31 พฤษภาคม 2563

อำนาจของผู้มีบารมี

🔘 #กำลังใจเต็ม
     แบบเดียวกับอารมณ์ที่เป็นธรรมเบื้องสูง อย่างที่ญาติโยมมาปฏิบัติกัน อันนี้มันสูงมาก คือธรรมเบื้องสูงที่พระพุทธเจ้าสอนก็มีสมถวิปัสสนานี่แหละสูงที่สุด ที่เราถือว่าเป็น #ปรมัตถปฏิบัติ 

ไอ้คำว่า  #ปรมัตถ์นี่แปลว่าอย่างยิ่ง ปฏิบัติในสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่จะมากัน จิตใจของทุกท่านก็น้อมยอมรับนับถือพระรัตนตรัยแล้วคือไม่ยอมรับนับถือพระรัตนตรัยมาทำไม ไม่มีใครเขามาหรอก  นั่งสบายหรือนี่ ขยับก็จะไม่ได้ใช่ไหม

อย่างนี้ถ้าเขาจ้างไปนั่งวันละ ๕๐ บาท ก็ไม่ไปกันกระมัง ใช่ไหม ไม่ไปกัน แต่ที่มานี่ได้อะไร ได้เงินได้ทองหรือก็เปล่า 

แต่ว่าสิ่งที่จะได้นั่นก็คือ ความดีที่ระดับเป็นสูงสุดและความดีที่ให้มานี่ก็ไม่มีใครบังคับ มากันเอง การมากันเองแบบนี้ก็แสดงว่าทุกคนบำเพ็ญบารมีมาดีแล้ว  

ถ้าบารมีตั้งแต่ชาติก่อนๆไม่เคยบำเพ็ญกันมาดีแล้ว เขาไม่มานั่งกันแบบนี้ จ้างเขาก็ไม่มา อันนี้ที่พูดไม่ใช่ยกย่องไม่ใช่ยกยอ  เทียบตามความเป็นจริงเพราะบารมีแบ่งเป็น ๓ ขั้น

#บารมี คำว่า บารมีเฉยๆแปลว่า #กำลังใจ กำลังใจขึ้นต้นนี่แม้จะชวนไปทำบุญที่วัด วันพระละครั้งยังไม่ค่อยจะว่างเลย  ใช่ไหมป้า อีตอนเป็นสาวๆ  อ๊ะ ! หนูสวิงเอ้ย ไปวัดกับแม่ไหมลูก ไม่ว่างแม่ วันนี้จะไปดูหนัง ใช่ไหม นี่พูดถึงตอนต้นๆนะ  เราพูดกันเรื่องจริงๆ

ถ้าจิตเข้าถึง #อุปบารมี บารมีขั้นกลาง  นี่เริ่มพอใจ

พอถึง  #ปรมัตถบารมี นี่จิตมันจับจิตมันทรงตัวมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  
แหม..#ไอ้โลกนี้มันเป็นทุกข์_เห็นอะไรมันก็เป็นทุกข์_อยากจะไปนิพพาน
รำคาญเต็มทีนี่เป็นอารมณ์ของปรมัตถบารมี

ℹ️..ตอนนี้ก็ขอพูดการปฏิบัติตอนต้น ชั้นต้นหรือปลายมีสภาพเสมอกัน  ดังนั้นท่านที่เริ่มปฏิบัติเบื้องต้นขอได้โปรดใช้ไว้เป็นปกตินั่นก็คือ #อานาปานุสสติกรรมฐาน   

◾️ #อานาปานุสสติกรรมฐาน นี้ก็ได้แก่ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก เวลาหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่หายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่นี่เป็น
แบบใน #มหาสติปัฏฐานสูตร 

◾️ #สำหรับแบบในกรรมฐาน๔๐ 
เวลาหายใจเข้าหายใจออกนั่นเขาวัดฐาน
ทั้ง ๓ ฐาน เวลาหายใจเข้ามีความรู้สึกว่าลมกระทบที่จมูก กระทบที่อกแถวนี้แล้วกระทบศูนย์เหนือสะดือ 

เวลาหายใจออกก็ลมกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก ถ้าริมฝีปากเชิด  ลมจากกระทบริมฝีปาก จะมีความรู้สึกตรงนั้น ถ้าหากว่าริมฝีปากไม่เชิดก็จะรู้ลมกระทบจมูก อันนี้รู้สึกว่าหนักหน่อย

#เพราะว่าในกรรมฐาน๔๐นี่ท่านบวกหมดทั้ง #สุขวิปัสสโก #เตวิชโช #ฉฬภิญโญ #ปฏิสัมภิทัปปัตโต ต้องใช้สมาธิสูง

ℹ️..นี่ถ้าความสะดวก ญาติโยมจะเอาแค่รู้ลมกระทบจมูกก็พออันดับแรก ถ้าเรารู้ลมเข้าลมออกกระทบจมูก แค่จมูกนี่ ท่านถือว่าจิตใจของท่านผู้นั้นทรงสมาธิได้ในขั้น #ขณิกสมาธิ ก็เรียกว่า "สมาธิเล็กน้อย" 

แล้วก็ถ้าหากว่ารู้ลม ๒ ฐาน ลมกระทบจมูกรู้ กระทบหน้าอกหรือศูนย์เหนือสะดือก็ตาม แบ่งเป็น ๒ จุด ถ้ารู้อย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านผู้นั้นเข้าถึง #อุปจารสมาธิ ที่เรียกกันว่า #อุปจารฌาน  

ถ้ารู้รวมทั้ง ๓ ฐาน ก็แสดงว่าจิตของท่านผู้นั้นเข้าถึง #ฌาน แล้ว

นี่ถ้าเวลาที่เราใช้ลมหายใจเข้าออก บางทีจิตใจมันจะเบาไปนิดหนึ่ง คนอื่นจะมีความรู้สึกอย่างไรไม่ทราบ สำหรับเมื่อเวลาอาตมาปฏิบัติ   
ว่าถ้าจะใช้รู้แต่ลมหายใจเข้าหายใจออกอย่างเดียวนี่จะรู้สึกว่าบุญมันน้อยไปหน่อย ก็อยากจะภาวนาด้วย  

เรื่องคำภาวนานี่ถ้าหากญาติโยมทั้งหลายทุกคนชำนาญในด้านไหนมาแล้ว ก็จงอย่าเปลี่ยน ถ้าไปเปลี่ยนเข้ายุ่ง มันเริ่มต้นใหม่ ใจมันจะว้าวุ่น เพราะว่าคำภาวนานี่มีผลเสมอกัน 

จะภาวนาว่าอย่างไรก็ตามมีผลเสมอกันเพราะว่าเป็นเครื่องโยงจิตให้เป็นสมาธิ

แต่ว่าในสมัยโบราณที่อาตมาเรียนมา ก็โบราณไม่กี่สิบปีนี่คงจะสืบกันมานาน ท่านใช้คำภาวนาว่า #พุทโธ เพราะว่าเป็นคำภาวนาสั้นๆแล้วไม่หนัก ถ้ายาวเกินไปคือเราใช้จังหวะไม่ถูกเหนื่อย 

เวลาหายใจเข้านึกว่า #พุท  
เวลาหายใจออกนึกว่า #โธ  
แต่ว่าใครจะว่า ธัมโม สังโฆ  อะไรก็ได้

แต่ตั้งใจไว้ก็แค่คำว่า #พุทโธ  ก็ให้อยู่ในขั้นนั้น  อย่าให้มันเลยไปถึง #ธัมโม #สังโฆแสดงว่าจิตมันเฟื่องมันฟุ้งซ่าน 

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(#พระมหาวีระ_ถาวโร ป.ธ.๔)
วัดจันทาราม(ท่าซุง)จ.อุทัยธานี
📖:ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๓ หน้า ๖๘-๗๑
📝:Moddam Thammawong

เรื่องกฎของกรรมของพระมหาชนก


โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

กรรมเดิม...คือว่าในสมัยชาติก่อนถอยหลังเข้าไป
กี่ชาติจำไม่ได้ เพราะเวลาพูดนี่ไม่ได้นำเอาหนังสือ
มาอ่าน ไม่ได้เรียบเรียงมา เอาจากพุงมาคุยกัน 
คุยจากพุงนะ ว่าพุงจำมาได้เท่าไหร่ก็ว่าเท่านั้น 
ถ้าบกพร่องไปบ้างขอบรรดาพุทธบริษัทให้อภัย
ว่าในสมัยชาตินั้นพระมหาชนกกับพระบรมราชินี 
เวลานั้นพระมหาชนกเป็นกษัตริย์ สรงสนาน
คือสรงน้ำอยู่ในชายทะเลแห่งหนึ่ง เวลานั้นมีเณรเล็ก ๆ 
เป็นเด็กอายุเพียง ๗ ขวบ พายเรือมา ผ่านมา

เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินรู้สึกเขาไม่ถือตัวกันนัก 
เป็นกันเองกับประชาชน เข้าถึงประชาชนเป็นอย่างดี 
เณรน้อยคนนี้พายเรือมาแต่พายเรือไม่ค่อยเป็น 
ท่าทางแกโคลงเคลง ๆ ชอบกล พระมหาชนกจึงล้อเณร 
่ได้แกล้ง ทำน้ำให้เป็นคลื่น เณรแกพายเรือไม่ค่อยเป็น
อยู่แล้ว นั่งเรือไม่ถนัด ก็ปรากฏเรือล่มลงไป

ท่านพระมหาชนกในสมัยนั้นตกใจ จึงได้เข้าไปอุ้มเณร
ขึ้นมาบนบก แล้วก็เอาผ้าสบงจีวร สั่งให้อำมาตย์
หามาให้เปลี่ยนเป็นอย่างดี แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 
พระมหาชนกก็ปวารณาตัวเป็นโยมของสามเณร 
หมายความว่าอุปถัมภ์สามเณรจนกระทั่งบวชพระ
ให้มีความสุขทุกอย่าง

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ
โสภาคย์กล่าวว่า ด้วยอำนาจกฎของกรรมเดิมเพียง
นิดเดียวเท่านี้ เพียงแกล้งเณรให้เรือล่มด้วยมีเจตนา
จะล้อ ไม่ใช่มีเจตนามุ่งร้าย ถ้ามีเจตนามุ่งร้ายก็มีหวัง
ลงนรก แต่นี่พระมหาชนกมีเจตนาจะล้อเล่นกับสามเณร
ตัวเล็ก ๆ เพราะน่ารัก ไม่ใช่น่าเกลียด

เณรเรือล่มลงไป แล้วก็พระมหาชนกก็ตั้งใจสงเคราะห์
ด้วยดี อุ้มสามเณรขึ้นมาเปลี่ยนผ้าให้ สงเคราะห์สามเณร
ในฐานะเป็นโยม ความจริงก็เป็นสิ่งที่มีคุณ พระพุทธเจ้า
ตรัสว่ากรรมเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ตถาคตเอง คำว่า
พระมหาชนกก็คือพระองค์เองพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน 
ต้องถูกดลบันดาลทำให้เรือแตกว่ายกลางมหาสมุทร 
๕๐๐ ชาติ

นี่บรรดาพุทธบริษัททำกรรมอะไรเข้าไว้ก็นึกไว้ให้ดีนะ 
ไอ้กรรมบางอย่างที่ไม่ได้ดลบันดาลให้ลงนรก แต่มันยัง
ได้รับทุกข์ในชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ นี่กรรมเล็กน้อย
เพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าพระองค์เองต้องเรือแตก
ในมหาสมุทรถึง ๕๐๐ ชาติ ว่ายน้ำแบบนั้นตลอดมา 
น่าคิดไหม แล้วการที่เรือแตกคราวใดก็ได้เป็นพระราชา
ทุกที อานิสงส์ที่เรือแตกต้องว่ายน้ำก็เพราะล้อเณร
ให้ต้องตกใจเรือล่ม

นี่แหละกรรมอันนี้ทำให้พระมหาชนกคือพระองค์ ต้องเรือล่ม
ในมหาสมุทรว่ายน้ำคราวละ ๑๕ วัน ๕๐๐ ชาติ

คราวนี้ผลบุญที่พระมหาชนกสมัยนั้น อุ้มเณรขึ้นไปแล้วก็
เปลี่ยนผ้าผ่อนท่อนสไบ อุปถัมภ์ให้เณรน้อยนั้นไซร์เป็นลูก
ของตัว บำรุงอย่างลูกตลอดชีวิต กุศลจิตตอนนี้บรรดา
ท่านพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรือล่มคราวใดก็ดี 
กุศลผลบุญที่สงเคราะห์เณรในคราวนั้น บันดาลให้พระองค์
เป็นกษัตริย์ ดีเหมือนกัน

นี่ละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่อาตมาเคยพูดว่าคนเรา
เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วรับผล ๒ ประการ คือทั้งกรรมที่เป็นกุศล 
และกรรมที่เป็นอกุศล ฉะนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัทศาสนิกชน
รับทราบไปแล้ว...ฟังแล้วไว้คิดตามด้วย ว่ากรรมใดที่ทำ
ให้เราเดือนร้อนใจ ว่ากรรมเป็นอกุศลที่กระทำในชาติก่อน 
ไปนั่งโทษพระกันนักว่าทำบุญทำทานมาเยอะแล้ว ทำไม
ถึงยังป่วยไข้ไม่สบาย ทำไมไม่มีความสุข มัวไปโทษพระกัน 
ควรจะโทษตัวเองกัน ขณะใดที่เรามีความสุขนั้นเป็นผลของ
กุศลกรรมให้ผล

เมื่อทราบแล้วก็ขอบรรดาพุทธบริษัทศาสนิกชนหลีกเลี่ยง
กรรมที่เป็นอกุศลเสีย ทำแต่เฉพาะกรรมที่เป็นกุศลก็แล้วกัน...

ความสัมพันธ์ของสามเณรน้อย(อดีตชาติสมเด็จพระเจ้าตากสิน) กับหลวงพ่อทวด

ปริศนา..ดอกมณฑาทิพย์(ดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์)
ในสมัยสมเด็จเจ้าพะโคะ พำนักอยู่วัดพะโคะครั้งนั้น ยังมีสามเณรน้อยรูปหนึ่ง เข้าใจว่า คงอาศัยอยู่วัดใดวัดหนึ่งในท้องที่อำเภอหาดใหญ่ เวลานี้สามเณรรูปนี้ ได้บวชมาตั้งแต่อายุน้อยๆ ได้ปฏิบัติธรรมเจริญกรรมฐานอย่างเคร่งครัด มีความขยันหมั่นเพียร ก่อแต่การกุศลในพระพุทธศาสนา ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า............" อยากจะขอ พบพระศรีอริยะอย่างแรงกล้า"................
...อยู่มาคืนวันหนึ่ง มีคนแก่ถือดอกไม้เดินเข้ามาหา ประเคนดอกไม้ส่งให้แล้วบอกว่า นี่เป็นดอกไม้ทิพย์ ไม่รู้จักร่วงโรย พระศรีอริยะโพธิสัตว์นั้น ขณะนี้ได้จุติลงมาเกิดในเมืองมนุษย์เพื่อโปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา สามเณรเจ้าจงถือดอกไม้ทิพย์นี้ ออกค้นหาเถิด หากผู้ใดรู้จักกำเนิดของดอกไม้นี้แล้ว ผู้นั้นแหละเป็นพระศรีอริยที่จุติมา เจ้าจงพยายามเที่ยวค้นหาคงพบ กล่าวจบแล้วคนแก่นั้นก็อันตรธานไปทันที
...สามเณรน้อยมีความปีติยินดีเป็นยิ่งนัก วันรุ่งเช้าจึงกราบลาสมภารเจ้าอาวาส แล้วถือดอกไม้ทิพย์เดินออก
จากวัดไป สามเณรเดินทางตรากตรำลำบากไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ก็ไม่มีใครทักถามถึงดอกไม้ทิพย์ที่ตนถืออยู่ ในมือนั้นเลย แต่สามเณรก็พยายามอดทนต่อความเหนื่อยยาก ต้องตากแดดกรำฝนไปเป็นเวลาช้านาน
...วันหนึ่งต่อมา สามเณรน้อยเดินทางเข้าเขตวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ ในเวลาใกล้จะมืดค่ำ เป็นวันขึ้น 15 ค่ำวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ส่องรัศมีจ้าไปทั่วท้องฟ้าและเป็นวันที่พระภิกษุลงทำสังฆกรรม ฟังสวดปาฏิโมกข์ในโบสถ์ สามเณรถือดอกไม้ทิพย์เดินเข้าไปอยู่ใกล้ๆริมประตูโบสถ์ รอคอยพระสงฆ์ที่จะมาลงอุโบสถ์
...พอถึงเวลาพระภิกษุทั้งหลายก็เดินทยอยกันเข้าโบสถ์ผ่านหน้าสามเณรไปจนหมด ไม่มีพระภิกษุองค์ใดทักถามสามเณรเลย เมื่อพระสงฆ์เข้าไปนั่งในโบสถ์เรียบร้อยแล้ว สามเณรจึงเดินเข้าไปนมัสการถามพระสงฆ์เหล่านั้นว่า วันนี้พระมาลงอุโบสถทุกองค์แล้วหรือ?
...พระภิกษุตอบว่า ยังมีสมเด็จอยู่อีกองค์ วันนี้ไม่มาลงอุโบสถ สามเณรทราบดังนั้นก็กราบลาพระสงฆ์เหล่านั้นเดินออกจากโบสถ์ มุ่งตรงไปยังกุฏิของสมเด็จเจ้าทันที
...ครั้นถึง สามเณรก็คลานเข้าไปใกล้ ก้มกราบนมัสการอยู่ตรงหน้าสมเด็จเจ้าพะโคะ ท่านได้เห็นดอกไม้ทิพย์ในมือสามเณรถืออยู่ จึงถามว่า สามเณร! นั่นดอกมณฑาทิพย์ เป็นดอกไม้เมืองสวรรค์ ผู้ใดให้เจ้ามา?
...สามเณรได้ฟังดังนั้น พลันก็รู้แจ้งแก่ใจ ตามนิมิตที่คนแก่บอกว่า หากผู้ใดรู้จักกำเนิดของดอกไม้นี้แล้ว ผู้นั้น
แหละเป็น "องค์พระศรีอริยะ" ที่จุติมาเกิดในเมืองมนุษย์ เพื่อโปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา!! สามเณรเกิดอาการขนพองสยองเกล้า มีโสมนัสปสันนาการปีติยิ่งนักหนา จึงคลานเข้าไปก้มลงกราบที่ฝ่าเท้า แล้วประเคนถวายดอกไม้ทิพย์นั้นแก่สมเด็จเจ้าพะโคะทันที
...เมื่อสมเด็จเจ้าพะโคะรับประเคนดอกไม้ทิพย์จากสามเณรน้อยแล้ว ท่านได้สงบอารมณ์อยู่ชั่วครู่ มิได้พูดจาประการใด แล้วลุกขึ้นเรียกสามเณรให้ตามท่านเข้าไปในกุฏิ ปิดประตูลงกลอน และได้เงียบหายไปอย่างลึกลับในคืนนั้น มิได้มีร่องรอยแต่อย่างใดเหลือไว้ให้พิสูจน์เลย จนเวลาล่วงเลยมาถึงบัดนี้ ประมาณสามร้อยปีแล้ว!
...การหายตัวไปของสมเด็จเจ้าพะโคะครั้งนั้น ประชาชนเล่าลือว่า ท่านได้สำเร็จญาณไปสู่สรวงสวรรค์เสียแล้ว
ด้วยอำนาจบุญญาบารมีอภินิหารท่านแรงกล้า
...ตามที่ได้กล่าวเล่าลือกันเช่นนี้ เพราะมีเหตุอัศจรรย์ ปรากฏขึ้นในคืนวันนั้นว่า บนอากาศบริเวณหน้าวัดพะโคะได้มีดวงไฟโตขนาดเท่าดวงไต้(คบไต้) ส่องรัศมีสีต่างๆเป็นปริมณฑลดังพระจันทร์ทรงกลด ลอยวนเวียนบริเวณรอบวัดพะโคะ ส่องรัศมีจ้าไปทั่วบริเวณวั
...เมื่อดวงไฟนั้นลอยวนเวียนอยู่ครบสามรอบแล้ว จึงลอยเคลื่อนไปทางทิศอาคเนย์ เงียบหายมาจนกระทั่งบัดนี้วันรุ่งขึ้น ประชาชนมาประชุมกันที่วัด ต่างคนต่างก็เข้าใจว่า สมเด็จเจ้าพะโคะท่านสำเร็จญาณสู่สวรรค์ไป จึงได้พากันพนมมือขึ้นเหนือศรีษะ พร้อมกับเปล่งเสียงว่า สมเด็จเจ้าพะโคะโล่ หายไปเสียแล้วเจ้าข้าเอย

30 พฤษภาคม 2563

พระโสดาบัน

 
จากการเทศนาของพระราชพรหมยาน 
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

  
      คนที่เป็นพระโสดาบันแล้วมีอารมณ์เป็นยังไง ส่วนใหญ่คนทั้งหลายมักจะมีความรู้สึกว่า คนที่เข้ามาเจริญพระกรรมฐาน หรือสมถภาวนา หรือ วิปัสสนาญาณ และเริ่มเข้ามาเจริญแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตัดหมดนั้นเป็นความรู้สึกผิดของท่านผู้มีความคิดอย่างนั้น

            ความจริงการเจริญพระสมณธรรมมีอารมณ์เป็นขั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ทรงจิตเป็น ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิหรือ อัปปนาสมาธิ สำหรับอัปปนาสมาธินี้หมายถึงอารมณ์ฌาน ตั้งแต่ฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 8 อารมณ์ประเภทนี้จะระงับได้เพียงนิวรณ์ 5 ประการ แต่ก็เป็นเพียงระงับเท่านั้นไม่ใช่ตัด ถ้ายังมีความประมาทจิตคิดชั่ว ฌานก็สลายตัว เป็นอันว่าผู้ทรงฌานโดยเฉพาะอย่างยิ่งฌานโลกีย์ ยังไม่มีความหมาย  ท่านที่จะตัดอบายภูมิได้จริง ๆ ก็คือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป

            คำว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน

            ฉะนั้นพระโสดาบันก็ยังตัดอะไรไม่ได้หมด เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้น แต่เพียงอย่างอยาบเท่านั้น  คือ
                       

1. มีความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 คือ รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  และ วิญญาณ

            ยังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เด็ดขาด  ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แต่ทว่าความรู้สึกของท่านมีความดีอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะต้องตาย ยังไง ๆ ก็ต้องตายแน่  มีอารมณ์คิดถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงตรัสว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความประมาทในการสร้างความดี
           
            นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของพระโสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องตาย   จะตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือ ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตาย อาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำก็เอาแน่นอนไม่ได้ อาจตายได้ทุกเวลา

            ฉะนั้น พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่เราจะตายอยู่กับความดี

2.ไม่มีความสงสัย ในคำสอนของพระพุทธเจ้า พิจารณาหาความจริงว่า  พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข

3. พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์  ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด

            จะมีความรักพระนิพพานอย่างยิ่ง คือมีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนแห่งความสุข ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็พักทุกข์ชั่วคราว หรือ พรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้วก็จะต้องจากเทวดา จากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้าง บางรายก็เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าเขตทั้ง 3 จุด ไม่มีความหมายสำหรับใจ
          
            พระโสดาบันมีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา   เห็นการนินทาว่าร้ายที่เขาว่าเราเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลกมันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา

            พระโสดาบันยังมีความรักในระหว่างเพศ  ยังมีการแต่งงาน   แต่...อยู่ในขอบเขตของศีล รักในรูปโฉมโนมพรรณ มีการแต่งงานกันได้ระหว่างสามีภรรยาของตนเอง ยอมเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน ไม่นอกใจสามีและภรรยา ขึ้นชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร จะไม่มีสำหรับพระโสดาบัน จะทำให้ครอบครัวนั้นมีอารมณ์เป็นสุข

            พระโสดาบันยังมีความโกรธ  แต่ทว่าพระโสดาบันมีแต่อารมณ์โกรธ ไม่ประทุษร้ายให้เขามีการบาดเจ็บ และไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ที่ทำให้ตนโกรธ ให้ถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าความโกรธหรือความพยาบาทของท่าน อยู่ในขอบเขตของศีล จิตโกรธแต่ว่าไม่ทำร้าย ไม่อาฆาตพยาบาทคือ แตกต่างกับคนธรรมดาตรงนี้

            พระโสดาบันยังมีความอยากรวย  การอยากรวยของพระโสดาบัน คือ ต้องการความรวยในด้านสุจริตธรรมเท่านั้น เรียกว่า การทุจริตคิดร้ายคดโกงบุคคลอื่นใด ไม่มีในอารมณ์จิตของพระโสดาบัน ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต

             พระโสดาบันยังมีความหลงใน  รูปสวย รสอร่อย  กลิ่นหอม  เสียงเพราะ   สัมผัสระหว่าเพศยังมีอยู่ แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้น อยู่ในกรอบของศีล 

      
                          องค์ของพระโสดาบัน

            คำว่า องค์ ก็ได้แก่ อารมณ์จิตที่ทรงไว้อย่างนั้นอย่างแนบแน่นสนิท นั่นก็คือ

            1.พระโสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไม่คลายในความเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด ๆ เกิดขึ้น ใครจะมาจ้างให้รางวัลมาก ๆ ให้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แม้แต่พูดเล่นพระโสดาบันก็ไม่พูด ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงใจ แต่ทว่าระวังให้ดี ถ้าพระสงฆ์เลว พระโสดาบันไม่ใส่ข้าวให้กิน

            ตัวอย่าง ภิกษุโกสัมพี มีความประพฤติชั่ว ตอนนั้นฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้านับหมื่น ไม่ยอมใส่ข้าวให้กิน เพราะถือว่าเป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำลายความดี ไม่ใช่ว่าเป็นพระอริยเจ้าแล้วละก็ จะเมตตาไปเสียทุกอย่าง ท่านเมตตาแต่คนดีหรือว่าบุคคลผู้ใดมีความประพฤติชั่วท่าน แนะนำแล้วสามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็เมตตา ถ้าเขาชั่วแนะนำแล้วไม่สามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็ทรงอุเบกขา คือ เฉยไม่สงเคราะห์ 
            2.  พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ ขอพูดย่อให้สั้น เพราะองค์ของพระโสดาบันก็คือ
            (1) มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
            (2) มีความเคารพในพระธรรม
            (3) มีความเคารพในพระอริยสงฆ์

            นี่จัดเป็นองค์ที่มี 3 ประการ
            (4) และสิ่งที่จะแถมขึ้นมาก็คือรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังความดีมีชื่อเสียงในชาติปัจจุบัน มีความรู้สึกต้องการอยู่อย่างเดียวว่าเราทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเท่านั้น
       
              จงอย่าไปคิดว่าพระโสดาบันเลอเลิศไปถึงอารมณ์อรหันต์โดยมากมักจะคิดว่าอารมณ์ของพระอรหันต์เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ก็เลยทำกันไม่ถึง นี่เป็นการคิดผิด ความจริงการเป็นพระโสดาบันเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนักที่หนักจริง ๆ ก็ คือ ศีลอย่างเดียว

            พระโสดาบันจัดเป็น 3 ขั้น คือ

            1.สัตตักขัตตุง สำหรับที่ท่านเป็นพระโสดาบันมีอารมณ์ยังอ่อน จะต้องเกิดและตายในระหว่างเทวดาหรือพรหมกับมนุษย์อีกอย่างละ 7 ชาติ เป็นมนุษย์ชาติที่ 7 และเข้าถึงความเป็นอรหัตผล
            2. ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งปานกลาง ที่เรียกกันว่า โกลังโกละ อย่างนี้จะทรงความเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกอย่างละ 3 ชาติครบเป็นมนุษย์ชาติที่ 3 เป็นพระอรหันต์
            3.สำหรับพระโสดาบันที่มีอารมณ์เข้มแข็งเรียกว่า เอกพิชี นั่นก็จะเกิดเป็นเทวดาอีกครั้งเดียว มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์

            4.ที่พูดตามนี้ หมายความว่า ท่านผู้นั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา จะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอทุกชาติ แต่ว่าความเป็นมิจฉาทิฏฐิในชาติต่อ ๆไป จะไม่มีแก่พระโสดาบัน เพราะว่า พระโสดาบันไม่มีสิทธิที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดได้แค่ช่วงแห่งความเป็นมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมสลับกันเท่านั้น

            เป็นอันว่าพระโสดาบันนี่ ถ้าท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าเป็นของไม่ยาก

ที่มา
จากการเทศนาของพระราชพรหมยาน 
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

เกิดมาทำไม....ตายแน่ๆ....อย่าประมาท...

อายุคนเราไม่เกิน 80-90ปี 
เจอความไม่แน่นอน..ตายแบบไม่มีโอกาสได้ชรา..
ตั้งแต่วัยเด็ก ,วัยหนุ่มสาว..ก็เกิดได้ตลอด

เกิดมาแล้ว..ระหว่าง.กว่าอายุไขจะมาถึง.. อะไรคือ ไม่ประกอบด้วยราคะ

หรือดำรงอยู่แบบที่ไม่พึ่งราคะมากมาย..คืออะไร

เมื่อ...เกิดมาแล้ว..

💥อาหารคือคำข้าว 1 หรือ 2 มื้อ หล่อเลี้ยงกายตั้งอยู่ได้....ราคะมาเอี่ยว..มักมากในการกิน กินของยาก  กินมาที่1..ต้องแพง  ต้องดี  

ยังไม่สามารถเห็นความเป็นปฏิกูลในสิ่งไม่เป็นปฏิกูลได้

ที่จริงต้องปลูกกิน..มีมากแลกเปลี่ยนกัน..แบ่งปันกัน   
จนมาถึง..มีการค้าขาย  จนหาแต่เงิน..ไว้ซื้อ..เงินจึงเป็นพระเจ้า..

เรียกว่า...คนพาล..กองตรงหน้ามากเข้าไว้..ถูกยก.เป็นเทพเจ้าทันที  

💥มีผ้า.เสื้อ.สะอาดเป็นที่ปิดบังความอุดจาด 
ปิดความไม่งามของกาย เรือนร่าง
และเพื่อบังแดด ร้อน หนาว และแมลงกัดต้อย..

ราคะมาเอี่ยว..ต้องสวยงาม  หายาก  ต้องแพง  
มีรสนิยม 

💥ที่พักอาศัย..เพื่อหลับแดด ฝน หนาว และแมลงสัตว์กันต่อย..ราคะมาเอี่ยว.ต้องใหญ่ โต  โอ่อ่า มีทุกอย่างครบที่อยากได้..เทียบคนอื่นจนเป็นอวดฐานะ ทางสังคม..

💥 นอกนั้น...คือ ราคะกล้า  เมื่อเป็นคนราคะกล้า ตัณหาจะมาก..การแสวงหาเพื่อให้ได้มาจะมาก

การกำหนดฐานะทางสังคมจะมีขึ้น  การเห็นผู้อื่นมี  ฉันจะต้องเทียบเขา  หรือมากกว่า...กามกล้าขึ้น

อุปาทานในสิ่งที่แสวงหามาด้วยความยากลำบาก ก็มากตาม  

ความมักโกรธ.. ความโกรธ แค้น  จากไม่สมปรารถนา
ไม่ได้ดังใจ  ความที่สิ่งที่มีอุปทานมาก ก็หวงกั้น  ตระหนี่ เป็นมลทิน..อาจถูกผู้อื่นมายุ่ง มาหยิบไป มาขโมย สูญหาย  เสียหาย...ย่อมโกรธ  เกลียดชัง อาฆาตรแค้น  พยาบาท  เบียดเบียนกัน  ทาง ใจ  วาจา  กาย ...

การดำรงอยู่  ของสัตว์  จึง เป็นที่สุดคือ  ราคะ  โทสะ  โมหะ  มาอารมณ์

🙏🙏พระตถาคต..ทรงตรัสชัดว่าใน อริยสัจ4 แบบพิสดารว่า...สิ่งที่ควร  ละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง  คือ.. อวิชชา และ  ภวตัณหา‼

🔸️เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัยจึงมีสังขารทั้งหลาย...
เมื่อดำรงชีพอยู่..สังขารคือ จิต  (จิตสังขาร) สัตว์ไม่เคยปล่อยวางจากจิต..มันดับลง  เกิดมาใหม่ก็ยึดว่าเป็นตน

ดับก็ไม่รู้ว่าอะไรคือดับ❓  
จิตเกิดใหม่คืออะไร❓.เพราะเป็นไปตามเหตุ..มันเนียน  เปลี่ยนแปลงไว จนจะหาอุปมาเปลี่ยนได้ง่าย(มีพระสูตร)

🔸️เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย     จึงมีวิญญาณ
🔸️เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย  จึงมี..นามรูป(ขันธ์ใหม่)
🔸️เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย     จึงมีสฬายตนะ
🔸️เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ‼..
🔸️เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย    จึงมีเวทนา❗

💥รูปขันธ์กรรมเก่า...มีเครื่องมื ผลิตกรรมใหม่‼
ตลอดชีวิต..รูปๆหนึ่งใน 7,000ล้านรูป (จำนวนมนุษย์ในโลกนี้โดยประมาณ)...มีสถาพธรรมเดียวกัน..ก่อกรรมแบบเดียวกัน..

ผัสสะ6, >>(ฉันทะ ราคะ นันทิ) >>เวทนา6>>สัญญา6
>>สังขาร6..》》ตัณหา6‼ .

ตัณหา 6 ทางมา...เป็นแบบนี้
ตัณหา..ที่ควรละ  มีภพที่ใดๆ เพราะมีตัณหา3 คือ
🔹️️กามตัณหา 
🔹️️ภวตัณหา
🔹️️วิภวตัณหา..

➖➖

🔸️เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย   จึงมีตัณหา(6)
🔸เมื่อมีตัณหา️เป็นปัจจัย. จึงมีอุปาทาน(4)

(ถ้าสัตว์ผู้สิ่นอุปาทาน..แต่ไม่สิ้นตัณหามีอยู่..ก็ตัณหานั้นและ คือเชื้อ.ไปสู้ภพเอง)

🔸️เพราะมีอุปาทาน(4)เป็นปัจจัย  จึงมีภพ( กามภพ,รูปภพ, อรูปภพ)
🔸️เพราะมีภพเป็นปัจจัย               จึงมีชาติ

💥 เกิดมา..เป็นอะไร  ถ้ามาเป็นคนอีก...ก็ไม่ได้สดับอีก..ไม่รู้แจ้งในอริยสัจ4 เช่นเดิม..ก็เวียนว่าย อยู่แบบนี้ตลอดกาลยาวนาน  หาที่สุดไม่ได้...ก็เป็นแบบเดิม  

➖➖➖➖➖➖

เกิดมา..แบบเดิมคือ...คิดว่าเกิดมา..เพื่อสะสม เงินทอง
กองกิเลส ตัณหา..อุปาทาน..

เอาไปไม่ได้...ร่างก็ถูกดินกลบหน้าคืนสู่ดิน
อะไรที่มีขึ้นในภพมนุษย์  อย่าผูกพัน  อย่ายึดทางใจ
มาใช่  ก็ทิ้งไป   คนโง่เขลา  เขาจะเสียดาย คิดว่านี้ของตน.. จิตยึดไว้...เป็นเครื่องร้อยรัด  เป็นทุกขเวทนายิ่งนัก....เรียกว่า  โมหะ  ให้ผลร้าย  คลายช้า

เฝ้าทรัพย์สินที่หลง..เฝ้า..จนกว่าจะพ้นไปด้วยขดใช้กรรม แห่งความหลงในภพเปรต..ก็ว่ากัยต่อไป..อาจเป็นเดรัจฉานต่อ...เวียนรอบๆ สิ่งที่ยึดไว้  ปลวก ใส้เดือน แต่..ไม่รู้แล้วว่า..คืออะไร

พลังแห่ง..อุปาทาน 4  มีได้ แต่ต้องรู้ทางพ้นไปได้ ก่อนตาย...ต้องมีสุตตะ  คือฝึกอบรมจิต  อบรมปัญญา

รู้ทางดับซึ่ง อุปาทาน 4

29 พฤษภาคม 2563

"พระเจ้าอโศกมหาราชจับพระสึก ๖ หมื่นกว่ารูป

"พระเจ้าอโศกมหาราชจับพระสึก ๖ หมื่นกว่ารูป
เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งพระธรรมวินัย"
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แต่กลับปรากฏว่ามีพวกนักบวชนอกศาสนาเป็นจำนวนมาก ปลอมบวชในพุทธศาสนา เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ เมื่อบวชแล้วก็คงสั่งสอนลัทธิศาสนาเก่าของตน โดยอ้างว่าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา แสดงลัทธิธรรมให้ผิดคลองพระพุทธบัญญัติ กระทำให้สังฆมณฑลยุ่งเหยิง แตกสามัคคีด้วยสัทธรรมปฏิรูป

..................................................

ครั้งหนึ่งในอดีต “พระเจ้าอโศกมหาราช” ทรงร่วมปฏิรูปพระศาสนา จับสึกพระอลัชชีผู้ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส สั่งสมของมัวเมาในลาภสักการะ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จากนั้นทรงเป็นศาสนูปถัมภกในการสังคยานา และส่งสมณฑูตประกาศพระพุทธศาสนา

พระเจ้าอโศกมหาราช (Ashoka the great) แห่งราชวงศ์ โมริยะ กษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนอินเดีย (พ.ศ.๒๗๖ – พ.ศ.๓๑๒) พระองค์ทรงมีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่นทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ และหลักศิลาจารึก เป็นต้น ได้บำรุงพระภิกษุสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค

การที่พระองค์ทรงบำรุงพระภิกษุสงฆ์เช่นนี้ ก็เพื่อจะได้พระภิกษุในพุทธศาสนาได้รับความสะดวก มีโอกาสบำเพ็ญสมณธรรมได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลในการแสวงหาปัจจัย ๔

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แต่กลับปรากฏว่ามีพวกนักบวชนอกศาสนาเป็นจำนวนมาก ปลอมบวชในพุทธศาสนา เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ เมื่อบวชแล้วก็คงสั่งสอนลัทธิศาสนาเก่าของตน โดยอ้างว่าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา แสดงลัทธิธรรมให้ผิดคลองพระพุทธบัญญัติ กระทำให้สังฆมณฑลยุ่งเหยิง แตกสามัคคีด้วยสัทธรรมปฏิรูป

ข้อนี้ทำให้พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ (คนละรูปกับพระมหาโมคคัลลานะเถระในสมัยพุทธกาล) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความแตกฉานในพระไตรปิฎก เกิดความระอาใจต่อการประพฤติปฏิบัติของเหล่าพระภิกษุอลัชชีที่ปลอมบวชทั้งหลาย จึงได้ปลีกตัวไปอยู่ที่ ถ้ำอุโธตังคบรรพต เจริญวิเวกสมาบัติอยู่ที่นั้นอย่างเงียบๆ เป็นเวลา ๗ ปี และมอบภารกิจคณะสงฆ์ให้พระมหินทเถระดูแลแทน

ในสมัยนั้นจำนวนของพระอลัชชี มีมากกว่าพระภิกษุแท้ๆ จึงทำให้ต้องหยุดการทำอุโบสถสังฆกรรมถึง ๗ ปี เพราะเหตุที่พระสงฆ์ ผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ยอมร่วมกับพระอลัชชีเหล่านั้น จึงทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สบายพระหฤทัยในการแตกแยกของพระสงฆ์

พระองค์ทรงปวารณาจะให้พระสงฆ์เหล่านั้นสามัคคีกัน จึงได้ตรัสสั่งให้อำมาตย์หาทางสามัคคี ฝ่ายอำมาตย์ฟังพระดำรัสไม่แจ้งชัด สำคัญผิดในหน้าที่ จึงได้ทำความผิดอันร้ายแรง คือ ได้บังคับให้พระภิกษุบริสุทธิ์ทำอุโบสถร่วมกับพระอลัชชี พระภิกษุผู้บริสุทธิ์ต่างปฏิเสธที่จะร่วมอุโบสถสังฆกรรม อำมาตย์จึงตัดศีรษะเสียหลายองค์

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทราบข่าวนี้ ทรงตกพระทัยยิ่งจึงเสด็จไปขอขมาโทษต่อพระภิกษุที่อาราม และได้ตรัสถามสงฆ์ว่า การที่อำมาตย์ได้ทำความผิดเช่นนี้ ความผิดจะตกมาถึงพระองค์หรือไม่ พระสงฆ์ถวายคำตอบไม่ตรงกัน บ้างก็ว่า ความผิดจะตกมาถึงพระองค์ด้วยเพราะอำมาตย์ทำตามคำสั่ง แต่บางองค์ก็ตอบว่าไม่ถึงเพราะไม่มีเจตนา คำวิสัชนาที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชกระวนกระวายพระทัยยิ่งนัก

พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผู้มีความสามารถและแตกฉานในพระธรรมวินัยถวายคำวิสัชนาอย่างแจ่มแจ้ง จึงได้ตรัสถามถึงพระภิกษุเหล่านั้นก็ได้ตรัสตอบว่า มีแต่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระรูปเดียวเท่านั้นที่อาจแก้ความสงสัยได้

พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้ส่งสาส์นไปอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ให้ท่านเดินทางมายังเมืองปาฏลีบุตร แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระเถระไม่ยอมเดินทางมาตามคำอาราธนา พระเจ้าอโศกมหาราชก็ทรงไม่หมดความพยายาม จึงได้รับสั่งให้พนักงานออกเดินทางโดยทางเรือรบท่านตามคำแนะนำของพระติสสะเถระ ผู้เป็นพระอาจารย์ของโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ

ในที่สุดพระเถระก็ยอมมาและในวันที่ท่านเดินทางมาถึงนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จไปรับพระเถระด้วยพระองค์เอง ได้เสด็จลุยน้ำไปถึงพระชานุ แล้วยื่นพระกรให้พระเถระจับและตรัสว่า "ขอพระคุณท่านจงสงเคราะห์ข้าพเจ้าเถิด" แล้วได้นำท่านไปสู่อุทยาน ได้ทรงแสดงความเคารพพระเถระอย่างสูง และได้ตรัสถามพระเถระว่า การที่อำมาตย์ได้ตัดศีรษะพระภิกษุนั้นจะเป็นบาปกรรมตกถึงตนหรือไม่ พระเถระได้ตอบว่า “มหาบพิตร จะเป็นบาปได้ก็ต่อเมื่อพระองค์มีเจตนาที่จะฆ่าเท่านั้น” คำวิสัชนาของพระเถระนั้น ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก

ฝ่ายพระอลัชชีผู้ปลอมบวชในพุทธศาสนานั้นก็ยังพยายามที่จะประกอบมิจฉาชีพอยู่ต่อไป พระเหล่านั้นได้มัวเมาหลงใหลในลาภสักการะ ไม่พอใจในการปฏิบัติธรรม อาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ ประพฤติผิดธรรมวินัยไม่สำรวมระวังในสีลาจารวัตร เที่ยวอวดอ้างคุณสมบัติโดยอาการต่างๆ เพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ เพื่อหาลาภสักการะเข้าตัว เพราะเหตุนี้จึงทำให้พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพลอยด่างพร้อยไปด้วย

ความอลเวงได้เกิดขึ้นในวงการของพุทธศาสนาทั่วไปลาภ สักการะมีอำนาจเหนืออุดมคติของผู้เห็นแก่ได้ แม้กระทั่งผู้ทรงเพศเป็นพระภิกษุห่มเหลืองก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน ที่จริงผู้มีลาภคือผู้มีบุญ แต่มัวเมาในลาภคือสั่งสมบาป การที่พระได้ของมามากๆ จากประชาชนที่เขาบริจาคด้วยศรัทธานั้น นับว่าเป็นการดีไม่มีผิด แต่การที่พระสั่งสมของมัวเมาในลาภ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จนลืมหน้าที่ของตนนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

พ.ศ.๒๘๗ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ถวายเทศนาแก่พระเจ้าอโศกมหาราช จนพระองค์ทรงมีความเลื่อมใส และซาบซึ้งในหลักธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ได้ประทับอยู่ที่อุทยานนับเป็นเวลา ๗ วัน เพื่อชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์จากเดียรถีย์ที่เข้ามาปลอมบวช

ในวันที่ ๗ พระองค์ได้ประกาศบอกนัดให้พระภิกษุที่อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มาประชุมที่อโศการามเพื่อชำระความบริสุทธิ์ของตน ภายใน ๗ วัน พระองค์ประทับนั่งภายในม่านกับท่านโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้สั่งให้ภิกษุผู้สังกัดอยู่ในนิกายนั้นๆ นั่งรวมกันเป็นนิกายๆ แล้วตรัสถามให้พระภิกษุเหล่านั้นอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้อธิบายผิดไปตามลัทธิของตนๆ พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ตรัสให้สึกพระอลัชชีเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวน ๖๐,๐๐๐ รูป

ครั้นกำจัดพระภิกษุพวกอลัชชีให้หมดไปจากพุทธศาสนาแล้ว พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้จัดให้มีการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ขึ้น ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยได้รับราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างเต็มที่

พระเจ้าอโศกมหาราช

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

เรื่องชาติกำเนิดสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จากทายาทตัวจริงเชื้อสายตรง จะพบพลังจิตสมเด็จพระเจ้าตากสิน แฝงในทายาทตัวจริงทุกๆ คน ถึงแม้จะแตกสายไปกี่รุ่นๆ ดังที่ทางเพจได้รายงานแต่แรกๆว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หรือ พระมหาธรรมราชา เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 31 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่ 4 ในราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงไม่ใช่คนเชื้อสายจีน 100% ดังที่เข้าใจตามประวัติศาสตร์ไทย ที่สรุปเอาตามข้อมูลเดิมๆ ที่มีการแต่งเรื่องบางตอนให้เหมาะสมในสมัยนั้น

และที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ช่วงทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง และ พระราชทานนามว่า "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร" ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เมื่อวันพุธ แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน นพศก จุลศักราช 1129 ตรงกับวันที่ 28 ธ.ค. 2311 ทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ ที่ 8 หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 นั้น จึงชอบธรรมโดยสายเลือดพระมหากษัตริย์โดยสายตรง เพราะช่วงอยุธยาพ่ายแพ้ต่อพม่าปี พ.ศ.2310 นั้นพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมทั้งพระเจ้าเออกทัศน์ ทรงถูกจับไปเป็นเชลยที่พม่าทั้งหมดรวมทั้งพระเจ้าอุทุมพรหลังสละราชสมบัติให้พระเจ้าเอกทัศน์ ก็ทรงออกผนวช ไม่เหลือเชื้อพระวงศ์แม้แต่พระองค์เดียว ดังมีหลักฐานสถูปพระเจ้าเอกทัศน์ที่พม่า พร้อมลูกหลานคนไทยที่ถูกต้อนไปเป็นเชลย ชาวพม่าเรียกว่า ชาวโยดะยาหรือ ชาวอยุธยา นั้นเอง
สถูปพระเจ้าเอกทัศน์ที่พม่า

ชาวโยดะยา
ชาวโยดะยา หรือ ชาวอยุธยาในพม่า (พม่า: ယိုးဒယားလူမျိုး, เอ็มแอลซีทีเอส: Yodaya lu myui:; โยดะยา หลุ มฺโย) เป็นคำที่เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวสยามจากอาณาจักรอยุธยา ซึ่งอพยพเข้ามาประเทศพม่า มีทั้งอพยพไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารกษัตริย์พม่าโดยสมัครใจ บ้างก็เป็นเชลยซึ่งถูกกวาดต้อนเมื่อเกิดสงคราม

เมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ ชาวอยุธยาในพม่าค่อย ๆ ผสมปนเปไปกับสังคมพม่า บ้างก็โยกย้ายจากถิ่นฐานเดิม พวกเขาเลิกพูดภาษาไทยและหันไปพูดภาษาพม่า จนกระทั่งทิน มอง จี นักวิชาการชาวพม่าผู้มีเชื้อสายโยดะยาเขียนบทความสั้นชื่อ "สุสานกษัตริย์ไทย" (A Thai King’s Tomb) ก่อนปี พ.ศ. 2538 โดยเชื่อว่าสถูปเก่าองค์หนึ่งในป่าช้าเนินล้านช้างหรือเนินกระแซ (ลินซินกอง) เป็นสุสานของสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร อดีตพระมหากษัตริย์อยุธยาผู้นิราศจากบัลลังก์และตกเป็นเชลยในพม่า และเริ่มมีชื่อเสียงจากการที่มัคคุเทศก์พานักท่องเที่ยวไทยไปยังสถูปแห่งหนึ่งในป่าช้าลินซิน แต่กระแสดังกล่าวทำให้เกิดความตื่นตัวในการศึกษาชาวอยุธยาในพม่า และมีความพยายามในการตามหาชุมชนอยุธยาที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2556 จึงได้มีการค้นพบชุมชนเชื้อสายอยุธยาชื่อหมู่บ้านซูกา มีประชากรราว 200 คน (พ.ศ. 2560) และยังมีชุมชนของผู้มีเชื้อสายอยุธยา ณ บ้านมินตาซุ (ย่านเจ้าฟ้า)มีประชากรเชื้อสายอยุธยาอยู่ไม่ต่ำกว่า 30 คน (พ.ศ. 2557) ทั้งสองชุมชนนี้ตั้งอยู่ในเมืองมัณฑะเลย์ แม้ไม่สามารถใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวันได้แล้ว แต่วัฒนธรรมหลายอย่างของชาวอยุธยายังคงอยู่และส่งอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมพม่าบางประการมาจนถึงยุคปัจจุบัน(ที่มาจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี )

สมเด็จพระเจ้าตากสินสืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช: เรื่องเล่าตอนที่ ๑ ชาติกำเนิด  
https://m.youtube.com/watch?v=lfC_Eq8yNso&noapp=1

อารมณ์ของมาร

การพูดมากก็ดีในวาจา..นี่ก็เรียกเป็นการส่งจิตออกไปมาก ก็จะเสียกำลังมาก เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติธรรมก็ดี สิ่งที่เราพูดออกไปส่งออกไปนั้นแล..มันจะกลับมาหาเรา ให้เป็นตัวเวทนาในความคิดในความรู้สึก ว่าสิ่งที่เราพูดไปมันเป็นอย่างไร แล้วก็จะไปสนใจในกิริยาของคนอื่น ในคำพูดที่เค้าพูดกลับมาส่อเสียด กลายเป็นจิตที่เป็นโทสะเกิดขึ้น เรียกว่าโทสะจริต 

ดังนั้นเราต้องทำยังไง ให้รู้จักรู้รู้ รู้จักอธิษฐานคือแผ่เมตตา สำรวมกาย วาจา ใจ ตั้งใจเสียใหม่..ว่าวันนี้เรานั้นจะสำรวมอินทรีย์ สำรวมในศีล ในสมาธิ เพื่อให้เข้าถึงตัวปัญญา เข้าถึงจิต ให้เข้าถึงพรหมจรรย์แห่งความบริสุทธิ์ เรารักษาอย่างนี้คือรักษาใจให้เรานั้นไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง 

ทำอย่างนี้ได้ เมื่อมันจะโกรธ มันจะโลภ มันจะหลงขึ้นมา ก็ให้มีภาวนา ภาวนาเมื่อเราไปภาวนากำหนดรู้แล้ว อารมณ์เหล่านั้นมันจะค่อยๆจางหายและดับลงไป เมื่อเราเห็นอารมณ์นั้นอยู่บ่อยๆ เห็นอยู่บ่อยๆเราก็จะเท่าทัน..มีกำลังเท่าทัน เมื่อเราเท่าทันก็เหมือนเราอยู่ที่สูงย่อมเห็นที่ต่ำได้ 

ไอ้ที่ต่ำนั้นคืออวิชชา เราก็จะรู้ว่าจิตที่เราต่ำตมอยู่มันมีความเสื่อมอย่างไร มันเป็นเพราะอะไร เราก็จะแก้ไขในการเพ่งโทษของตัวเราเอง ไม่ต้องไปเพ่งโทษใคร เราไม่สามารถไปเปลี่ยนใครได้ เพราะมนุษย์ก็มีกรรมเป็นของตัวเอง แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนได้คือตัวของเราเอง พิจารณาเพ่งโทษอย่างนี้อยู่บ่อยๆแล้ว..วาสนามันก็จะเปลี่ยน ดวงมันก็เปลี่ยน การประพฤติปฏิบัติมันก็จะก้าวหน้า 

อย่างที่ฉันบอก โยมฝึกจิตไป เมื่อเราอยู่ท่ามกลางความทุกข์..เราจะสามารถพ้นทุกข์ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ การมาปฏิบัตินี้เพื่อให้รู้ทุกข์เห็นทุกข์..แล้วละที่จะออกจากทุกข์ ก็คือกายมันเป็นทุกข์เราต้องละกายให้มาก สิ่งที่เราเป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะเราไปยึดกาย ยึดมาเนิ่นนานหลายภพหลายชาติ..เป็นเอนกอนันต์

คำว่า"เอนก"นี้จึงว่านับชาติไม่ได้ มันนับไม่ได้ เมื่อมันนับไม่ได้แล้ว..ที่มันนับได้คืออะไร นี่ไงจ๊ะ..ในปัจจุบันของจิตเค้าเรียกว่านับใหม่ สิ่งที่ผ่านมาล่วงมาแล้วให้วางเฉยเสีย ให้ตัดออกไป สิ่งที่เราจะเริ่มใหม่ได้คือในอารมณ์ในปัจจุบันนี้ของจิต ดังนั้นแล้วก็ทำตรงนี้ให้มากๆ คือฟื้นฟูจิตขึ้นมาใหม่ 

เมื่อฟื้นฟูจิตสติมันตั้งมั่นมากๆเข้านั่นแล เราจะระลึกได้ว่ากรรมชั่วทั้งหลายที่เราทำมาผ่านมา..มันเป็นเพราะอะไร เพราะเรานั้นยังไปข้องไปพอใจอยู่ เมื่อไปพอใจไปข้องอยู่อย่างนี้ ภพชาติมันก็ต้องเสวยอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นเราต้องมาเพียรละอารมณ์แห่งความพอใจแห่งความยินดี นั่นก็คือการละความเพลินความสุข

เมื่อว่าขณะนี้เรามาเจริญความเพียรเราต้องละอะไร ละความสุขที่เราควรไปหลับไปนอน อย่างนี้เค้าเรียกเป็นการอุทิศกายสังขาร อธิษฐานจิตต่อพระรัตนตรัย เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่อบิดามารดาพระอรหันต์ของเรา ถ้าทำได้อย่างนี้แลบุคคลผู้นั้นจะมีแต่ความเจริญ หาความเสื่อมไม่มี..
 
นั้นฉันก็ขอโมทนาสาธุที่โยมได้อุทิศกายสังขารอุทิศตน เพื่อมาเจริญศีล สมาธิ ภาวนานี้ ให้เข้าถึงตัวปัญญา การให้เข้าถึงตัวปัญญาคือตัววิมุติ คำว่าตัววิมุติคือตัวที่หลุดพ้น ที่จิตนั้นเป็นอิสระจากบ่วงมารใดๆแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่หลุดต้องทำอย่างไร เราก็ต้องรู้จักอารมณ์ของมาร

พอเรามีโอกาส..เมื่อมารมันหลับมันหยุดแล้วมันสงบแล้ว ให้เรายกจิตขึ้นมาเพ่งโทษในกาย อารมณ์ที่จิตมันสงบนั้นเค้าเรียกว่ามารมันนอนหลับ โยมรู้มั้ยจ๊ะว่ามารมันหลับตอนไหน กิเลสมันหลับตอนไหน เมื่อเรามีความอยากจิตเรานั้นจะดิ้นรนดิ้นพล่าน กระเสือกกระสน 

เพราะเรานั้นกายสังขาร..เช่นความหิวเป็นโรคอย่างหนึ่ง ใช่มั้ยจ๊ะ พอเราบริโภครู้สึกอิ่มแล้วรู้สึกสบายมั้ยจ๊ะ สุขก็เกิดขึ้น คนหิวหลับลงได้ยาก คนมีความคิดมีความทุกข์ก็หลับลงได้ยาก เมื่อมันรู้สึกอิ่มแล้ว มันมีความสุขแล้ว มันก็เสวยสุขคือการหลับนอนพักผ่อนได้..

ดังนั้นเมื่อตอนนี้เราไม่หลับไม่นอน แต่เราทำยังไงให้เหมือนได้พักได้ผ่อน ก็คือการภาวนาจิต ให้จิตมันสงบ คือการทรงฌาน การทรงฌานก็คือการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง เป็นการยืดอายุ..อายุขัย การเพิ่มพูนความแข็งแรงของกายสังขารที่มันเสื่อม เป็นเพราะยังไง..

เพราะการที่เรามาเจริญภาวนาจิตเจริญสมาธินี้ โยมใช้กำลังมากมั้ยจ๊ะ..แทบไม่ได้ใช้กำลังอะไรเลย นั่งเฉยๆนี่ใช้กำลังมากมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่มากครับ) คนที่ใช้ความคิดสิจ๊ะ..ใช้กำลังมาก คนที่แบกหามใช้กำลังมาก คนที่มีความโกรธอยู่ใช้กำลังมาก คนที่มีจิตริษยาอยู่ใช้กำลังมาก คนที่ยังหลงอยู่ใช้กำลังมาก 

คนที่ไม่ใช้กำลังเป็นอย่างไร หรือใช้กำลังน้อย คนที่หยุดคิดนี้เรียกว่าแทบไม่ใช้อะไรเลย ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะคนที่คิดอยู่เท่ากับว่าแบกโลกอยู่ เพราะนี่เรียกตัวยึด จึงทำให้กายเสื่อม จิตเสื่อม คุณธรรมเสื่อม ศีลเสื่อม ฌานเสื่อม ญาณเสื่อม นั้นการที่เรามาภาวนาจิตนี้จึงเรียกว่าใช้กำลังน้อย..แต่ต้องมีศรัทธาให้มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ 

ถ้าศรัทธาโยมน้อยมันก็เข้าถึงได้ยากในความเพียร นั้นการที่โยมนั้นเอาสติเอาความเพียรมาประคองธาตุขันธ์ของกายนี้ เพื่อจะให้ข้ามขันธมาร ก็คือตัวมารภายในคือขันธมาร เพราะว่ากายนี้มันคอยจะหลับจะนอนอย่างเดียว มันติดอยู่ในสุข พอถึงเวลามันก็อยากจะหลับอยากจะอะไร แต่ถ้ามันหลับก็ให้มันหลับไป..แต่จิตต้องมีภาวนา นี่เค้าเรียกว่าจิตและกายแยกกันแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

แม้จิตนั้นแม้กายนั้นมันจะผ่อน ก็ให้ผ่อนกายสังขารลงไป แต่จิตกำหนดรู้ในอานาปานสติและก็กำหนดภาวนาจิต..ว่าพุทโธ พุท..เข้า โธ..ออก พุทธัง สรณัง คัจฉามิ อยู่ที่ระหว่างกลางหน้าผาก กับเหนือสะดือศูนย์กลางกาย และที่ลมนั้นกระทบเข้ากระทบออกที่ปลายจมูก นี่เค้าเรียกว่าจิตและกายเป็นคนละส่วนกัน 

เมื่อจิตเราภาวนาไปมากๆแล้ว ภาวนาไปมากๆเค้าเรียกว่าอินทรีย์ คือการสำรวมกาย วาจา ใจมันตั้งมั่น ก็เกิดศีล เมื่อศีลมันมารวมตัวกัน มันก็ประสานกายขึ้นมาใหม่ เพราะผู้ใดมีศีลผู้นั้นจะนั่งอย่างสง่าผ่าเผย ผู้ใดไม่มีศีลตัวจะเริ่มอ่อน ศีลนั้นจึงสำคัญนัก ศีลนั้นจะประคับประคองโรค ประคับประคองธาตุขันธ์ให้เรา แม้เราจะมีวัยที่มากก็ดี แต่ศีลนั้นจะช่วยให้เรานั้นมีกำลังเหมือนวัยหนุ่มสาวได้ ไอ้คนที่มีแต่ความอ่อนล้าอ่อนแรง..เป็นเพราะพวกนี้ขาดศรัทธา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒

เรื่องระหว่างทางที่เราต้องเจอมากมาย แต่อย่าเอามายึดมั่นถือมั่นเป็นอารมณ์เลยลูก...

ครั้งหนึ่งหลวงตาท่านเคยเล่าให้ฟังว่า

มีผู้หญิงคนหนึ่งมากราบหลวงตา 
เขาเคารพหลวงพ่อฤาษีฯ(วัดท่าซุง) หลวงปู่ปาน(วัดบางนมโค) เป็นที่สุด แต่วันนั้นเขาทุกข์ใจมาก...สามีทิ้งลูกทิ้งเขา ไม่ยอมกลับบ้าน เอาเงินค่าเทอมลูกไปเลี้ยงผู้หญิงอื่นหมด...

จึงเกิดบทสนทนาขึ้นดังนี้

โยม : หนูทุกข์เหลือเกินเจ้าค่ะ(ร้องไห้) เมื่อไหร่เขาจะกลับบ้านจะตามเขากลับยังไง??
หลวงตา : เอ็งเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใช่ไหม?
โยม : ใช่เจ้าค่ะ
หลวงตา : เอ็งมีพระนิพพานเป็นที่ไปแน่นอนใช่ไหม ?
โยม : ใช่เจ้าค่ะ
หลวงตา : เอ็งมีศีลห้าบริสุทธิ์ใช่ไหม ?
โยม : หนูพยายามรักษาอยู่ตลอดและมั่นใจเจ้าค่ะ
หลวงตา : เออ... เอ็งเกิดมาบำเพ็ญเพียรบารมีมากี่อสงไขยจึงมาเจอคำสอนพระพุทธเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ มีจิตตั้งมั่นในอารมณ์ได้ขนาดนี้ มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ แล้วทำไมวันนี้ปล่อยอารมณ์ เอาหมาตัวนึงที่ทิ้งลูกทิ้งเมีย มาเป็นสรณะแทนละลูก ??? จะมาก็มาจะไปก็ไป จะไปตามหมาตัวนึงเข้ามาอยู่ในใจในบ้านอีกทำไม

...ที่สุดของชีวิตเราปรารถนาอะไรเรารู้ตัวอยู่ ....เรื่องระหว่างทางที่เราต้องเจอมากมาย แต่อย่าเอามายึดมั่นถือมั่นเป็นอารมณ์เลยลูก...

พลังอะไรจะสูงไปกว่าพลังจิตน่ะไม่มี


#" ห ล ว ง พ่ อ ป า น "  วัดบางนมโค
   พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้เป็นพระอาจารย์ไว้มากมาย  ขอนำมาเล่าสู่กันฟังต่ออีกสักเล็กน้อยดังนี้

   พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน โสนันโท)
วัดบางนมโค  อ.เสนา  จ.พระนครศรีอยุธยา
ครั้งหนึ่ง พระลูกวัดบางนมโคมีหน้าที่ต้องช่วยกันดัดเหล็กให้ได้รูปเพื่อจะนำไปใช้ทำเสาและคานโบสถ์  เหล็กที่ใช้เป็นเหล็กขนาดแปดหุน มีขนาดใหญ่ หลวงพ่อปานท่านเลือกเองเพื่อความคงทนแข็งแรง  บังเอิญกุญแจที่ใช้ดัดเหล็กไม่อยู่เพราะวัดอื่นยืมไปใช้และยังไม่ได้ส่งคืน จะไปทวงคืนระยะทางก็ไกล เดินทางทั้งไปทั้งกลับก็จะเสียเวลามาก  แต่ถ้าไม่มีกุญแจดัดเหล็กก็ทำงานต่อไม่ได้

   ขณะที่กำลังเอะอะโวยวายกันอยู่นั้น หลวงพ่อปานท่านเดินมาพอดี ท่านก็ถามว่าเกิดเรื่องอะไร  เมื่อพระลูกวัดกราบเรียนท่านว่ากุญแจดัดเหล็กไม่มี วัดสุธาโภชน์ยืมไปใช้ ยังไม่ได้เอากลับคืนมา จึงไม่สามารถดัดเหล็กเสาโบสถ์ได้  หลวงพ่อปานท่านก็เลยว่า ไม่มีกุญแจก็ใช้มือดัดแล้วกัน ว่าแล้วท่านก็ให้เอาเหล็กขึ้นพาดบนที่ดัดและให้พระลูกวัดใช้มือง้าง  ปรากฏว่าวันนั้นเหล็กขนาดใหญ่กลายเป็นเหล็กอ่อน ง้างได้สบาย ๆ  จะดึงให้ตรงก็ตรง จะดัดให้คดให้งอไปทางไหน ก็เป็นไปดังที่ต้องการทุกอย่าง คล้ายๆ กับกำลังดัดเทียนอ่อนๆ  เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

   พระลูกวัดทั้งหมดประมาณสี่สิบรูปก้มลงกราบหลวงพ่อปานพร้อมกัน เรียนถามท่านว่าทำได้อย่างไร? ท่านก็บอกว่าพลังอะไรจะสูงไปกว่าพลังจิตน่ะไม่มี  พลังจิตนี้มีกำลังมาก ฉะนั้นหากได้ฝึกฝนจิตไว้ดีแล้ว จะนำไปใช้อย่างไรก็ได้  พระลูกวัดก็เลยกราบเรียนถามท่านต่อว่านี่เป็นอำนาจของอภิญญาใช่หรือไม่? ท่านบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะตอบ.

28 พฤษภาคม 2563

สัมภเวสี

ลูกศิษย์ : หลวงปู่ครับผม การที่สัมภเวสี หรือภูติผีปีศาจ หรืออะไรไม่ทราบ บางครั้งก็มาทำให้มนุษย์ป่วยได้เนี่ยะครับ เค้าทำไมถึงทำได้ครับปู่
หลวงปู่ : มันก็ต้องดูว่าสัมภเวสีนั้นน่ะ ก่อนที่จะเป็นสัมภเวสี ในดวงจิตของเขาในดวงวิญญาณนั้น เค้าเคยมีอาฆาตพยาบาทกับใคร และในขณะนั้นผู้ที่เค้าเคยล่วงเกินไว้ในขณะนั้น หากว่าจิตของเขานั้นขาดที่พึ่งหรือกำลังบุญนั้นอ่อนแอ ย่อมดลบันดาลทำให้เกิดอาเพศได้ 

ดังนั้นการเจริญมนต์ก็ดีการเจริญกุศลก็ดี บุญนี้ย่อมมีอำนาจมาก เรียกว่าปกป้องป้องกันภัย สัมภเวสีนี้เค้าเรียกว่ายังไม่มีที่จุติ จึงล่องลอย ดังนั้นวันดีคืนดีนั้นหากเค้ามาพบเราเข้า เผอิญว่าเรานั้นเคยล่วงเกินหรือมีเวรพยาบาทต่อกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ลูกศิษย์ : งั้นแล้วเราจะสวดมนต์บทไหนดีถึงจะคุ้มครองหรือป้องกันภัยส่วนนี้ได้ดีครับผม

หลวงปู่ : บทไหนก็ขลังทั้งนั้นแหล่ะจ้า บทที่ดีเรียกว่าบทการเจริญเมตตาจิต เป็นไปในทางทำให้จิตเรานั้นเกิดกุศล เกิดเมตตา นั้นเรียกว่าคือการเจริญภาวนาจิต การเจริญภาวนาจิตนี้เพื่อให้จิตสงบ 

เมื่อจิตสงบดีแล้วก็ให้โยมนั้นระลึกถึงบุญกุศลหรืออาศัยอ้างอิงแห่งอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัย จงคุ้มครองอภิบาลดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่เรานั้นเคยล่วงเกินด้วยกายวาจาใจ ให้เขานั้นพ้นทุกข์พ้นภัย อย่าได้ไปเบียดเบียนบีฑา ขอให้เขานั้นเป็นสุขทุกทิวาราตรีอยู่เป็นนิตย์ด้วยเทอญอย่างนั้น.. 

ก็เรียกว่าเป็นการเจริญเมตตาจิต เรียกว่าจิตเรานั้นไม่มีอกุศลไม่มีเภทมีภัย ไม่มีอาฆาตพยาบาทต่อใคร เมื่อจิตเราเป็นกุศลเสียแล้ว จิตเราวางจากไฟทั้งหลายทั้งปวง เรียกว่าไม่ถือหรือไฟไม่ถือโทษโกรธเคืองแล้ว แม้ภัยทั้งหลายที่เค้าเคยมีอาฆาตพยาบาทกับเรา เค้าก็ไม่สามารถมาทำอะไรเราได้ เพราะเรานั้นในขณะนั้น เราวางไฟแล้วนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ


ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒

ทุกสรรพสิ่งคือพลังงาน

parasitism ...
Tari wade

 ทุกสิ่งในจักรวาลคือพลังงานในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง  พลังงานไม่สามารถถูกทำลายได้เพียงแปลง  กฎการสั่นสะเทือนระบุว่าพลังงานทั้งหมดสั่นสะเทือนด้วยความถี่เฉพาะดังนั้นจึงอยู่ในสถานะคงที่ของการเคลื่อนไหว  พลังงานที่สั่นสะเทือนที่ความถี่เฉพาะจะดึงดูดความถี่ทั่วไปนั้น  สังคมของเราปรับความถี่เป็นอะไร

 Parasitism คือความสัมพันธ์ที่กิจการหนึ่งได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายของอีกคนหนึ่ง  ตัวอย่างของปรสิตคือไวรัส  ไวรัสคือพลังงานสั่นสะเทือนที่ติดเชื้อในระบบจากนั้นตัวเองทำซ้ำเพื่อทำลายระบบในที่สุด  มีไวรัสอยู่ลึกลงไปในจิตสำนึกร่วมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ดึงมวลชนออกไปจากสภาวะปกติของการเป็นอยู่  มันดึงเราออกจากความสมดุลและดึงดูดเราไปสู่เมทริกซ์การสั่นสะเทือนที่ผิดธรรมชาติซึ่งเป็นภาพลวงตาทั้งหมดที่ตัวเองทำซ้ำตัวเองไปสู่การทำลายตนเอง

 ไวรัสนี้มาจากการควบคุมจากด้านบนลงสู่แหล่งพลังงานทั้งหมดบนโลก  ไวรัสกาฝากนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อดูดซับพลังงานทั้งหมดของสังคมโดยการดักจับไว้ในเมทริกซ์ที่มีพลังของภาพลวงตาที่สั่นสะเทือนซึ่งเป็นการกระจายพลังงานนี้ไปยังจุดสูงสุดของปิรามิดในขณะที่พลังงานคุณภาพเล็กน้อยจะถูกตอบแทน  ไวรัสนี้สามารถทำซ้ำตัวเองในทุกด้านของชีวิตมนุษย์

 อำนาจการรวมศูนย์นี้จัดซื้อเพียงไม่กี่ครอบครัว  มันเหลือเชื่อที่จะเชื่อจำนวนเงินที่ 1% ถืออยู่เหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด  นอกจากนี้ยังทำให้ใจของฉันมีผู้คนจำนวนมากที่หลงลืมว่าสิ่งนี้มีผลกระทบต่อสายพันธุ์ทั้งหมดของเราอย่างไร  ราชวงศ์โบราณเหล่านี้มีมานานแล้วและได้สะสมทุนเป็นจำนวนมาก

 ครอบครัวเหล่านี้เป็นสมาชิกของสมาคมลับเพื่อตั้งชื่อ Freemasons, Billdeburgs, Skull and Bones, คณะกรรมาธิการไตรภาคี, สภาวิเทศสัมพันธ์, สโมสรแห่งกรุงโรม ฯลฯ คณะผู้มีอำนาจของคณาธิปไตยสามารถแพร่กระจายหนวดไปสู่ทุกด้านของสังคม  ความหมายรัฐบาลการเมืองการเงินการศึกษาสื่อการทหารและข่าวกรอง

 โดยการรวมศูนย์อำนาจออกเป็นลำดับชั้นที่เกิดขึ้นซึ่งสินทรัพย์ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาในที่สุด  คุณต้องถามตัวเองว่าคนจำนวนมากไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร  มันง่ายมาก ... การรวมศูนย์ของความคิดและข้อมูลที่ถูกส่งมาถึงคุณโดยสื่อมวลชน  สื่อมวลชนถูกย่อลงมาถึงหก บริษัท ที่เป็นเจ้าของและควบคุมเพียงเพื่อผลประโยชน์ไม่กี่

 วาระของสื่อมวลชนคือการกำหนดความถี่ของคุณให้อยู่ในภาพลวงตาเพราะถ้าหากมันเป็นการให้ความกระจ่างแก่คุณคุณจะเห็นได้ทันทีผ่านเกมของพวกเขา  ระบบการศึกษาของเรากำหนดให้เด็กต้องเรียนรู้ภายในความถี่ที่แน่นอนและเป้าหมายของมันคือไม่ให้ความรู้แก่พวกเขาดังนั้นวันหนึ่งพวกเขาสามารถโค่นล้มผู้ควบคุม  ผู้ปกครองที่เลือกที่จะให้การศึกษาแก่เด็ก ๆ ผ่านโฮมสกูลและวิถีชีวิตแบบองค์รวมทางเลือกถูกเยาะเย้ยเพราะเด็กเหล่านี้ได้รับการศึกษานอกความถี่รวมศูนย์นี้  ยืนหยัดอย่างมั่นคงเพราะ Common Core เป็นความถี่กลางที่ถูกทำลายโดยรัฐบาลโอบามาและไม่คิดว่าสิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากการออกแบบ

 โจรปรสิตเหล่านี้ที่จุดสูงสุดของพีระมิดยืมเงินจำนวนมหาศาลจากธนาคารกลางไปลงทุนเอง  ผลกำไรจะถูกเก็บไว้โดยผู้ชนะในขณะที่การสูญเสียถูกปกคลุมโดยสาธารณะ  เพราะกลุ่มเหล่านี้ใหญ่เกินกว่าจะล้มเหลว  ในช่วงการปกครองของโอบามาชนชั้นกลางถูกกำจัดในขณะที่รัฐบาลระเบิด

 มันคือผู้ดำเนินงานความมั่งคั่งที่เป็นเจ้าของทรัพยากรในการระดมทุนเพื่อการรณรงค์ของพวกเขาดังนั้นจึงกำหนดนโยบายของรัฐบาลกลาง  การรวมศูนย์หมายถึงการควบคุมและควบคุมเป็นผลโดยตรงจากความกลัว  มนุษย์ถูกควบคุมโดยการยักย้ายถ่ายเทมวลผ่านความถี่รวมศูนย์โดยใช้ความกลัว

 ด้วยความกลัวคือวิธีที่พวกเขาจี้จิตสำนึกของมนุษย์ ... โดยการดึงมันเข้าสู่สภาวะแห่งความกลัวและสร้างระเบียบของมันเอง  ความหมายเฉพาะประโยชน์ของปรสิต  ยินดีต้อนรับสู่ The Matrix  แต่หลายคนเริ่มที่จะแตะความถี่หลักของเราอีกครั้งโดยตระหนักว่านี่เป็นภาพลวงตา  การเปลี่ยนจากความกลัวสู่ความรักกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคุณสามารถเห็นได้ว่าเกิดขึ้นทั่วโลก  แต่มันจะไม่เกิดขึ้นหากไม่มีการต่อสู้

 เราอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  เรากำลังดูซีอีโอ, ทหาร, ประมุขแห่งรัฐ, สื่อ, นักการเมือง ฯลฯ ลาออกและถูกแทนที่ แต่ไวรัสปรสิตยังคงอยู่  นี่เป็นเพราะความเข้าใจในการปฏิวัตินั้นเข้าใจผิด  ทุกอย่างมาถึงความถี่รวมศูนย์ที่เราทุกคนได้รับการปรับให้เข้ากับความหมายของระบบของการผิดกฎหมาย

 เราจะต้องสร้างระบบสั่นสะเทือนใหม่ทั้งหมดจากล่างขึ้นบนแทนที่จะเสียเวลาพยายามเปลี่ยนระบบเก่า  หยุดมองหารัฐหรือนายทุนที่ทรงพลังเพื่อการเปลี่ยนแปลงเพราะมันจะไม่เกิดขึ้นในระบบที่สร้างปรสิตแบบสั่นสะเทือน

 การปฏิวัติที่แท้จริงคือการกระจายอำนาจความหมายเผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องมีกรรมสิทธิ์โดยตรงเหนือการกระทำที่กระฉับกระเฉงเพื่อไม่ให้อาหารปรสิต  นี่คือสิ่งที่กฎหมายว่าด้วยการสั่นพ้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความหมายที่เราส่งผลกระทบโดยตรงต่อความถี่การสั่นสะเทือนของเราผ่านจิตสำนึกของเราเอง

 การกระจายอำนาจจะเริ่มที่ด้านล่างสุดและมันจะไม่ง่าย  เมื่อคุณมองไปรอบ ๆ โลกในขณะนี้การกระจายอำนาจที่ถูกนำเข้ามาในสนามสั่นสะเทือนของเราผ่านความคิดของเราคือสิ่งที่ทำให้เกิดความโกลาหลอย่างไม่น่าเชื่อทั่วโลก

 ความจริงก็คือเราไม่ต้องการระบบรวมศูนย์ที่เราคิดว่าเราทำนั่นคือภาพลวงตานั่นคือเมทริกซ์  ความหมายโดยที่เราไม่ได้ปรับความถี่ส่วนกลางที่ชั้นล่างจะถูกลบออกและสำหรับคุณที่ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกเราจะเห็นว่าด้านล่างหลุดออกมา  ในที่สุดเมื่อเราไม่ได้กินปรสิตตัวนี้มันก็จะร่วงหล่นเหมือนบ้านของไพ่

 ถึงเวลาที่จะสร้างช่องทางสื่อใหม่ระบบโรงเรียนที่รู้แจ้งเราจำเป็นต้องตัดสายไฟที่ธนาคารมีมากกว่าสกุลเงิน  มันเป็นการเคลื่อนไหวระดับรากหญ้าอย่างแท้จริงที่ไม่เหมือนใคร  เป็นหลักมันเป็นยกเครื่องที่สมบูรณ์ของสังคม  โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์จะต้องสั่นสะเทือนที่แกนกลางซึ่งจะนำไปสู่การสั่นสะเทือนโดยรวมที่ความถี่หลักที่ลึกกว่า  นั่นเป็นเหตุผลที่คุณหลายคนอยู่ที่นี่

ที่มา
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=356522328655507&id=100028932278929

นิวรณ์ ๕ คือมารของสมาธิและปัญญา.

ถ้าเราเจริญสมาธิจิต จิตเราบกพร่องในนิวรณ์ ๕ ข้อไหนบ้าง นิวรณ์ ๕ นี่นะ ไอ้นิวรณ์ ๕ นี่อย่าลืมนะ ถ้าเราพูดตามภาษาไทยชัดๆ ก็หมายถึงจิตที่เลว อารมณ์จิตที่เลว เลวแล้วไปไหน มีอย่างเดียวคือลงนรกนะ ไม่เลวเฉยๆ เลวเฉยๆ นี่ไม่เป็นไร อารมณ์ของนิวรณ์ ๕ มีตัวที่หนึ่ง กามฉันทะ ไอ้ข้อหนึ่งนี่มันมี ๕

🌿๑.พอใจในรูปสวย รูปคน รูปสัตว์ รูปวัตถุ รูปสีสันวรรณะ
🌿๒.พอใจในเสียงเพราะ
🌿๓.พอใจในกลิ่นหอม
🌿๔.พอใจในรสอร่อย
🌿๕.พอใจในอารมณ์สัมผัสระหว่างเพศ

นี่เป็นข้อหนึ่งเป็นอารมณ์เลว แล้วก็สอง ความโกรธ ความพยาบาท ไอ้ความพยาบาทนี่นะคือมันจะขังโกรธ ด่าแก้มือน่ะ ด่าชดเชยจะมุ่งทำร้าย จะหาทางกลั่นแกล้ง ตัวนี้เขาเรียกพยาบาท อารมณ์แรกมันโกรธ อารมณ์โกรธที่ขังอยู่หวังที่จะทำร้ายเขา อยากกลั่นแกล้งเขาให้ลำบาก อารมณ์นี้เขาเรียกพยาบาท อารมณ์อย่างนี้มันมีอยู่ไหมในจิตเราวันนี้

แล้วก็สาม ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ถ้าถามขณะนี้สร้างความดี คือจิตน้อมเป็นกุศล กำลังนึกถึงความเป็นกุศล มีความง่วงเข้ามาครอบงำ มีไหม ข้อสี่ อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน ภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ เอ๊ะ..ประเดี๋ยวหน้าเจ้าหนี้โผล่ เอ๊ะ..เจ้าหนี้นี่หว่า นี่มาแล้ว ไอ้นี่ก็ฟุ้ง แต่ว่าภาวนาหรือยังไงก็ตาม หรือว่าพิจารณาไป เห็นอะไรเข้ามาแทรก 

เรื่องโน้นเรื่องนี้เข้ามาแทรก นี่เขาเรียกอุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ และอีกประการหนึ่งก็มีความรำคาญในอารมณ์ รำคาญในเสียง ภาวนาไปพิจารณาไปแล้วรำคาญใจ ไอ้ตัวนี้ก็เป็นตัวตัดความดีเหมือนกัน แล้วก็ตัวที่ห้า วิจิกิจฉา สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เราปฏิบัตินี่มันถึงไหน มันแน่หรือไม่แน่ มันดีหรือไม่ดี มันถึงหรือไม่ถึง ทำได้หรือไม่ได้ 

บางทีทั้งที่ครูบาอาจารย์เขาสอนไปแล้วก็ยังนั่งสงสัยไปเอง ถ้าอย่างนี้ ถ้าห้าอย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีในอารมณ์ของจิต จิตของเราจะเข้าถึงสมาธิไม่ได้ นี่เรื่องสมาธินะ ถ้าหากว่าทางด้านศีลนี่เขาไม่ถือตัวนี้ ทางด้านศีลไม่ถือตัวนี้เป็นสำคัญ ทางด้านสมาธิต้องถือ ๕ ตัวนี้เป็นสำคัญ ถ้า ๕ ตัวนี้ตัวใดตัวหนึ่งเข้ามาอยู่ในจิตในขณะที่จิตใช้กำลังสมาธิก็ดี วิปัสสนาญาณก็ดี 

อารมณ์ความดีของสมาธิหรือวิปัสสนาญาณจะเข้าไม่ถึงจิตเลย เพราะตัวนี้มันขวาง ฉะนั้นนะ ขณะที่เราภาวนาพิจารณาต่างๆ นี่ยังต้องฝึกอารมณ์

🚩🚩นิวรณ์ทำให้ปัญญาถอยหลัง

นิวรณ์นี่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าแปลว่า เป็นคุณชาติกั้นความดี คือเป็นอารมณ์กั้นความดี แต่ว่าพระพุทธเจ้าแปลว่า เป็นกิเลสหยาบที่ทำให้ปัญญาถอยหลัง ซวยเลย หนักมาก ไอ้กั้นความดี ความดีอยู่ตรงนี้โยม กั้นไม่ให้เข้าประตู อยู่ที่ประตู พระพุทธเจ้าแปลว่า ทำปัญญาให้ถอยหลัง ไอ้ตัวนี้มันอยู่ไกลเลย ไม่ใช่อยู่ใกล้ประตู ใช่ไหม

นิวรณ์ ๕ ประการจึงเป็นกิเลสร้ายที่สุดเวลาเจริญกรรมฐาน เอาเฉพาะเวลาเจริญกรรมฐาน จะมีไม่ได้แม้แต่ข้อใดข้อหนึ่ง เฉพาะเวลานะ เลิกแล้วเป็นของธรรมดา แต่วิธีที่ดีที่จะละนิวรณ์คือ ไม่นึกถึงอารมณ์ของนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ เวลาทำกรรมฐานอย่าไปนึกถึงมัน


ที่มา
🖊️📖จากหนังสือทางสายเอก
🙏🙏คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

พลังงานของจักรวาลนั้นคืออะไร.?...


พลังงานของจักรวาลนั้นมีอยู่รอบตัวเรา ยิ่งไปกว่านั้นมันยังอยู่ในตัวพวกเราทุกๆ คน อยู่ในทุกๆ สรรพสิ่ง ทุกๆ อย่าง และ ทุกๆ วัตถุมีพลังรวมของจักรวาล พวกเราต้องการพลังงานของจักวาลนี้เพื่อรักษาความสมดุลในชีวิตของพวกเรา

มีหนึ่งวิธีที่พวกเราจะได้รับพลังงานจากจักรวาล โดยผ่านการทำสมาธิพวกเราบางคนอาจจะมีประสบการณ์ดึงพลังงานจักรวาลที่ดีในระหว่างการทำสมาธิ, แต่พลังงานจักรวาลที่ว่านี้คือ อะไร?..

พลังงานจักรวาลเป็นสิ่งที่มีสติ หรือ ความตระหนักรู้ในตัวเอง ทุกอย่างที่มีสตินั้นมีพลังจักรวาล ในระดับพื้นฐานมากที่สุด พลังงานของจักรวาลเป็นเพียงรูปแบบในการสั่นสะเทือนที่เล็กที่สุดไปจนถึงอนุภาคระดับของอะตอม

ร่างกายที่ละเอียดอ่อนของพวกเราสามารถใช้พลังงานนี้เพื่อช่วยให้เราบรรลุจิตสำนึกรวม
ทั้งความสมดุล ความสงบสุข และ ลักษณะพลังงานในเชิงบวกอื่นๆ แน่นอนว่าพลังงานจักรวาลก็ยังสามารถเป็นผลในเชิงลบได้

พลังงานจากจักรวาลที่มีผลในเชิงลบ..

ตอนนี้พลังงานจักรวาลอยู่ในเชิงบวกตลอดเวลา ส่วนพลังงานเชิงลบไม่ได้มีอยู่จริงแต่มันคือการขาดพลังงานจักรวาลในเชิงบวก เราจึงเรียกมันว่าพลังงานเชิงลบ เป็นสภาวะที่มีสติหรือความตระหนักรู้ไม่เพียงพอ และ จะมีแนวโน้มที่จะดูดพลังจากที่ใดก็ได้ที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ รอบๆ ตัวเข้ามาในฐานะที่มีผลข้างเคียง 

พวกเราสามารถตกอยู่ในสภาวะขาดสมดุลทางจิตวิญญาณและยอมจำนนต่ออารมณ์เชิงลบ และ พฤติกรรมที่จะดึงเราเข้าสู่พลังงานทางจิตวิญญาณ พลังงานเชิงลบนี้สร้างขึ้น -
หรือทดแทน รัศมีกายของเรา และ จักระที่ตัดขาดจากพลังงานจักรวาล ที่มีความจำเป็นคือ สิ่งที่มนุษย์เราส่วนใหญ่เป็นอยู่

การกลับไปเชื่อมต่อกับพลังงานจักรวาลคือการมีสติความตระหนักรู้ มันคือการทำสมาธิ
รับพลังงานจักรวาล 

สำหรับ การทำสมาธิ & รับพลังงานของจักรวาล

เมื่อนั่งสมาธิ เพื่อเพิ่มพลังงานของจักรวาล พวกเราจะ "เชื่อมต่อ" กับ Source (แหล่ง
กำเนิดพลังชีวิต) พลังจักรวาลที่เกิดขึ้นเป็นพลังงานที่มีให้ทุกคนที่เต็มใจที่จะอุทิศตนให้
กับจิตสำนึกผ่านการทำสมาธิ ที่แตกต่างจากพลังงานที่หลุดมาจากคนอื่นๆ การเชื่อมต่อ
เข้าไปในแหล่งต้นกำเนิดจะนำพลังงานจักรวาลเข้ามามากขึ้นในสายพันธุกรรม DNA ของเรา

ในขณะที่พวกเราดำเนินการทำสมาธิพลังงานจักรวาล เราจะรู้ถึงการไหลของพลังงานผ่านระบบจักระของพวกเรา ย้ายขึ้นจากรากฐาน (จักระก้นกบ) ผ่านไปจักระมงกุฎ (จักระที่ศีรษะ) และ ลงจากมงกุฎไปยังรากฐาน วนเวียนขึ้นลงซํ้าๆ กัน

เหตุที่มีสองวิธีการสำหรับพลังงานจักรวาลในร่างกายในระดับลึกของพวกเราเป็นบันทึก
ที่น่าสนใจ 

พลังงานจากจักรวาล โลกพระแม่ไกอา & บวกกับจิตสำนึก

มีสองแหล่งที่มาหลักของพลังงานจักรวาล โลก และ จิตสำนึก ในระหว่างการทำสมาธิ
เราจะเชื่อมต่อจักระที่ก้นกบของพวกเรากับพระแม่โลก และ ดึงพลังงานจากเธอในเวลาเดียวกัน พวกเรากำลังฝีกจิตสำนึกความตระหนักรู้ที่สูงขึ้น และ จะเปิดจักระมงกุฎที่ศีรษะ
ของพวกเราเพื่อรับพลังงานจากจักรวาลจาก Astral..

แม้ว่าการทำสมาธิจะเป็นวิธีที่ดีในการรักษาพลังงานจักรวาล แต่มันไม่ได้เป็นวิธีเดียวทุกครั้งที่พวกเราเชื่อมต่อกับธรรมชาติจิตสำนึกของเราหรือพิจารณาสถานที่ของพวกเราใน
จักรวาลที่เรากำลังเชื่อมต่อกับแหล่งต้นกำเนิดของชีวิต และ จะได้รับพลังงานจักรวาลเข้า
มาสู่ร่างกายของพวกเรา...

บทเรียนต่อไปของพ่อคือ การทำสมาธิต้อนรับพลังงานของจักรวาลเป็นลำดับต่อไปล่ะนะ....


ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

27 พฤษภาคม 2563

กาลเวลากับการบรรลุมรรคผล


" กระผมเคยถามพระพุทธองค์ว่า  ทำไมทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานโดยตรง  ทำไมถึงยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์  ท่านตรัสว่า  ที่ยังเป็นไม่ได้เพราะกาลเวลายังไม่ถึง  มันเกี่ยวกับกาลเวลาด้วยด้วยหรือครับ "

เดี๋ยว  คำว่า  กาลเวลา  แปลว่า  บุญเก่าที่ทำไว้แล้ว  ยังเข้ามารวมตัวไม่พอ  ยังไม่ครบ  และก็  บุญใหม่ที่เข้ามาก็กำลังยังไม่แก่กล้าพอ

แล้วก็ประการที่ ๓  ไอ้บาปที่เราทำไว้แต่ชาติปางก่อนมันขวางหน้า  ไอ้ตัวนี้มาก่อน 

ถ้าจะถามว่าขวางเวลาไหนก็ต้องดูกาลเวลาของมัน  ถ้ามันขยายตัวเมื่อไหร่  บุญเก่ากับบุญใหม่ชนกันเมื่อไร  ก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น

" หมายความว่าเราต้องรออายุขัยของแต่ละคนที่ไม่เท่ากันหรือครับ "

ไม่ใช่  รอกาลเวลาที่บุญจะเข้าถึง

ดูตัวอย่าง  อย่าง ราธพราหมณ์  อยู่ในสำนักของพระพุทธเจ้าเองถึง ๓ ปี  พระพุทธเจ้าท่านเห็นหน้าอยู่เสมอ  แต่วาระยังไม่เข้ามาถึง  พอตอนเช้ามืด  ท่านก็ตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์  ก็ทรงทราบว่า    พราหมณ์นี้จะเป็นอรหันต์ภายในไม่ช้า  หลังจากท่านแสดงธรรมแล้ว  ตอนเย็นท่านก็เดินอ้อมวิหารไปทำเหมือนว่าเดินเล่น  ในเมื่อพระพุทธเจ้าเดินเล่นเรื่อยไป  พระก็ต้องตามไป  ก็พอดีราชพราหมณ์กินข้าวเสร็จ  ล้างถ้วยล้างชาม  เอาของที่เหลือมาเท  เอาน้ำล้างชามมาเท  พระพุทธเจ้าเสด็จถึงพอดี  ก็ทรงหยุด  ถามว่า  พราหมณ์  เธออยู่เพื่ออะไร  พราหมณ์บอกว่า  เวลานี้ผมเป็นวิทาสาโท  เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าข้า  ท่านถามว่า  ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่  พราหมณ์ก็บอกว่า  ผมเป็นคนแก่  ลูกหลานไม่เลี้ยง  ใช้งานไม่ได้เขาเลยไม่เลี้ยง  มาอาศัยพระกิน  พระพุทธเจ้าข้า

ท่านถามว่า  พราหมณ์ไม่อยากจะบวชหรือ  พราหมณ์บอกว่า  อยากบวชครับ  แต่ไม่มีใครบวชให้  พระพุทธเจ้าข้า  ท่านก็ถามพระว่า  ภิกขเว  ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  ใครรู้คุณของพราหมณ์คนนี้บ้าง  พราหมณ์คนนี้เคยมีคุณกับใครบ้าง  ก็มีพระสารีบุตรนั่งกระหย่งยกมือไหว้บอกว่า  ข้าพระพุทธเจ้ารู้คุณพราหมณ์  พระพุทธเจ้าข้า  พระพุทธเจ้าถามว่า  พราหมณ์คนนี้มีคุณกับเธอเมื่อไหร่  พระสารีบุตรก็กล่าวว่า  ในสมัยที่พราหมณ์ยังอยู่ที่บ้าน  ข้าพระพุทธเจ้าบิณฑบาตผ่านไป  เมื่อพราหมณ์เห็นก็ใส่บาตรให้ทัพพีหนึ่ง  ถือว่าเป็นผู้มีคุณ  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  สารีปุตตะ  ดูก่อน  สารีบุตร  บุรุษที่มีความกตัญญูกตเวทีเป็นคนดี  เพราะฉะนั้น  เธอจงเป็นอุปัชฌาย์บวชให้พราหมณ์  

พอบวชแล้วราธพราหมณ์ก็ไปจำพรรษา  พระพุทธเจ้ากับพระสารีบุตรจำพรรษาอยู่กันคนละที่  เวลาออกพรรษาก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าถามว่า  ลูกศิษย์ของเธอดื้อด้านหรือว่าง่าย  พระสารีบุตรบอกว่า  ว่าง่ายเหลือเกินพระพุทธเจ้าข้า  แนะนำว่าสิ่งไหนไม่ดีไม่ทำ  สิ่งนั้นมันอะไรดีทำแน่  เพราะฉะนั้นจึงเป็นพระอรหันต์เร็ว  ก่อนจะมาก็เป็นแล้วนะ  ต้องอยู่ถึง ๓ ปี  นี่ยังไกลนะ

อีกองค์หนึ่งชื่อ  วักกลิ  นี่ใกล้มาก  เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จไป  ท่านก็ไปเทศน์  คนอื่นเขาเลื่อมใสในธรรมะก็บวชตาม  แต่พระวักกลิเลื่อมใสในความสวยของพระพุทธเจ้าก็บวชตาม  พระพุทธเจ้ารูปทรงสวย  เสียงก็เพราะ  และมีฉัพพรรณรังสี  ท่านบวชแล้วท่านก็ไม่สนใจในธรรม  เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ท่านก็ไปสนใจในความสวยอย่างเดียว  ดูอย่างนี้ถึง ๓ ปี  ถ้าจะถามว่า  ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เตือน  ก็เพราะเวลามันยังไม่ถึง  พอถึง ๓ ปีครบเต็มแน่  พระพุทธเจ้าเห็นว่าพระวักกลิมีบารมีเต็มแน่  แต่ว่าการสอนธรรมดาพระวักกลิไม่บรรลุผลแน่  ต้องใช้วิธีรุนแรง  จึงเรียกพระวักกลิเข้ามาบอกว่า  วักกลิ  เธอเป็นโมฆบุรุษ  เป็นคนผู้ไร้ประโยชน์อยู่กับตถาคตตั้ง ๓ ปี  ไม่บรรลุมรรคผล  อัปเปหิ !  จงไปจากที่นี่

พอพระพุทธเจ้าขับ  พระวักกลิก็คิดว่าถ้าจะกลับไปบ้านเพื่อนที่มาด้วยกัน  ก็เป็นพระอรหันต์ไปหมด  ตัวเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็อายชาวบ้านเขา  จะอยู่ที่นี่ก็อยู่ไม่ได้  ทำยังไงตายดีกว่า  ก็ขึ้นยอดเขาตั้งใจจะโดดเขาตาย  ความตั้งใจจะโดดให้ตาย  มันไม่ห่วงร่างกายแล้ว  คราวนี้แหละ  ความเป็นอรหันต์มันอยู่ตรงนั้น  พอตัดสินใจว่าจะโดดเขา  พระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพุ่งไปข้างหน้า  ก็เหมือนพระองค์นั่งข้างหน้า  พอเห็นพระพุทธเจ้ามา  พระวักกลิก็ยั้งไม่โดด  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  วักกลิ  บุคคลใดเห็นธรรม  บุคคลนั้นเห็นเราตถาคต  เท่านั้นเอง  พระวักกลิก็เป็นพระอรหันต์เลย  การสอน  ถ้านิ่มนวลไม่มีผล  เพราะว่าท่านเกาะพระพุทธเจ้า  เกาะร่างกาย  ไม่ใช่เกาะธรรมะ  ถ้าขืนเทศน์แกก็ไม่เป็นพระอรหันต์  จึงต้องหาวิธีการให้ตัดร่างกาย  ไม่ห่วงร่างกาย  ถ้าอารมณ์ถึงก็จะถึง

ที่มา
🙏🙏พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)​
🖊️📖ที่มาจากหนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๓๖​ หน้า ๙ - ๑๐

ศีล สมาธิ ปัญญา ในพระอริยะบุคคล


#ท่านบอกว่าต้องอาศัยเหตุ ๓ ประการ ว่าโดยย่อได้แก่ คือ​#ศีล​  #สมาธิ #ปัญญา​  แต่ใน #อริยสัจ ๔ ท่านบอกว่าต้องอาศัย #มรรค ๘ #มรรค ๘ นี่ย่อลงได้​ ๓ อย่างคือ #ศีล #สมาธิ #ปัญญา
คำว่า ศีล" แปลว่า ปกติ ทรงอารมณ์ให้สบาย ทำใจให้สงบ ได้แก่
ศีล​ ๕​ เป็นภาคพื้นเบื้องต้น เป็นศีลของ
#พระโสดาบันและพระสกิทาคามี คือมี
ศีล ๕ นี่นะ

#รวมความว่า #ถ้าเราจะตัดความทุกข์ #ตัดความเกิด #แก่ #เจ็บ #ตาย
#ในวัฏสงสาร ก็ต้องอาศัย #ศีล #สมาธิ #ปัญญา ศีลอันดับต้น คือใช้ศีล ๕ เป็นภาคพื้น อย่าลืมว่า ศีล ๕ นี้เป็นศีลของ
#พระโสดาบันและพระสกิทาคามี

#สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีนี่ความสำคัญจริงๆอยู่ที่ศีล๕ #ถ้าใครทรงศีล ๕ #เป็นสมุจเฉทปหานแน่นอนได้เมื่อไร #ก็เป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีแน่นอน

#สำหรับอารมณ์ที่จะเลยไปนิดหนึ่งก็คือ #จิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ นี่เอง #อย่าลืมนะว่า #พระโสดาบัน
#​ มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง
#​ มีความเคารพในพระธรรมจริง
#​ มีความเคารพในพระอริยสงฆ์จริง มีศีล ๕ บริสุทธิ์จริง จิตใจต้องการอย่างเดียว ตายเมื่อไรขอไปนิพพานจุดเดียว อย่างนี้เขาเรียกว่าพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี

#​ สำหรับพระอนาคามี ฆราวาสรักษาศีล ๘ ถ้าบุคคลใดมีกำลังใจต้องการ
ศีล ๘ เป็นปกติ โดยไม่มีเกณฑ์บังคับหรือบีบคั้นกำลังใจของตนเอง รักษาศีล ๘​ ได้แบบสบายๆ อารมณ์ใจก็เป็นสุข กายก็ไม่มีทุกข์ ท่านถือว่าบุคคลนั้น ก้าวเข้าเขตของพระอนาคามี เพราะศีล ๘ เป็นศีลของพระอนาคามี

#​ ถ้ากำลังใจเริ่มเข้าเขตพระอนาคามี ศีล ๕ จะไม่พอใจสำหรับท่านผู้นั้น จะพอใจเฉพาะศีล ๘ เท่านั้น และถ้าจิตใจก้าวเข้าสู่เขตของศีล ๘ ให้พึง
ทราบเลยทีเดียวว่า เวลานี้อนาคามีมรรคเริ่มเข้ามาถึงจิตเราแล้ว
แต่อย่าลืมว่า ถ้าทำไม่ดีก็ไม่ถึงผลเหมือนกัน แต่ก็ต้องถอยหลังมาดูกำลังใจตนเองว่าม​ การเคารพในพระพุทธเจ้าจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริง​ มีในเราไหม​ และศีล​ ๕​ ของเราบกพร่องไหม​ เรามีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์​จริงไหม

#​ เมื่อความมั่นใจอย่างนี้มีอยู่ ก็มั่นใจว่าเราเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้นคือ
พระโสดาบัน และพระสกิทาคามี ถ้าเราพอใจเริ่มรักษาศีล ๘ เป็นปกติ มีความ
สุขเพราะศีล ๘ อย่างนี้เริ่มเป็นพระอนาคามีเบื้องต้น

#​ ต่อไปเมื่อเป็นมรรคแล้วก็ต้องทำให้เข้าถึงผล การจะทำให้เข้าไปถึงผล
เบื้องต้น ก็ต้องดูตัว "กามฉันทะ" การตัด"กามฉันทะ" ต้องอาศัยตัด"กายคตานุสสติ" กับ"อสุภกรรมฐาน" ควบคู่กันไปกับ"วิปัสสนาญาณ" 

#​ สำหรับวิปัสสนาญาณนั้นไม่ต้องมีอะไร ใช้ตัวปลายตัวสุด คือ ตัด"อวิชชา" 
ไปเลย คือมีความรู้สึกว่า การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี
ไม่มีสำหรับเรา เราไม่ต้องการ เราต้องการจุดเดียวคือ" พระนิพพาน" ก็ตัดตัวเดียว​ ตัวสุดท้ายคือ ตัด" อวิชชา"
แล้วต่อจากนั้นไปก็มานั่งคลำ "กายคตานุสสติกรรมฐาน" กับ "อสุภกรรมฐาน" 

#​ ในเมื่อร่างกายของคนและสัตว์ เป็นดินแดนแห่งความสกปรก จนกระทั่ง
อารมณ์ในเพศไม่เกิดขึ้นกับใจ ถือว่าเราได้หนึ่งในพระอนาคามี พระอนาคามีนี้มี
๒ ข้อ

#​ แล้วต่อไปก็มาคลำใจด้านของ "พรหมวิหาร ๔" คือ "ตัวเมตตา" ความรัก
" กรุณา" ความสงสาร" มุทิตา" มีจิตใจอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร และ "อุเบกขา" วางเฉย เฉยในคำสาป คำแช่ง คำค่อนขอด คำค่อนแคะ คำด่า เป็นต้น
เขาด่ามาเราโกรธแต่ยับยั้งได้เร็ว ใกล้พระอนาคามีเข้าไปแล้ว เขาด่ามา
เราโกรธเหมือนกันแต่โกรธช้ากว่าปกติ ก็ใกล้มามากเข้าไป เขาด่ามากระทบใจ
เข้านิดหนึ่ง แล้วก็หล่นไป จวนจะถึงพระอนาคามีผล จนกระทั่งคำด่าของเขาชน
ต่อหน้าเราไม่มีความรู้สึกโกรธ อันนี้เป็น"พระอนาคามี" ผลแน่ ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท ยังอยู่ใน"พระโสดาบัน" ก็ดี "พระสกิทาคามี" ก็ดี ถ้าเราถึง"พระอนาคามี" นี้มีความหมายแน่นอน ไปนิพพานแน่.. 


ที่มา
🖊️📖หนังสือ​พ่อสอนลูก​ หน้าที่๒๖๐~๒๖๒
🙏🙏หลวงพ่อ​พระราชพรหมยาน​ วัดจันทาราม(ท่าซุง)​ ต.น้ำซึม​ อ.เมือง​ จ.อุทัยธานี

🖊️นภา​ อิน​ 🙏🙏😊😊🌺🌺

อานุภาพนํ้ามันสังคโลก(น้ำมันชาตรี)

หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระโพธิสัตว์แห่งอยุธยา ตอนอานุภาพนํ้ามันสังคโลก(น้ำมันชาตรี)เล่าโดยพระราชพรหมยาน
ต่อแต่นี้ไปก็จะได้พูดถึงเรื่องนํ้าสังคโลก นํ้ามันสังคโลกที่เขาเรียกว่า
นํ้ามันมนต์ของหลวงพ่อปานอันนี้ทำลำบากเหมือนกัน ฉันทำไม่ได้ 
แต่ว่านํ้ามันมนต์ของท่านนี่มีความดีพิเศษอยู่อย่างหนึ่งใครได้ไป
สักช้อนหนึ่งก็ตาม เอาไปเติมกี่ร้อยกี่พันปี๊บก็ใช้ได้ คือใช้ได้ผล 
ขอให้อาราธนาเสียให้ถูกให้ต้องวิธีจะใช้ก็มีอยู่ว่า 

ให้บูชาพระรัตนตรัยเสียก่อน นึกถึงครูบาอาจารย์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน 
แล้วก็ปลุกด้วยคาถาบทนี้ว่า อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง 
ขอเดชเดชะจงเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุเถิด ว่าเท่านี้สัก ๓ ครั้ง แล้วเอานํ้ามันนั้นทา
โรคอะไรก็ตามลองทาดูก่อน ทาแล้วถ้าร้อน ไม่ต้องทาต่อไป นํ้ามันรักษา
โรคนั้นไม่หาย ถ้าทาแล้วเย็นจะเป็นอะไรก็หาย กินก็ได้หยอดตาก็ได้ 
ถ้าคนเป็นนิ่ว กินเพียงแค่ช้อนคาว หรือ ช้อนโต๊ะ ไม่เกิน ๓ ช้อน 
คือไม่เกิน ๓ วันนิ่วออก นี่อานุภาพของนํ้ามัน คนเป็นแผลไฟลวกอะไร ๆ 
ก็ตามรักษาได้ทุกอย่างถ้าทาลงไปแล้วเย็น

ฉันจะเล่าต่อไปถึง ตอนที่หลวงพ่อปานตายแล้ว ตอนหลัง
ฉันไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนั้น เมื่อฉันเป็นเจ้าอาวาส ก่อนจะเข้าไป
วัดมันทรุดโทรม ฉันเข้าไปฉันก็อาศัยบารมีหลวงพ่อปาน ไม่ว่าฉัน
จะทำอะไรก็ตาม ฉันก็อ้างหลวงพ่อตะพรึด อาศัยบารมีหลวงพ่อ 
บูชาคุณหลวงพ่อประกาศเป็นเรื่องราวของหลวงพ่อว่า 
ฉันรับบัญชาจากหลวงพ่อ ก็เพราะตอนก่อนที่ท่านจะตายปีหนึ่ง 
ท่านไปไหนท่านก็เอาฉันไปด้วย แล้วท่านก็เที่ยวบอกเขาด้วยว่า 
เมื่อท่านตายไปแล้วน่ะ พระองค์นี้จะแทนท่าน ท่านประกาศเขาหมด 
บอกลูกศิษย์ลูกหาหมด 

ในเมื่อเวลาที่ฉันกลับเข้าไปเป็นเจ้าอาวาส ตอนนั้นมาอยู่กรุงเทพ ฯ 
สักพักหนึ่ง ฉันจะทำอะไรก็ตามฉันก็อ้างหลวงพ่อซิ ว่าหลวงพ่อ
ทำอย่างนั้น หลวงพ่อทำอย่างนี้ เวลานี้ฉันจะทำอย่างนั้นทำอย่างนี้
ก็อาศัยเสริมบารมีของ หลวงพ่อ งานที่หลวงพ่อทำมันยังไม่เสร็จ 
ฉันก็ต่อให้เสร็จ งานที่ฉันทำใหม่ ฉันก็อ้างว่านี่ ทำเพื่อเป็นการบูชา
เสริมบารมีของหลวงพ่อ เพราะฉะนั้นปัญหามันไม่มี

การก่อสร้างที่ฉันทำนี่ ไม่ได้ทำเฉพาะวัดบางนมโค เพราะว่า
ที่วัดบางนมโคน่ะ ไม่ได้ทำอะไรมากเพราะท่านสร้างไว้เรียบร้อยแล้ว 
จะไปเสริมใหม่ ก็หอสวดมนต์หลังหนึ่ง เป็นหอสวดมนต์ ๒ ชั้น 
แต่ว่าฉันก็ปั้นรูปของท่านไว้ที่หน้าจั่ว ปั้นรูปหลวงพ่อปาน ไม่เอา
รูปฉันเข้าไปตั้งหรอก รูปฉันเข้าไปตั้งก็ซวยไม่ช้ามันก็พัง นี่ฉัน
เอารูปหลวงพ่อไปไว้ที่หน้าจั่ว ปั้นไว้เลย แล้วก็อย่างอื่นที่บกพร่อง
ก็เสริมนิดๆ หน่อยๆ แต่ส่วนใหญ่สำคัญก็คือ วัดที่ขึ้นด้วยประมาณ 
๑๕๖ วัด คือวัดในสังกัดของฉัน จริง ๆ นะ คือวัดที่ขึ้นสังกัดโดยตรง 

สำหรับวัดที่ไม่ใช่สังกัดก็มีวัดใน จังหวัดสุพรรณบุรีบ้าง จังหวัดสมุทรสาครบ้าง 
จังหวัดสมุทรสงครามบ้าง จังหวัดราชบุรีบ้าง อย่างนี้เป็นต้น นี่ฉันก็ต้องไป
สร้างอีกตั้งเยอะแยะ รวมความแล้วไอ้งานก่อสร้างของฉันมันเยอะ ทีนี้เวลา
ที่ฉันจะไปสร้างที่ไหน เมื่อฉันไปทำงาน ฉันก็เอาพระหลวงพ่อปานไปด้วย 
ฉันเปิดกรุเล็กนะ ฉันเป็นลูกนี่ เป็นลูกแก่นแก้ว เป็นพระบวชองค์สุดท้าย 
ท่านบวชให้ฉัน ฉันก็เอาพระของท่านไปด้วย เอานํ้ามันมนต์ไปด้วย 
แล้วก็เอารูปหล่อท่านไป เอาขันนํ้ามนต์ตั้งไว้หน้ารูปท่าน ใครอยากได้
นํ้ามนต์ก็ไปตักเอา ก็ให้หลวงพ่อท่านทำให้ ฉันไม่ทำไม่เทิมหรอก 

ฉันเอาเทียนปักไว้อย่างนั้นแล้ว ก็แปลกนํ้ามนต์ของท่านทุกครั้ง 
ที่เขานำไปรักษาโรคหายหมด คนตกเลือดก็หาย คนลงท้องก็หาย 
เป็นอะไรก็หายก็น่าอัศจรรย์ คนคลอดบุตรก็คลอดบุตรง่าย ทีนี้มา
เรื่องนํ้ามันมนต์ นํ้ามันมนต์น่ะ ในหนังสืออธิบายของท่านน่ะ 
ท่านพิมพ์ไว้เยอะ มา สมัยฉันยังไม่ต้องพิมพ์อีกนาน ท่านอธิบายว่า
โรคที่รักษาไม่ได้คือ โรคกระดูกหักต่อกระดูกไม่ติด กับ โรคไข้หัด 
รักษาไม่ได้ นอกนั้นนํ้ามันมนต์ก็รักษาได้หมดใช้กินก็ได้ ทาก็ได้ 
หยอดตาก็ได้ก็พอดีแจกไปแจกมา ไอ้เจ้าคริสเตียนแถวนั้น 
คริสเตียนมีมากแถวบางนกแขวก มันก็ย่องมาขอกัน เมื่อขอไปแล้ว
มันก็เอาไป ฉันก็ไม่รู้มันเอาไปทำอะไรบ้าง มาเที่ยวหลังฉันกลับไปอีก 
เขาก็มาหาฉัน เอาเด็กอายุประมาณสัก ๘ ขวบเห็นจะได้มาด้วยคนหนึ่ง 

เขาถามว่านํ้ามันมนต์ของหลวงพ่อปานน่ะประสานกระดูกได้ไหมครับ
ก็เลยบอกว่าในคำอธิบายของท่าน ว่าไม่ได้นะ หนังสือที่แจกโยมไป
ก็เป็นชื่อของหลวงพ่อปาน หลวงพ่อท่านก็พิมพ์เองท่านก็ลงชื่อของท่าน
ไม่ใช่ลงชื่อฉันนะ ในหนังสืออธิบาย ทีนี้เขาก็เอาเด็กของเขาขึ้นมาดูบอกว่า 
ลูกชายผมเนี่ยหล่นบ้านแขนหัก ๒ ท่อน คือท่อนข้อศอกและก็ท่อนแขน 
หัก ๒ ท่อนไปโรงพยาบาลเขาสั่งตัด แต่ว่าแกไม่ต้องการจะตัด 
ก็กลับมาบ้านมาดึงให้เข้าดี แล้วเข้าเฝือกเอานํ้ามันหลวงพ่อทา เพียง ๗ วัน 
พอเปิดออกมาแขนหายเป็นปกติ ยกอะไรต่ออะไรได้ แกก็บอกว่าอานุภาพ
ของนํ้ามันมากมายถึงเพียงนี้ทำไมท่านมาเขียนลดความดีของ นํ้ามัน 
เอาเข้าแล้ว นั่น.เราเป็นพระรับบาปเข้าแล้วฉัน 

เขาบอกว่า ท่านนี่ไม่ไหว ทำลายความดีของครูบาอาจารย์ นํ้ามันรักษา
ต่อกระดูกได้ แต่ท่านมาเขียนว่าต่อกระดูกไม่ได้ อย่างนี้น่ะใช้ไม่ได้
ไอ้ฉันก็หมดท่า จึงบอกว่า โยม..นี่มันไม่ใช่นะ คำอธิบายนี่ฉันไม่ได้เขียน 
ฉันไม่ได้พิมพ์ โยมดู พ.ศ. สิว่า พ.ศ. ที่พิมพ์มันเมื่อไหร่ กระดาษก็เก่าแล้ว
เขาก็หันไปดู พ.ศ. โน่น..พิมพ์ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ เพราะฉันไปแจกนํ้ามัน
ก็ พ.ศ. ๒๔๙๐ กว่าแล้ว เขาก็ตกใจถามว่า นี่เป็นคำอธิบายของหลวงพ่อเหรอ
ก็บอกว่า ใช่ เขาก็เลยพูดว่า บางทีท่านจะพยายามลดความดีลงไปบ้าง 
ทั้งนี้ก็เพื่อไม่เป็นการโอ้อวด พอพูดถึงหลวงพ่อเขาว่าดี

จึงถามเขาว่า โยมบ้านอยู่ที่ไหน ไอ้ฉันน่ะไม่รู้ ก็เขามาหาฉันที่วัด
เขาบอกว่า ผมอยู่บางนกแขวกครับ
จึงถามว่า อยู่บางนกแขวกโยมไม่นับถือคริสเตียนกับเขาหรือ
เขาบอกว่า ใช่ ผมเป็นคริสตัง
เอาเข้านั่น! จึงถามว่าเป็นคริสตังแล้วทำไมมาขอของพระ
เขาบอกว่า เรื่องผมนับถือนี่ใครจะห้ามไม่ได้ พระอื่นน่ะผมไม่นับถือแต่หลวงพ่อปานผมนับถือ
เอาเข้านั่น! นี่ไอ้หมอนี่มันก็แปลก

อย่าคาดหวังอะไรในสมาธิ

ฉันถึงบอกว่าเวลาใดๆที่เราทำสมาธิ อย่าได้ไปคาดหวังว่าสมาธิมันจะทรงตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราคาดหวังอย่างนั้น..ความผิดหวังย่อมมี มันจะทำให้จิตเรานั้นมีกังวล นั้นก็ขอให้มีสติในเฉพาะหน้า คือกำหนดรู้ว่าอะไรที่เกิดขึ้น ต้องรู้ในสภาวะจิตของตน ว่าจิตของตนตอนนี้ในขณะนี้เป็นอย่างไร นั่นเรียกว่าอาการของจิต

เมื่อเรารู้อาการของมันแล้ว ก็ให้ทรงรู้อยู่ในอารมณ์นั้น จนเห็นอารมณ์นั้นเกิดขึ้นอยู่ ตั้งอยู่ และดับไปของอารมณ์นั้น เมื่อเห็นอย่างนี้ก็ทรงอารมณ์แห่งความสงบเข้าไปอีก ภาวนาเข้าไปอีก เมื่อมีอารมณ์เข้ามาอีกก็ให้กำหนดรู้ลมนั้น ดูลมอาการนั้นที่เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ทำให้มันเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ นั่นเรียกว่านิโรธมันก็บังเกิด คือดับอารมณ์ได้ 

ตัวดับอารมณ์นี้แล เมื่อไม่มีอารมณ์ให้เกิดขึ้น จิตจะเข้าถึงความว่างคือความสงบ ความนิ่ง นั่นก็เรียกว่าจิตมันจะรวมตัวเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา เมื่ออย่างนั้นแล้วเมื่อกำหนดรู้อย่างนี้ เมื่อรู้มากๆเข้ากำลังแห่งตัวรู้นี้ จิตมันจะค่อยๆตื่นของมันเอง เมื่อจิตมันตื่นแล้ว ก็จะเห็นอาการเกิดดับของจิตของอารมณ์ จึงเท่าทันในอารมณ์ที่เกิดขึ้น นั่นเรียกว่าจิตมันเบิกบาน 

ก็เอาจิตที่ตื่นและเบิกบานนั้นเสวยอารมณ์แห่งปิติสุขเสีย พอมีกำลังแล้วเราก็ละสุขและปิตินั้น เมื่อมันละสุขและปิติก็มีอารมณ์แห่งฌานเป็นเบื้องบาท คือจิตเข้าอุเบกขาฌาน จิตมันก็ตั้งมั่นมีกำลัง ก็ลองกำหนด..เค้าเรียกปรารภธรรมเกิดขึ้น การปรารภธรรมก็เหมือนการสนทนาพิจารณาแห่งจิตแห่งธรรมเกิดขึ้นภายใน

พิจารณาธรรมที่เป็นอกุศลที่เรานั้นยังไม่ได้ตัด ยังละวางไม่ได้ พิจารณาธรรมสังเวชก็เพื่อให้มันน้อมจิตให้คลายความกำหนัด ความอยากได้ใคร่ดีที่เราไปหลงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนั่นแล นี่เรียกว่าเราจะได้เจริญญาณให้บังเกิด คือวิปัสสนาญาณ คือการพิจารณาธรรม คือละอารมณ์ ดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ 

เพราะว่ากายเมื่อมันดับสงบดีแล้ว จึงเรียกว่ามารมันได้พักผ่อน แต่เราจะเอาจิตที่เป็นกุศล จึงเรียกว่าจิตพุทธะนั้น เรียกว่าจิตที่ตื่นรู้จึงเรียกว่าจิตพุทธะ ก็เอาจิตพุทธะนี่แลเพ่งดูจิตนั้น จนทำให้จิตนั้นสว่างตื่นรู้ เมื่อจิตมันสว่างตื่นรู้ จิตนั้นแลมันก็จะสอนในตัวของมันเอง 

สอนอะไรได้บ้าง สอนให้รู้เหตุแห่งทุกข์ สอนให้เท่าทันทุกข์ สอนให้รู้เท่าทันทุกข์แล้ว มันก็ต้องทำให้จิตนั้นมันคลายจากความเบื่อหน่ายในทุกข์ แล้วอะไรเล่าที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็คือการเกิดแห่งภพชาติ ก็คือการที่เกิดมาแล้วมีกายสังขารนี้ จึงว่ามีทุกข์อย่างยิ่ง เราก็น้อมจิตเข้าไปละอารมณ์ในรูป ในความพอใจความไม่พอใจ ความถือดีถือตน ความยึดมั่นถือมั่นในจิต ในอัตภาพ ในขันธ์ ๕ นี้ ว่าเป็นตัวเราของเราอย่างนี้

แท้ที่จริงแล้วลองพิจารณาดูซิว่า อันว่ากายสังขารทั้งหลายที่มันดำรงอยู่นี้ เราจะรู้ได้อย่างไรที่แท้ว่ามันประกอบด้วยอะไร เรารู้ที่มาที่ไปของมันหรือยัง แท้ที่จริงแล้วมันก็สักแต่ว่าเป็นกายขึ้นมา ด้วยอำนาจแห่งธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมประชุมธาตุ มีอากาศธาตุจิตวิญญาณธาตุประชุมจุติเข้าไป จึงทำให้เกิดกายสังขาร 

เมื่อปราศจากธาตุทั้ง ๔ หรือว่าธาตุใดธาตุหนึ่งก็ตาม ร่างกายสังขารเรานั้นก็เปรียบเสมือนท่อนไม้ท่อนฟืน หาประโยชน์มิได้อีกต่อไป ก็ต่อเมื่อเรายังมีลมหายใจเข้าและออกอยู่ จึงว่ายังหาประโยชน์ในกายนี้ได้อยู่ ก็ให้กำหนดรู้ที่กาย ที่ลมหายใจ คือการเจริญสติปัฏฐานให้มันเกิดขึ้น คือดูกายในกาย ดูเวทนาในเวทนา ดูจิตในจิต ดูธรรมในธรรม ย้อนอยู่อย่างนี้ 

ดูกายคือดูอะไร คือดูลมหายใจ ดูซิว่ามันสงบมากน้อยเพียงใด ดูซิว่ากายมันระงับเป็นอย่างไร แล้วดูซิว่าอารมณ์ใดเกิดมาเราก็รู้..เอาอารมณ์นั้นมาเพ่งดู เฉกเช่นเดียวกับเวทนาคือความรู้สึก หากยังมีความรู้สึกอยู่ จึงเรียกว่าจิตนั้นอุปาทานแห่งขันธ์มันยังไม่ได้ดับ ยังไม่ได้ละ ยังไม่ได้วางในอารมณ์ ก็ให้เราภาวนาเข้าไปกำกับให้กระชับจิตให้มันแนบกับลมหายใจ

เมื่อมันแนบกับลมหายใจมันก็ดับไปอย่างนี้ นิโรธมันก็เกิดขึ้นอีกอยู่อย่างนี้ เราจึงบอกว่าถ้ากำลังจิตเรานี้สติเรานี้ยังไม่ตั้งมั่นมากพอที่จะดูที่จะพิจารณาธรรม ก็ให้เราดูกายดูลมหายใจสงบอารมณ์นี้ให้มันสงบ คือเจริญสมถะให้มันมาก การภาวนาจิตก็เป็นการเจริญสมถะอย่างหนึ่ง ให้รู้อยู่อย่างนี้ สลับสับเปลี่ยนกับการพิจารณาธรรม อยู่ในกาย ในเวทนา จิต ธรรม อยู่ในอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เรารู้อยู่ในกายอย่างนี้ แม้จิตจะมีความเคลิบเคลิ้มไปบ้าง ก็ให้กำหนดเข้ามาใหม่ที่ลม แล้วก็ภาวนาลงไป..

ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...