออาตมาเดินผ่านจวนข้าหลวงจังหวัดหนองคาย เดินไปไม่ได้คิดอะไร ชั่ววินาทีเดียว จิตมันโล่งไปหมดเลย เวลานั้นตนเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จะภาวนาก็ไม่ใช่ ยังไม่ได้ภาวนาอะไร เดินไปเฉยๆ แล้วมันเป็นไปได้อย่างไร
เลยก็มาคิดว่า เอ๊ะ! ธรรมดาคนเราจะเดินจะยืนนี่ มันต้องมีตัวคิดตัวนึก วันนี้มันเป็นอย่างไรหนอ เราไม่มีความคิดอะไรมันหายไปหมด!
อาการโล่งเบากาย เบาใจที่สุด ก็ได้พยายามเพราะมีสติรู้อยู่ จึงเอามือไปควานน้ำในโอ่งไม่เจอน้ำเจอท่าเลย
อาตมาก็พยายามน้อมนึกคิดมันก็ไม่ยอมรับรู้อะไรเลย มันก็มีสติขึ้นว่า.. "เออหนอเรานี้ แปลว่า เราหมดห่วงเสียแล้วหรือนี่"
พอคิดได้อย่างนั้น ก็เดินทางไปหาท่านพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน ไปภาวนาอยู่ในวัดอรุณรังษี อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เป็นวัดเปลี่ยว เป็นที่เผาศพ กลางวันก็ไม่มีใครอยู่ เพราะมันเงียบมาตั้งแต่ครั้งสงคราม ก็สงบละซีนะโยม
ท่านพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน ท่านให้ไปภาวนาอยู่ที่นั่นระยะแรกๆ อยู่ในเมืองหนองคายนั่นแหละ เวลานั้นมันเงียบด้วยผู้คนบ้านเรือนไม่มาก โอ..มันลำบากเหลือเกิน แต่เวลาจิตมันปล่อยวาง ก็ทำให้สบายที่สุด
◎ #สิ้นสงสัย_สิ่งใคร่รู้
ภายหลังที่อาตมาได้ไปภาวนานั่งสมาธิตามความเชื่อที่ท่านพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน ท่านสอน นั่งพักหนึ่งเหมือนกับให้จิตใจรับสภาวะว่าบัดนี้นั่งสมาธิแล้วนะ จะโงนเงนเหลาะแหละไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านทรงเห็น มิเช่นนั้นบาป! ขณะนั่งภาวนาก็น้อมพิจารณาความที่ตนเองเคยสงสัยว่า
"ตายแล้วไปไหน?"
คำถามตนเองเอาแค่นี้ อาตมาเป็นนักเรียนฝรั่งหัวนอกแยะเวลานั้น ไม่เข้าใจว่าตายแล้วไปไหน คิดเอาเองว่าตายแล้วมันจะไปไหนก็ช่างหัวมัน พิจารณานิ่งอยู่ มันสงบทั้งสถานที่และจิตใจ ป่าช้าหลังวัดอรุณรังษี
พอได้ถามตัวเองอย่างนี้ ก็ง่วงนอนทันทีเลย ในความรู้สึกก็ว่า ล้มตัวลงนอนทันที พอนอนลงไป มันก็หิวน้ำทันทีเลยเหมือนกัน ก็มีความรู้สึกว่าเอาน้ำในขันที่เตรียมไว้เพื่อจะได้ฉัน จับมาดื่ม
น้ำมันไม่ไหลเข้าปาก มันเป็นยังไงหนอ น้ำแข็งเป็นอย่างพลาสติกไปเลย เอาลิ้นไปเลียมันก็ไม่มีรสชาติอะไร หิวมากนะเวลานั้น เป็นความรู้สึกที่รุนแรง ก็เลยลืมตาขึ้น จิตมันถอน ก็เลยทำให้รู้ความจริงว่า เมื่อตายแล้วจะไปไหนช่างหัวมัน เป็นเรื่องไม่จริงเสียแล้ว ถ้าเราตายไปอย่างนั้นแปลว่าอะไร?
โยมรู้มั้ย ลักษณะเช่นนี้เป็นอะไร "เป็นเปรต"
มันหิวโหยไม่สิ้นสุด เลยได้นำเรื่องเช่นนี้ไปกราบเรียนท่านพระอาจารย์กู่ ท่านก็ให้ภาวนาต่อไปซิ
อาตมาก็ได้รับธรรมะจากท่านพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน ได้ปฏิบัติอย่างจริงจังนับแต่นั้นเป็นต้นมา
◎ #ผู้มีดวงแก้ว
ชีวิตในเพศแห่งความบริสุทธิ์นั้น ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต ท่านได้เคยฝึกฝนอบรมจิตอันเป็นแนวทางแห่งสมถกรรมฐานอย่างแก่กล้า มุ่งมั่นสามารถกระทำอันสิ่งลี้ลับให้ปรากฏเป็นจริงได้เช่น การเพ่งดวงกสิณความว่าง ให้เป็นทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ กลับกลายเป็นเรื่องเวิ้งว้างว่างเปล่าไป
◎ #จิตลอยเด่นรู้ชัด
ครั้งนั้นอาตมาเป็นพระภิกษุหนุ่ม ร่างกายแข็งแรงดี ไปอยู่นิคมควนกาหลง เป็นป่าใหญ่ ต้นไม้หนาแน่น สามแสนกว่าไร่
เมื่อสลบจิตก็ลอยออกมามันได้เห็นทุกอย่างเหมือนมองด้วยตาเปล่านี่แหละ มันล่วงรู้ไปไกล ครั้นแล้วจิตก็ลอยไปๆ มันไปเที่ยวก็ลอยวนรอบๆ ก็มาที่วัดอโศการามนี่แหละ ครั้งนั้นท่านพ่อลี มรณภาพไปแล้วนะ พอจิตมันลอยมา ก็มองเห็นศาลามองทะลุลงไปเห็นศพของท่านพ่อลี ร่างท่านนิดเดียวก็มีสติได้ว่า
โอ ๆ ...นี่เราตายแล้วนี่นะ ไม่ได้ๆ ยังมีหน้าที่ต้องศึกษา ต้องภาวนาอีกมาก ไม่ได้นะ เลยก็ภาวนา พุทโธ ๆ ๆ ... ที่สุดมันก็ลืมตาขึ้นมา ใจก็ภาวนาพุท-โธ นั่นแหละจนลืมตามานั่นแหละ จึงรู้ว่า อ้าว...เราไปมาอย่างไรล่ะ นี่มันโรงพยาบาล
กรรมฐาน แม้บุคคลใดมีข้อประพฤติอยู่เสมอทุกค่ำเช้า เดินจงกรมนั่งภาวนาเรื่อยๆ ไป เมื่อตายไปมีสุคติแน่นอนเพราะมันมีความรู้ความเข้าใจแจ้ง มีสติชัดเจนจริงๆ ต้องทำภาวนากันนะ อย่าทอดทิ้ง อย่าผลัดวันนะ มันจะทำให้เราวุ่นวาย ตายไปแล้วมันจะได้ยาก มันจะหลงชาติหลงภพ ไปตกสภาวะกรรม จงรีบเร่งเถิด...
ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต ได้มีโอกาสกราบและฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน ในครั้งแรก เมื่อได้พบสนทนาธรรมกับท่านแล้ว ก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างใหญ่หลวง "ท่านไม่ใช่พระธรรมดาเลย" เพราะปฏิปทาของท่านนั้นเป็นที่น่าประทับใจมาก จึงหมั่นไปมาหาสู่ท่าน นี่เป็นการได้พบพระดี พึ่งบุญบารมีของท่าน หาได้ยากนะ พระดีๆ น่ะ โยมจะต้องพยายามแสวงหาไว้
◎ #เพ่งปีตกสิณ_กสิณสีเหลือง
การเพ่งกสิณ อันเป็นวิชาอันหนึ่งในการชักจูงจิตให้เป็นสมาธิ แรกๆ ที่เริ่มต้นภาวนา ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ เมตตาแนะนำว่า...
"สมันแรกภาวนาอะไรๆ ก็ไม่เป็นนะโยม ทีนี้เราจะเอาอย่างหนังสือวิสุทธิมรรค ที่เขานำมาแจกกันนะ มันไม่ไหว ถ้าจะเอาตามนั้นแย่ ยุ่งยากเหลือเกิน เวลานั้นจะเอาอย่างไรเขาจะมาทำให้ แค่จิตใจหวั่นไหวกับสภาวะสงครามมันยังไม่หายเลย
ก็คิดว่า เอาสิ่งที่มันมีอยู่ก็แล้วกัน คือ เพ่งลงกสิณ เอาพระจันทร์สีเหลืองอ่อนๆ เป็นวงกลมธรรมชาตินี่แหละ อาตมาเตรียมตัวนั่งแต่หัวค่ำพอดีนะ พระจันทร์เขาขึ้นมาแล้ว ก็นั่งเพ่งพระจันทร์นั้น อะไรจะเกิดขึ้น ก็อย่าสนใจมัน ตั้งกฏเกณฑ์เอาเองว่า
เราจะเพ่งไม่ยอมหลับตาเป็นอันขาด แม้น้ำหูน้ำตาจะไหลแข่งกับแม่น้ำโขงก็ไม่ขอเป็นห่วงไม่ยอมหลับตา กะพริบตาเป็นอันขาด
วันนั้นนั่งอยู่นอกกุฏิชานวัดป่าอรุณรังษีนั้น เป็นวัดป่าอยู่หลังคุก ไม่มีไฟฟ้าอะไรเลย มืดตื้อ มองไม่เห็นอะไร รอจนประมาณพระจันทร์ขึ้น แล้วก็มาเพ่งในที่มืด แรกๆ มันเป็นดวงแล้วค่อยๆ หายไป
พยายามทำอยู่อย่างนั้นหลายๆ หน เพ่งไม่ยอมหลับตาเลย น้ำตานี่ไหลพรากเลยทีเดียว แต่ก็ช่างมัน เพ่งไปๆ ดวงจันทร์สูงขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ ในที่สุดความสว่างที่เราเรียกว่า "อุคหนิมิต" ก็เกิดขึ้น เวลาดวงนิมิตมันเกิดขึ้น ถ้าเป็นนิมิตจากการเพ่งกสิณแท้ๆ แล้วละก็ ถ้ามันเกิดปั๊บขึ้นมา จิตก็จะนิ่งเลย
อันนี้มันเป็นกสิณแท้เพราะมันรู้ด้วยจิตในขณะนั้น เป็นครั้งแรกด้วย แต่ถ้ามันยังวับๆ แวบๆ ก็ยังไม่เป็นหรอก พอนิมิตมันเกิดขึ้นเป็นวงสว่างเหมือนกับพระจันทร์แล้ว จิตจะนิ่งทันที จากนั้นภาพเหล่านั้นมันจะหายไปไม่เหลือ แต่จิตนิ่งสงบ ต่อไปอุปจารฌานและอัปนาฌานก็จะเกิดขึ้นได้ดังนี้
ต่อไปเราจะเลิกหรือเราจะไปตั้งใหม่ตรงไหนก็ได้หล่ะทีนี้ อาตมาทำได้เสมอ อันนี้เป็นนิมิตภาวนา เมื่อครั้งเพ่งกสิณในครั้งแรก
การที่อาตมาเพ่งปีตกสิณสีเหลืองนี้ได้พบความสงบแล้วก็ได้ไปกราบเรียนให้ท่านพระอาจารย์กู่ ท่านได้ทราบ ท่านก็บอกว่า..
เออ..เราเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเลยนะในเรื่องกสิณนี่ แต่ก็มีเพื่อนสหธรรมิกกันมากมาย ที่เป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต มีแยะได้นิมิตกันมากเหมือนกันนะ ก็เวลานี้ท่านเหล่านั้นเข้าป่าไปแล้ว มีท่านอาจารย์ลี ธมฺมธโร ท่านอาจารย์ชอบ ฐานสโม เป็นต้น
พระอาจารย์องค์แรก ของท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต คือท่านพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน วัดป่ากลางโนนภู่ จังหวัดสกลนคร
องค์ที่สองคือ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ
องค์ที่สามคือ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม แห่งวัดป่าสัมมานุสรณ์ จังหวัดเลย
◎ #กสิณไฟ
กสิณไฟ ท่านก็สามารถเพ่งให้เกิดแสงสว่างเป็นดวงไฟยังสามารถทความอบอุ่น ต่อสู้กับอากาศอันหนาวเหน็บ ซึ่งปรากฏในครั้ง พ.ศ.๒๕๐๒ บนยอดเขาสูง บ้านบง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และที่ภาคเหนือ เช่น สำนักภาวนาผาแด่น และผาเด็ง ครั้งนั้นก็ต้องผจญกับสภาวะอันทุกข์ยากลำบาก อากาศหนาวบาดจิตบาดใจ ซ้ำร้ายยังมีน้ำค้างทำให้บริเวณอับชื้นเป็นอันมาก กสิณที่ท่านเคยเรียนมาสามารถยังประโยชน์ได้เมื่อคราวความจำเป็นมาถึง แต่ท่านก็มิใช่ว่าจะใช้ตลอดไป บางคราวก็ต้องปล่อยวาง
◎ #กสิณน้ำ
กสิณน้ำ ยังประโยชน์ได้อย่างมหาศาล เมื่อครั้งอยู่ภาวนากับหลวงปู่กู่ ธมฺมทินฺโน และเป็นคราวฤดูแล้งจัด ทั้งร้อนทั้งกระหายน้ำ จึงได้ศึกษากสิณน้ำได้สำเร็จ ครั้นเมื่อคราวอาพาธอยู่กลางป่าดงขาดผู้ดูแล ทั้งยากจะหาเภสัชมาเยียวยาได้ ดังนั้นท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ จึงได้อาศัยธรรมะเข้าระงับทุกขเวทนาอันเกิดมาจากไข้ป่ามาลาเรีย เพ่งความว่างปล่อยอารมณ์เป็นหนึ่ง รักษาจนหายเบากายเบาใจ ในที่สุดก็สามารถฟื้นฟูสภาวะสังขารให้แข็งแรงดุจเดิมได้
อีกครั้งหนึ่งท่านได้รับบัญชาจากพระเถระเดินทางไปตั้งสำนักสงฆ์ ณ นิคมควนกาหลง จังหวัดสตูล ห่างไกลตัวจังหวัดมากในครั้งนั้น ต้องเดินด้วยเท้าเปล่า อยู่กลางดงพงไพร มีโรงเลื่อยอยู่โรงเดียว อาศัยคนงานเหล่านี้ใส่บาตรให้ได้ฉัน
ณ ที่นั่น ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ได้ประจักษ์ผลของความจริงและความศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์พระกรรมฐาน เมื่อท่านล้มป่วยเป็นไข้ป่า ท่านป่วยหนักถึงกับวิญญาณออกจากร่าง สลบไป ๓ วัน ๓ คืน ท่านเห็นผลกรรมฐานว่ากรรมฐานช่วยยกจิตมนุษย์ให้สูงขึ้นได้จริงๆ มีสติดีเยี่ยม
◎ #เห็นหลวงปู่ชอบครั้งแรก
ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ท่านสละชีวิตราชการตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น นำตัวเข้าบวช ณ วัดศรีเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เมื่อบวชแล้วท่านก็แสวงหาครูอาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน
“อาตมาเคยเห็นพระธุดงค์แบกกลดบริขาร เดินไปอย่างสงบ มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ ทั้งสายตาและกิริยาที่เดินจึงทำให้เห็นภาพประทับใจ
ต่อมาเมื่อได้บวชแล้วได้ ๓ พรรษา อาตมาก็เดินทางขึ้นภาคเหนือ ไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หลังจากถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต แล้ว
ตอนไปภาคเหนือนั้น อาตมาอยากจะออกป่าเดินธุดงค์เหลือเกิน ได้ยินพระรุ่นพี่ท่านเล่าอย่างนั้น เล่าอย่างนี้ พูดคุยในเรื่องจิตเรื่องธรรม ก็ทำให้จิตใจฮึกเหิมใหญ่ แต่ก็ยังไม่ได้ออกธุดงค์สักครั้งเดียว
ก็บังเอิญได้มาพบครูอาจารย์เข้าอีก วันนั้นเป็นวันวิสาขบูชาได้ยินเพื่อนพระด้วยกันบอกว่า
“คุณอยากจะเดินธุดงค์ คุณควรไปเห็นปฏิปทาของครูบาอาจารย์เสียก่อน วันนี้ท่านจะมาชุมนุมกันที่วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่”
พอได้ยินแค่นี้ ก็ดีใจมาก ไม่รอช้า รีบเร่งไปเลยทีเดียว เวลานั้นจิตใจมันมีความเลื่อมใสศรัทธามาก
เมื่อเดินทางไปถึงก็มองเห็นภาพประทับใจเข้าอีก โอ ! น้ำตาคลอเลยทีเดียว
พระป่าครูอาจารย์ ท่านมาประชุมกันมากมาย ไม่ได้นัดหมายกันหรอก ท่านมาของท่านเองถึง ๙๗ องค์ นั่งเรียงรายกันเต็มลานวัดนั้น มองแล้วมันชื่นตาชื่นใจ นับเป็นมงคลแก่ตนเองมาก
อาตมาเป็นพระเด็ก ก็เที่ยวซอกแซกไปเรื่อย ถามเพื่อนพระที่บวชก่อน และเคยรู้กิตติศัพท์ของครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ท่านก็ตอบให้ฟัง-องค์นั้นชื่อนั้น องค์นี้ชื่อนี้...องค์นั้นจิตท่านว่องไว รู้วาระจิตของผู้อื่นได้หมด คิดอะไรนึกอะไรรู้หมด...
องค์นั้นท่านก็เก่ง จิตท่านกำหนดรู้ว่องไวมาก...องค์นั้นท่านจะนั่งในป่าเขาลำเนาไพรที่ไหนก็ตาม พวกวิญญาณ เทวดาทั้งหลาย มักจะไปฟังธรรมะจากท่าน องค์นี้ท่านมีกระแสจิตเยือกเย็น ถ้าแม้ท่านไปอยู่แห่งใดกระแสจิตเมตตาของท่านนี้แผ่ไปกว้างไกล ใครมาพบเห็นก็ไม่อยากหนีไปไหน...ฯลฯ
อาตมาก็ถามดะไปเลย เพราะไม่รู้จักท่านจริงๆ นั่น หลวงปู่แหวน นั่น หลวงปู่ตื้อ
หลวงปู่ที่ตัวเล็กๆ ผอมดำ นั่นเป็นใคร ? พระเพื่อนก็ไม่รู้จัก เพียงแต่บอกว่า องค์นี้ชอบอยู่แต่ในป่า ไม่ค่อยจะได้พบท่านหรอก ท่านชอบอยู่บนดอยสูงๆ กับพวกกะเหรี่ยง พวกยาง”
“วันนั้นได้ทำวัตรสวดมนต์กัน เสร็จแล้วก็มีการนิมนต์พระขึ้นเทศน์ นิมนต์หลวงปู่องค์นั้น...นิมนต์พระอาจารย์องค์นี้...ที่สุดก็ประกาศนิมนต์ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เรียกกี่ครั้งๆ ก็เงียบ ไม่มีพระจะเดินไปที่ธรรมาสน์
อาตมาก็ถามพระป่าองค์หนึ่งว่า พระคุณท่าน พระอาจารย์ชอบน่ะ คือใครกันครับ กระผมเห็นเรียกอยู่นานแล้ว ?
พระองค์ที่อาตมาถาม ก็พูดว่า “อ้าว ! ก็พระตัวเล็กดำๆ นั่งอยู่แถวต้นๆ นั่นแหละ ท่านหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะเข้าป่าแล้วมั้งนี่...”
อาตมาก็มิได้ติดใจอะไรตอนนั้น จะพูดคุยกับครูบาอาจารย์ก็ไม่กล้า ปล่อยเวลาไปทั้งคืนนั้น
รุ่งเช้า อ้าว ! ท่านเข้าป่ากันหมดแล้ว !
◎ #ไปจำพรรษากับหลวงปู่ชอบ_ฐานสโม
หลังจากได้พบพระป่าที่วัดเจดีย์หลวงในครั้งนั้นแล้ว พระอาจารย์บุญฤทธิ์ ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ท่านเล่าเรื่องต่อไป ดังนี้
อาตมาเดินทางกลับกรุงเทพฯ ได้มาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส ก็ที่วัดนี้ อาตมาได้มาพบกับท่านพ่อลี ธมฺมธโร ท่านมาพักถวายธรรมแด่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสฺสเถร (ติสฺโส อ้วน)
วันหนึ่ง อาตมาหาโอกาสเข้าไปปรนนิบัติ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ก็ได้ถามขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ครับ พระอาจารย์ชอบน่ะ คือใครครับผม ?”
“โอ ! นั่นแหละลูกศิษย์มีอภิญญาของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต....ถามทำไมล่ะ เคยเห็นท่านหรือ ?”
อาตมาตอบท่านไปว่า “ครับ เคยเห็นท่านที่วัดเจดีย์หลวง...ถ้างั้นกระผมกราบลาท่านอาจารย์ไปเชียงใหม่อีก ขอไปปฏิบัติกับท่านอาจารยชอบ”
กราบลาแล้ว ก็เป็นอันเก็บบาตร กลด สิ่งต่างๆ อีกครั้ง ขึ้นไปเชียงใหม่ ที่รีบเร่งเพราะได้ยินคำว่า “อภิญญา”
เรื่อง อภิญญา ฌานสมาบัติ พระนิพพาน นี่ต้องใจมาก ก็เราบวชเข้ามาก็พึงหวังความจริงข้อนี้
ก่อนออกเดินทาง ท่านเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส ท่านก็ทักท้วงว่า
“อ้าว ! จะไปไหนละ นี่ก็จวนจะเข้าพรรษาแล้ว ท่านจะไปไหน ไม่อยู่จำพรรษาด้วยกันหรือไงกัน ?”
อาตมาก็เรียนท่านไปว่า “กระผมจะไปจำพรรษากับท่านอาจารย์ชอบ ครับ !”
“เฮ้ย ! เดี๋ยวก็ถูกหามออกมาจากป่าหรอกนะ ไข้ป่าจะเล่นงานเอา อย่าไปเลย”
อาตมาไม่ฟังเสียง เดินทางแน่วไปเลย ขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่ จิตใจเวลานั้นไม่มีการย่อท้อ หามออกจากป่าก็ช่าง ตายก็ช่าง ขอให้ได้ศึกษาอยู่กับท่านให้ได้อภิญญาก็แล้วกัน มันต้องเรียนเอาให้ได้
ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต ท่านอยู่ในกรุง ทำงานเป็นข้าราชการหลายปี ชีวิตที่เคยอยู่ในความสะดวกสบาย มีน้ำมีไฟสะดวกทุกอย่าง ไม่เคยเดือดร้อนในการอยู่การกิน
เมื่อต้องไปอยู่ป่าก็จะทำให้เกิดความลำบาก แล้วขณะนี้ ความตั้งใจของพระภิกษุหนุ่ม มุ่งสู่ป่าดงพงไพร ไปอยู่กับพระอาจารย์ผู้ยิ่งยงในการธุดงค์ ใช้ชีวิตแบบป่าๆ อยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
หลายคนตั้งปัญหาถามว่า “มันจะไหวหรือท่าน ? แน่ใจหรือท่าน ?”
พระอาจารย์บุญฤทธิ์ บอกกับตัวท่านเองในขณะนั้นว่า “ไม่ลองจะรู้หรือ ! จะหามออกจากป่าอย่างสิ้นท่า หรือว่าจะอยู่ป่าอย่างสะดวกสบายเย้ยกิเลสตัณหา ก็จะรู้กันคราวนี้แหละ”
พระอาจารย์ เล่าความรู้สึกและเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า.. “ใครๆ เขาห้ามปรามกัน เพราะเกรงว่าอาตมาจะตายเสียก่อน เพราะถ้าไปอยู่กับท่านหลวงปู่ชอบ ละก็ต้องบุกหนักทีเดียว ท่านชอบไปอยู่ป่ากับพวกกะเหรี่ยงพวกยาง
อาหารการกินก็ไม่ค่อยจะมี กินใบหญ้าใบไม้ แล้วก็ปลาร้าลูกหนูแดงๆ น่ะ
อาตมาอยากได้อภิญญา ไม่ฟังเสียง แล่นไปจังหวัดเชียงใหม่ ก็ไปพบกับ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระผู้มีพลังจิตสูงองค์หนึ่ง
เวลานั้นอาตมาไม่รู้ ก็ได้รับการทักท้วงจากท่านว่า “อย่าเพิ่งไปเลย รอหน้าแล้งก่อนเถอะ เวลานี้อากาศชื้น ลำบากมาก เธอจะทนไม่ได้”
ไม่ฟังเสียง ไปอย่างเดียว เดินทางไปถึงวัดป่าห้วยน้ำริน แวะกราบนมัสการ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านก็ห้ามอีกว่า “อยู่ที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งไป !”
แหม...อาตมาไม่ฟังเสียงท่านผู้เป็นครูบาอาจารย์เลย ตั้งใจไปให้ได้ไม่ย่อท้อ ลำบากก็ช่าง เป็นการทรมานตัวเอง ที่มีโอกาสพบท่านที่วัดเจดีย์หลวงอยู่แล้ว แต่ก็พลาดโอกาสเมื่อวันวิสาขบูชามิหนำซ้ำยังนึกปรามาสท่านเสียอีก
ฉะนั้น ต้องทำโทษตัวเอง ทรมานให้มันรู้สึกที่ไม่รู้จักอะไรเป็นอะไร
นั่น คิดอย่างนั้น ก็ทำให้เกิดกำลังใจจะเดินทางไปกราบท่านให้จงได้
ที่ครูบาอาจารย์ท่านทักท้วงมาตั้งแต่กรุงเทพฯ จนมาถึงเชียงใหม่ ท่านผู้เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ทักท้วงอีก ทำให้อาตมายิ่งแน่ใจในปฏิปทาของท่านหลวงปู่ชอบ ว่าจะต้องเป็นชีวิตที่ลำบากยากแค้นมาก และสถานที่ที่ท่านไปอยู่บำเพ็ญภาวนานั้นจะต้องเป็นสถานที่กันดาร ไปมาลำบาก ขึ้นเขาลงห้วย ยากตลอดทั้งไปและอยู่ทีเดียว
อาตมาคิดปลงตก ตายเป็นตาย ขอไปตายกับท่านเพื่อเอาอภิญญาให้ได้ จะได้รู้ว่าคนมีอภิญญาน่ะมันเป็นลักษณะไหนกันแน่...”
◎ #สภาพความเป็นอยู่ที่ผาแด่น
“...เออ ! มันชอบใจคำว่า อภิญญา ท่านพ่อลีพูดจบ อาตมาก็อยากมาให้ถึงเชียงใหม่เลย
โอ ! ก็เป็นดังที่เขาเล่าลือกันจริงๆ อาตมาดั้นด้นไปจนพบกับท่าน...
ครั้งนั้นอาตมาไปพบท่านที่ผาแด่น ก็กะอุบายไว้ว่า ไปพบกับหลวงปู่ท่านให้เข้าพรรษาพอดี เพื่อว่าท่านจะได้ไล่เราหนีไม่ได้ ก็มันเข้าพรรษาแล้วนี่นะ
วางแผนก็ลงล็อกเลยโยม ท่านก็รู้ด้วยจิตแน่ๆ ท่านเห็นหน้าก็ยิ้ม พูดนิดๆ หน่อยๆ
จากนั้นท่านก็แนะให้ไปพักเลือกเอาสถานที่เหมาะๆ อยู่ภาวนากับท่าน...”
ตอนนั้น มันสามารถจะทำได้ ปฏิบัติได้ ก็เพราะว่าศรัทธาในองค์ท่าน และก็คิดจะปฏิบัติให้ได้อภิญญาด้วยนะ สู้สุดชีวิตเลย
เออ ! มันสบายดีเหมือนกัน ถ้าหากเราสามารถปล่อยวางได้...”
“ระยะแรกที่ได้ไปอยู่ในป่าดงพงไพร โดยเฉพาะที่ผาแด่น มีความยุ่งยากลำบากและกันดาร
ก็เหมือนตอนเช้า อาตมาเดินตามหลังหลวงปู่ไปบิณฑบาตจากชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นพวกยาง เป็นชาวบ้านป่ากลุ่มหนึ่ง ที่เชิงเขา
ได้รับอาหารบิณฑบาตที่เขาใส่มา ก็อาตมาเป็นพระชาวกรุงนี่ เห็นครั้งแรกก็แทบสะอึก
อะไรรู้ไหมล่ะ ?
อาหารเขาง่ายๆ นะ เขาเอาบอนมาปอก แล้วก็ตำกับน้ำ เอาเกลือใส่ปะแล่มๆ บ้าง ใบไม้บางชนิดตำกับเกลือ ใส่น้ำขลุกขลิกบ้าง เกลือกับพริกตำแล้วเอาน้ำใส่โหรงเหรง ดูแล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะเอารสชาติแบบไหนกัน
บางคราวไปเจอเอาลูกหนูหมักดองด้วยเกลือ เขานำเอามาปรุงอาหารแต่ละครั้งก็เหม็นคลุ้งไปหมด
แรกๆ อาตมารู้สึกพะอืดพะอม มองดูหลวงปู่ท่านนั่งฉันหน้าตาเฉย เอ ! จะทำอย่างไรดี
ข้าวเหนียวนั้นไม่มีปัญหาอะไรหรอก กับข้าวนี่ซี มันแสนจะทรมาน ที่สุดก็กล้ำกลืนฉันบ้าง
หลวงปู่ชอบท่านสอนเสมอๆ ว่า “อาหารบิณฑบาตได้มาก็ฉันไปตามมีตามได้ ฉันพอประทังให้ธาตุขันธ์อยู่ได้ ก็นับได้ว่าดีแล้ว มีพลังในกาบำเพ็ญธรรมต่อไป”
เอาละ คิดอย่างนั้นนะ ท่านฉันได้ เราก็ต้องฉันได้ !
อาตมาฉันได้ประมาณหนึ่งเดือน ธาตุขันธ์มันไม่เคย ท้องร่วงถ่ายตลอดทั้งเดือน
ทำไงดี ? นอนหอบซี่โครงบานๆ มันอ่อนเพลีย ถ่ายมากเหลือเกิน แต่ก็ไม่เป็นไร สู้ได้ !
วันหนึ่งพวกยางเขาทำพิธีอะไรก็ไม่รู้ในหมู่บ้านเขา เสร็จแล้วงานนี้มีไก่มาถวายเป็นอาหาร พอได้ไก่มา หลวงปู่ท่านก็สั่งพระที่อยู่ด้วยว่า
“เก็บไว้ให้บุญฤทธิ์ ยามาแล้วคราวนี้”
ท่านพูดแล้วให้พระไปตามอาตมา ซึ่งพักปักกลดอยู่ก็ไกลพอสมควร เดินไปมาหากันราวๆ กิโลเมตรกว่าๆ
อาตมาเดินมารับไก่นั้นเป็นอาหารเช้าในวันนั้น มันก็แปลกมาก พออาตมาฉันไก่ที่หลวงปู่บอกว่าเป็นยา อาตมาก็ฉันหมด โรคท้องร่วงก็หายมาตั้งแต่บัดนั้นเลยทีเดียว
อันนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์มากนะ เออ ! ไก่เป็นยาก็ดีเหมือนกันนะโยม”
◎ #กิจวัตรช่วงอยู่กับหลวงปู่ชอบ_ฐานสโม
ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต ไปอยู่จำพรรษากับ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ครั้งแรก ที่ภูผาแด่น อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ นั้น ท่านยังเป็นพระบวชใหม่ ที่เรียกว่าพระนวกะอยู่ เพราะเพิ่งบวชได้ ๔ พรรษา
ในปีนั้น อากาศหนาว ความจริงสภาพชีวิตเคยได้สัมผัสกับความหนาวจากประเทศทางยุโรปมาแล้ว แต่ครั้งนั้นอุปกรณ์กันหนาวดูครบครัน
ครั้งนี้ แม้อากาศจะหนาวไม่เท่ายุโรป แต่อาศัยจีวร อังสะ บางๆ แค่นั้น ก็ย่อมสะท้านเข้าไปถึงจิตใจ นอกจากความหนาวแล้ว ยังมีน้ำค้างพรั่งพรมส่งเสริมความชื้นเยือกเย็นเข้าไปอีก
กิจวัตรของอาตมาต้องปรนนิบัติหลวงปู่ชอบ ฐานสโม อากาศหนาวแค่ไหนก็ตาม ก่อนสว่างอาตมาจะต้องต้มน้ำ ดังนั้นจะต้องก่อไฟเสียก่อน เวลาทำงานจะต้องเงียบนะไม่มีเสียงเลย
การไปหาฟืนมาสำรองไว้นั้น ทำเวลากลางคืน บนเขาน่ะมันมืดมากนะโยม หาฟืนน่ะต้องค่อยๆ คลำหา แล้วก็เก็บมารวมไว้ ได้มาแล้วต้องมาผ่าไม้ฟืน ตักน้ำถวาย ถังน้ำเป็นสังกะสีต้องเงียบไม่กระทบให้ดัง ต้องมีสติระวังตัวไม่เผลอ
อาตมาต้มน้ำ-ก่อไฟเสร็จ ก็พอดีใกล้สว่าง ผสมน้ำอุ่นไปถวาย เดินก็ค่อยๆ ทำ กระโถนไม่มีใช้ ต้องตัดไม้ไผ่กระบอกมันเอามาทำกระโถน
อาตมานำเอาไปเท แล้วก็ล้าง จากนั้นก็ตากแดดไว้พอแห้ง ตอนสายก็กวาดใบไม้ ภาวนาไปด้วย
การภาวนา หลวงปู่ท่านไม่สอนอะไรมาก เมื่อบอกให้ภาวนา แล้วต่างองค์ก็ต่างภาวนา ท่านบอกว่า “ทำจิตให้เหมือนธรรมชาตินี้ เห็นไหมธรรมชาติสงบ วิเวก จิตวิเวกสงบตามไปด้วย” แต่เมื่อนั่งภาวนาไปๆ จิตมันแลบออกไปคิดโน่นคิดนี่ หลวงปู่ตามดูจิตรู้ทักเอาว่า.. “เฮ่ย ! บุญฤทธิ์ ทำจิตอย่างนั้นไม่ถูก”
เมื่อท่านตักเตือนให้ ก็ตั้งสติใหม่ ทำจิตกำหนดรู้เฉพาะหน้า พยายามต่อไป และก็ทำสติไม่ให้พลั้งเผลออีก กำหนดรู้อย่างเดียว
การเดินธุดงค์ในป่าในเขาลำเนาไพร ขึ้นยอดดอย เทือกเขาเข้าป่าดงพงไพรนั้น หลวงปู่ชอบท่านตักเตือนศิษย์ให้ระวังสังวร มิให้เกิดความประมาท
หลวงปู่ ท่านพูดถึงการกระทำของพระผู้มีศีลเป็นเครื่องคุ้มครอง แม้ใครประมาททำความมัวหมองให้แก่จิตใจตนเองมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ไม่มีใครๆ เห็นก็ตาม ไม่ได้ยินก็ตาม...
“...แต่สิ่งอันลึกลับเกินกว่าจิตของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาๆ ก็ย่อมรู้เห็นได้ และยังมีอีกมาก เพราะว่าผู้มีจิตละเอียดจริงๆ ยังมีอยู่ จงอย่าปฏิเสธความจริงในข้อนี้”
ผู้ประพฤติปฏิบัติพระกรรมฐาน จงทำเพื่อความไม่ประมาท จงสำรวมระวังในทุกอิริยาบถ ทำความงดงามตลอดเวลา
แต่เมื่อศิษย์คิดผิด ทำผิด หลวงปู่ ท่านจะรู้ก่อน และก็ดักใจศิษย์คนนั้นจนบังเกิดความเกรงกลัวมาก อันนี้อาตมาจึงพยายามเรียนรู้ปรจิตวิชา หรือการกำหนดรู้ใจของผู้อื่นอย่างแม่นยำของท่านให้ได้ อันนี้อาตมาถือว่า เป็นอิทธิฤทธิ์ทางใจอันหนึ่ง เพราะคนธรรมดาๆ คงไม่รู้ผลแน่ๆ
“หลวงปู่ชอบ ท่านได้สร้างวัดป่าผาแด่น วัดป่าโป่งเดือด และวัดป่าปางยางหนาด “โอ ! โยมเอ๋ย แต่ละวัดที่ท่านไปสร้างนั้นอยู่บนเขาสูงทั้งนั้นเลย... โอ ! ท่านเคร่งครัดมากนะโยม หลวงปู่ซอบท่านไม่ค่อยพูดอะไรนัก สอนธรรมะแล้วก็ให้ภาวนาเอาเลย...”
นี่คนเมืองน่าจะไปศึกษากับคนบ้านดอยบ้างนะ อาตมาไปอยู่บ้านกระเหรี่ยงพวกยางในป่านาน ๙ ปี อาตมาไม่เคยเห็นเขาทำความผิดอะไร ผัวเมียตีกันก็ไม่มี ทะเลาะกันก็ไม่มี เด็กเล็กด่าพ่อแม่ก็ไม่มี
อันนี้เปรียบได้ว่า คนเราทีแรกนั้นมันดี พอได้เรียนมันก็เสีย รู้มากไปมีวิธีมากๆ ไป เลยทำลายสังคม ก็เหมือนแม่น้ำ แต่ก่อนสะอาดสดใสมาก คนมากๆ เข้า มันก็ช่วยกันทำลายเอานั่นทิ้ง เอาอะไรถม สุดท้ายเหม็น น้ำก็เน่าไปได้
◎ #เสียงพญานาค
ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ประสบการณ์อันหนึ่ง พระรามที่ทำความเพียรอยู่ที่ภูผาแด่นกับหลวงปู่ชอบ “สถานที่ที่บำเพ็ญภาวนานั้น เรียกว่าผาแด่น ใกล้ๆ กับผาแด่นนี้ มีอีกดอยแห่งหนึ่ง พวกยางเรียกว่า “ผาเด่ง” อาตมาขึ้นไปทำความเพียรก็เห็นว่าดีมาก เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา สิ่งที่ขออนุญาตจากหลวงปู่ชอบ ท่านก็บอกว่าดีไปภาวนาเถิด มันวิเวกดีมาก
อาตมาไปทำความเพียรอยู่นั่งสมาธิมาก แล้วก็เดินจงกรมเดินจงกรมที่นี่มากทีเดียว ลมโชยอ่อนๆ แดดไม่ร้อน แต่มีอย่างหนึ่ง คือขณะภาวนาอยู่นั้น บางวันได้ยินเสียงดังเหมือนกับหวูดรถไฟ หวูดหัวรถจักรไอน้ำ อาตมาสงสัยที่ไม่เข้าไปกราบเรียนหลวงปู่ชอบ ท่านว่า.. “นั่นแหละเสียงพญานาค” พญานาคมีทุกหนแห่งเพราะเป็นวิสัยภูมิเทพระดับหนึ่ง นิมิตรอยู่ที่ไหนก็ได้ คนส่วนมากเข้าใจว่า พญานาคอยู่ในน้ำเท่านั้น ความจริงเขาก็เป็นพวกเทพเหมือนกัน เสียงพญานาคที่ร้องนั้น ดังมากจนอากาศส่วนนั้นสะเทือนทีเดียว
ยามบ่ายๆ หน่อย อากาศดีมาก แสงแดดจะส่องผ่านทิวเขาต่างๆ ที่สลับซับซ้อนจนเกิดเป็นสีสันงามมาก เช่น สีม่วง สีน้ำเงิน สีแสด สีชมพู มองดูงามมากจริงๆ อาตมาไปฟังเสียงพญานาคร้องให้ได้ยินหลายครั้ง ถ้าจะพูดว่าเสียคนอื่นๆ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้มันอยู่ในป่าดง เอาเสียงอะไรมาล่ะ มีแต่ป่าห่างไกลความเจริญด้วย ถ้าเป็นเสียงช้างเสียงเสือนั้น มันร้องก็จำได้ ไม่ใช่สัตว์ป่าพวกนี้แน่ๆ อีกอย่างเวลามันร้อง ก็ฟังได้ยินอยู่เสมอจำได้ดี
◎ #ทำงานด้วยฤทธิ์
การเดินธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร ขึ้นยอดดอย เทือกเขาเข้าป่าดงพงไพรนั้น หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านมักเตือนศิษย์ให้ระวังสังวรมิให้เกิดความประมาท ท่านพูดถึงการกระทำของพระผู้มีศีลเป็นเครื่องคุ้มครอง แม้ใครประมาททำความมัวหมองให้แก่จิตใจตนเองมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ไม่มีใครๆ เห็นก็ตาม ไม่ได้ยินก็ตาม สิ่งอันลึกลับเกินกว่าจิตของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาๆ ก็ย่อมรู้เห็นได้และยังมีอีกมาก เพราะผู้มีจิตละเอียดจริงๆ ยังมีอยู่ จงอย่าปฏิเสธความจริงในข้อนี้
ผู้ประพฤติปฏิบัติพระกรรมฐาน จงทำเพื่อความไม่ประมาท จงสำรวมระวังในทุกอิริยาบถ ทำความงดงามตลอดเวลา แต่เมื่อมีลูกศิษย์คิดผิดทำผิด หลวงปู่ชอบ ท่านจะรู้ก่อนแล้วก็ดักใจศิษย์คนนั้นจนบังเกิดความเกรงกลัวมาก อันนี้อาตมาจึงพยายามเรียนรู้ ปรจิตวิชา หรือการกำหนดรู้ใจของผู้อื่นอย่างแม่นยำของท่านให้ได้
อันนี้อาตมาถือว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ทางใจอันหนึ่ง ก็คนธรรมดาๆ คงไม่รู้ผลแน่ๆ แต่หลวงปู่ชอบ ท่านล่วงรู้ได้อย่างรวดเร็ว ท่านสามารถดับจิตใจของศิษย์ ผู้คิดผิดหลงผิดได้อย่างถูกต้องไม่มีผิดเลยสักรายเดียว มาในระยะหลังๆ นี้ พวกเราญาติโยมไม่ทักใครอีก ท่านจะปล่อยวาง ไม่อยากทักใครอีก นอกจากนั้นลูกศิษย์ทั้งหลายต่างก็มีความตั้งใจสำรวมระวังให้งดงามมาตลอดกาล
◎ #มรณกาล
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา ๒๒.๒๒ น.ตรงกับวันพุธที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สิริอายุ ๑๐๔ ปี ๘ เดือน ๒๗ วัน ๗๓ พรรษา
กรรมใดที่ลูกได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ด้วยกายกรรม ด้วยวจีกรรม และด้วยมโนกรรม ที่ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ด้วยความขาดสติรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ขอองค์หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโตได้โปรดเมตตางดโทษล่วงเกินนั้นให้แก่ลูกหลานด้วยเทอญ
◎ #อ่านชีวประวัติปฏิปทาหลวงปู่บุญฤทธิ์_ปัณฑิโต_ฉบับเต็มได้ที่ลิ้งค์ครับ
https://m.facebook.com/thindham/albums/2321258777924650/?ref=bookmarks
_/\_ _/\_ _/\_
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น