10 พฤศจิกายน 2563

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิ

โดย: หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิ
เมื่อวันที่ 29 มากราคม 2533 เมื่อ พ.ศ. 2500 
อาตมา (หลวงพ่อ-ฤาษีลิงดำ) ป่วยหนัก ไปนอนพัก
รักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบัน – โรงพยาบาล
สมเด็จพระปิ่นเกล้า) ไปนอนอยู่ที่ตึก 1 เป็นห้องพิเศษ 
เวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าในห้องยังไม่ดับและ
ประตูก็ใส่กลอนแล้ว ถึงเวลานอน นอนคนเดียวยังไม่หลับ 
ปรากฎว่ามีคนๆ หนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง เป็นชายลักษณะ
เป็นคนล่ำๆ ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงปราดเปรียวมาก 
เป็นคนผิวขาว หน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิดๆ แต่มีเนื้อเต็ม 
นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาวเหนือเข่านิดหนึ่ง ใส่เสื้อแขนสั้น
สีขาวเหนือศอกหน่อย

ก่อนที่อาตมาจะเห็นท่านผู้นี้ ก็เพราะขณะที่ไปนอนป่วย
อยุ่ที่นั่นก็มีความรู้สึกว่า บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย
เนื่องจากกำลังใจของคนป่วยความเข้มแข็งน้อย ก็นึกว่าใน
ที่นี้เป็นเขตพระราชฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 
จึงขอพึ่งบารมีท่านให้คุ้มครอง พอท่านมายืนก็มองเห็น
ไม่ต้องหลับตาไม่ต้องเข้าฌาน ในเมื่อผีจะแสดงตัว
ให้ปรากฎ แต่ความกลัวไม่มีเพราะเรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวช
พรรษาที่ 1 ก็เลยถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร” ท่านผู้นั้น
ก็ถามว่า “เมื่อกี้ท่านนึกถึงใคร” ก็ตอบท่านว่า 
“นึกถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”

ท่านก็บอกว่า “ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช” ก็เลยมอง
ไปมองมา ดูลักษณะการแต่งตัวของท่าน ท่านถามว่า “มองอะไร” 
ก็บอกว่า “มองดูลักษณะพระเจ้าตากสินมหาราช” ท่านถามว่า
“เชื่อหรือยังว่าเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช” ตอบว่า”ยังไม่เชื่อ 
ที่มองเพราะยังไม่เชื่อ” ท่านถามว่า “ไม่เชื่อตรงไหน” ก็บอกว่า 
“ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อเพราะพระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้” 
ท่านถามว่า “กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มัน 
4 ทุ่มกว่าแล้วนะ” ก็บอกว่า “จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อเป็นกษัตริย์ 
เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฎ ก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์” ท่านบอกว่า “ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้” พอพูดจบเครื่องทรงก็
เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า “เชื่อหรือยัง “ ตอบว่า “ตอนนี้เชื่อแล้ว”

ต่อมาก็คุยกันตั้งแต่ 4 ทุ่มเศษๆ ถึงตี 5 ครึ่ง คุยกันเรื่องในอดีต 
ความเป็นมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งแต่เป็น
เด็กชายสินไว้หางเปีย จนกระทั้งถึงขั้นวางแผนให้รัชกาลที่ 1 
เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นการยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้ถูกรัชกาล
ที่ 1 ประหารชีวิต เมื่อรัชกาลที่ 1 ขึ้นเถลิงราชสมบัติแล้ว 
ก็นำสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านบวชเป็นพระแล้วนั่ง
คานหามไปส่งออกทางปากท่อ ตอนกลางคืน ไปส่งที่ถ้ำใน
จังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมีสองคน คนพี่ให้เป็น
เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจะได้บำรุงพ่อ คนน้องก็ให้ทุนเป็น
พ่อค้าสำเภา เป็นการหาทรัพย์สินเข้าเมือง เป็นการยืนยันว่า 
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนจะสวรรคตเป็นพระสงฆ์ 
ไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระองค์สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำที่ท่าน
พักก็ยังอยู่ กุฎิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฎิ
ที่อยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำให้มีความผาสุก กว่านั้น ออกจาก
ถ้ำท่านก็มีที่พัก มีห้องพักแบบสบายๆ ความจริงท่านไม่ได้สั่ง 
แต่ลูกชายเป็นคนสร้างให้ ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็น
กษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ 
ความโกรธ ความหลง และก็เป็นคนแก่ด้วย ก็หมดความรัก 
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านก็เป็นไปด้วยความเคร่งครัด 
แต่ไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า “เคร่งครัด” คือ “ปฎิบัติตรงไปตรงมา 
ในมัชฌิมาปฎิปทา”

ก่อนท่านจะลากลับ อาตมาถามว่า “ขอหวยสัก 2 ตัวได้ไหม” 
ท่านบอกว่า “สมัยผมมีแต่หวยจัยยี่กี หวยแบบเลขท้าย 3 ตัว 
2 ตัว แบบนี้ไม่มี เรื่องหวยนี่ผมไม่รู้หรอก แต่เวลานี้ผมมี
สตางค์ติดกระเป๋ามาเพียง แค่ 25 สตางค์ ผมขอถวายหมด” 
พูดแล้วท่านก็หยิบเหรียญโยนไปใต้เตียงเห็นเลข 25 ใสแจ๋ว 
พอตอนเช้าบรรดาพยาบาล และนายทหารประจำตึกมาถามว่า 
“เมื่อคืนมีอะไรบ้างครับ” ก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนสมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราชมาเยี่ยม ขอ หวยท่าน ท่านบอกว่าไม่มี 
มีแต่เงินเหรียญ 25 สตางค์ แล้วท่านก็โยนเหรียญไปใต้เตียง 
ปรากฎว่าภายในวันนั้นข่าวกระจายไปทั่วกรมอู่ ทุกคนเล่น
เลขท้าย 2 ตัว ถูกกันมาก ต่อมาวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2533 
วันนั้น พ.อ.สถาพร ได้นำดาบเล่มหนึ่งมาจากเมืองตาก 
เขาบอกว่าเป็นดาบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อมา
ให้เจ้ากรมการสัตว์หหารบกที่จังหวัดนครปฐม คืนนั้นก็นำดาบ
ตั้งไว้ที่มีเครื่องสักการะ พอตอนดึกเวลาประมาณสัก 6 ทุ่ม 
เวลาจะนอน ก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพ
สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมากมาที่ดาบ ถามท่านว่า 
“มาทำไม” ท่านบอกว่า ”ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็มาทำ
ให้มันหน่อย” ถามว่า ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง” ท่านก็
บอกว่า “ประโยชน์มี”

หลังจากนั้นก็คุยกันถามว่า “เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง” 
ท่านบอกว่า “ยังไม่ได้ลา” จึงถามว่า “ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า
จริงๆ หรือ “ ท่านบอกว่า “เวลานี้พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็ม
รอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมิเหมือนกัน 
แต่ก็ไม่แนใจว่าถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด” ก็เลยบอกว่า
“ถ้าอย่างนั้นไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหม” ท่านบอกว่า
“ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปหาพระด้วยกัน”

เมื่อไปถึงกราบท่านแล้วก็ถามว่า เวลานี้เทวดาสิน เป็น
พระโพธิสัตว์ อยากจะทราบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร 
หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว” พระท่านก็บอกว่า”จะเป็น
พระพุทธเจ้าองค์ที่ 30 หลังพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว” 
ก็เล่นเอาเทวดาสิน ต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง 30 
พระพุทธเจ้า ก็เลยถามพระว่า “ถ้าเทวดาสินจะลาจากพุทธภูมิ 
เมื่อไรจะไปนิพพาน” ท่านบอกว่า “เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจาก
พุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว ก็เหลือแต่ เอหิภิกขุ 
เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระ
สมบูรณ์แบบ” ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า 
“เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” เพียงเท่านี้ เทวดา สินก็กลับ
สภาพจากเทวดา เป็นวิสุทธิเทพ

นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌาน
สมาบัติ ถ้าถามว่า “ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ แล้วรู้ได้อย่างไร” 
ก็บอกว่า “ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ 
ไม่ว่าใคร “คนที่เห็นผีเข้าฌานหรือเปล่า เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก
ต้องเข้าฌานหรือเปล่า สภาพนี้ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอก
แต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้อง
เข้าฌานสมาบัติ...”

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...