(Credit the picture from blog.thewellnessuniverse.com)
มันแปลกมากๆที่ข้อความจากต่างมิติทุกๆจ้าว ที่สื่อสารมาถึงมนุษย์ที่เป็นผู้รับสาส์นทุกคนบนโลกในช่วงเวลานี้ ซึ่งก็คือในยุคพลังงานใหม่นี้ จะตรงกันหมดทั้ง 100% เต็ม ไม่มีผิดเพี้ยนกันเลยแม้แต่น้อย ในเรื่องเกี่ยวกับ Soul contract นี้
และมิหนำซ้ำ จากหนังสือของ Dolores Cannon ชุด The Convoluted Universe ที่ผมอ่านมาแล้ว 3 เล่มนี้ ก็ยังมาช่วยเน้นย้ำความตรงกันทั้ง 100% ให้อีกครั้งหนึ่งด้วย
ทั้งๆที่ข้อมูลที่เธอนำมาเขียนเป็นหนังสือชุดนี้ ได้มาจากการสะกดจิตบำบัดแบบระลึกชาติของเธอ ตลอดระยะเวลา 40 ปี ซึ่งก็หมายถึง ข้อมูลพวกนี้มาจากผู้ที่ถูกสะกดจิตจำนวนหลายพันคนทั่วโลกนั่นเอง!
นี่แหละที่ผมบอกว่ามันน่าแปลกหละครับ เพราะว่าข้อมูลมันมาตรงกันได้ยังไง ถ้ามันไม่มีความเป็นจริงอยู่ในนั้นเลยจริงๆ แม้ว่าบางส่วนของมันอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่ศาสนาสอนเอาไว้ก็ตาม
Soul Contract หรือพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ ก็คือ แผนการที่จิตวิญญาณของเราแต่ละคน ได้ทำเอาไว้ตั้งแต่ก่อนการลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ ว่าจะลงมาเกิดเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบ้าง
ซึ่งรายละเอียดของพันธะสัญญาที่ว่านี้ ก็จะรวมถึงว่าจะมาเกิดเป็นลูกใคร แต่งงานกับใคร มีลูกมีหลานเป็นใครบ้าง และจะมาทำอาชีพอะไร และจะมาทำภารกิจอะไรบนโลกใบนี้บ้าง และก็จะตายเมื่อไหร่ และด้วยวิธีการไหนด้วย!
และเจ้าพันธะสัญญาทางจิตวิญญาที่ว่านี้ พวกเราทุกคนที่ลงมาเกิดบนโลกใบนี้ ก็จะมีกันทุกคนเลยนะครับ ไม่ยกเว้นใครเลย และในขั้นตอนการวางแผนเพื่อทำพันธะสัญญาที่ว่านี้นั้น จิตวิญญาณของเราก็ได้มีการปรึกษาหารือและตกลงร่วมกันกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนมาก่อนแล้วด้วย
ซึ่งก็ได้แก่ ผู้ที่จะมาเป็นพ่อแม่, พี่น้อง, คู่สมรส และลูกหลานของเราด้วย ซึ่งทุกๆคนได้มีส่วนร่วมร่างพันธะสัญญานี้ร่วมกันมาก่อนแล้ว ณ.ฟากฝั่งโน้นของม่านพราง
เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตหลากมิติ ดังนั้น เราจึงมีตัวตนของเรา ที่อยู่ในหลากหลายมิติ ในขณะเดียวกันนั่นเอง
ดังนั้น ณ.โลกของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นมิติทางพลังงานที่อยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลานั้น ตอนนี้ และในขณะนี้เลย จิตวิญญาณของเรา ก็ยังอยู่ที่นั่นอยู่ แม้ว่าในขณะเดียวกันนี้ จิตวิญญาณของเรา ก็เชื่อมต่ออยู่กับกายเนื้อของเราในขณะเดียวกันนี้ด้วย
ประเด็นที่ผมอยากหยิบเอามาพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ "จิตวิญญาณของเรา จะให้ความสำคัญกับพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณนี้มากๆๆ" ดังนั้น เขาจะทำทุกวิถีทางที่จะให้การเกิดมาในภพชาตินี้ของเรา ไม่เสียเวลาเปล่า
ดังนั้น ทันทีที่ถึงเวลาแล้ว ถ้าเวอร์ชั่นที่เป็นมนุษย์โลกนี้ของเรา ยังมัวหลงระเริง หรือมัวเมา หรือยึดติดกับสิ่งของทางโลกอยู่ จนไม่อาจขยับตัวออกมาทำภารกิจที่ได้วางแผนเอาไว้ได้เลยหละก็ เขาก็จะมีวิธีการจัดการของเขาหลายวิธีการ
ซึ่งในหนังสือของ Dolores ที่ผมอ่านเจอนี้ เขาก็ยกตัวอย่างมาให้หลายวิธีการนะครับ เช่น:
1).ส่งสัญญาณต่างๆมาบอกเรา ผ่านทางสัญชาตญาณหยั่งรู้ของเราเอง ดังนั้น ถ้าเราเปิดใจรับฟัง และถ้าเรามีความสั่นสะเทือนที่สูงมากพอที่จะรับสัญญาณพวกนั้นได้หละก็ เราก็จะทำตาม หรือคล้อยตามอย่างง่ายดาย
2).ส่งสัญญาณมาให้ ผ่านทางปรากฎการณ์ความบังเอิญที่เหลือเชื่อ หรือที่เรียกว่า Synchronicity ซึ่งก็จะออกแนว บังเอิญได้ไปเจอคนโน้นคนนี้ หรือได้ไปในที่โน้นที่นี้ แล้วได้ทำภารกิจอะไรบางอย่าง อะไรแบบนั้น
3).ส่งสัญญาณเตือนมาให้ทราบ ผ่านทางความเจ็บป่วยของร่างกายเนื้อ ซึ่งจริงอยู่เรื่องการเจ็บป่วยมันมีสาเหตุมาจากกรรมก็ได้, มาจากการขาดสมดุลอย่างแรงของกาย-จิตใจ-อารมณ์ของเราอย่างรุนแรงก็ได้ด้วย
แต่มันก็มาจาก "การสะกิด" หรือการกระทุ้งจากจิตวิญญาณของเราเองก็ได้ด้วย ซึ่งวิธีการนี้เขาจะใช้ก็ต่อเมื่อ ข้อ 1 และ 2 ข้างบนนั้น ใช้ไม่ได้ผลแล้ว ดังนั้น เลยต้องใช้ไม้เรียวกันแล้ว อะไรแบบนั้น!
กรณีนี้ส่วนมากมักจะเกิดจากการที่จิตวิญญาณของเรา อยากให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรบางอย่าง ที่ไม่ดีไม่งาม หรือไม่ถูกไม่ต้อง ต่อตัวเอง และ/หรือต่อผู้อื่น
4).ใช้ไม้โหดเลย เพื่อพยายามเปลี่ยนทิศทางชีวิตของเรา ให้หันมาถูกทาง เพื่อที่จะได้ทำภารกิจซะที!!
เช่น ถ้าเราเป็นคนที่ลงมาเกิดแล้วไม่ยอมทำภารกิจของตัวเองที่ตั้งใจลงมาทำซะที เพราะกำลังเพลิดเพลินกับกามคุณทางโลกอยู่ หรือว่าเรามัวแต่ลุ่มหลงในการบำรุงบำเรอความสุขทางโลกให้ตัวเองอยู่ จนอาการหนักมากๆแล้ว
เขาก็จะ "ตัด" ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีทางโลกออกไปจากเราเลย เพื่อให้เรากลับมาอยู่ในจุดที่ "ต้องเริ่มต้นใหม่หมด" เพราะถ้าเราไม่มีอะไรจะให้เราลุ่มหลงหรือยึดติดแล้วหละก็ เราก็จะได้เริ่มต้นทำภารกิจได้ซะทียังไงหละครับ
อีกกรณีหนึ่งที่ก็โหดน่าดูเลยก็คือ ตัวอย่างของลูกค้าคนหนึ่งของเขา ที่สมัยหนุ่มๆเคยถูกคนร้ายหลายคนรุมแทงจนเกือบตาย จนต้องคลานออกมาหาคนช่วยส่งโรงพยาบาล จึงรอดมาได้
คำอธิบายของจิตวิญญาณก็คือ คนกลุ่มนั้นหนะ เป็นเพื่อนๆของเขาเองตั้งแต่สมัยที่อยู่ในโลกของจิตวิญญาณ ที่อาสาลงมาช่วยเขา ให้หันเหทิศทางชีวิตมาสู่เส้นทางแห่งภารกิจซะที เพราะเขาได้ใช้วิธีการอื่นๆในการสะกิดมาจนหมดทุกวิธีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล ก็เลยต้องขอให้เพื่อนๆมาช่วยจัดการให้แบบนี้แหละ
5).สุดท้าย..ถ้าไม่ฟังกันเลยจริงๆ ก็จะพากลับไปเริ่มต้นใหม่ที่ฟากฝั่งโน้นของม่านพราง
ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าดูๆแล้วภพชาติที่ลงมาเกิดอยู่นี้ คงเสียเวลาเปล่าๆแน่ๆเลย เพราะว่าเวอร์ชั่นที่เป็นมนุษย์ของเรานี้ มันไม่มีวี่แววที่จะหันมาทำภารกิจเลย!
หรือ สถานการณ์ หรือเงื่อนไขในชีวิตที่เกิดขึ้นจริงของร่างมนุษย์นี้ บีบบังคับให้เราไม่สามารถที่จะทำภารกิจได้จริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของจิตวิญญาณทุกๆดวงที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น จิตวิญญาณก็เกรงว่าคงเสียภพชาติไปเปล่าๆแน่เลย ก็เลยต้องพากลับไปก่อนระยะเวลาที่เคยกำหนดไว้ ซึ่งก็คือ จะมีเหตุให้เราตายจากโลกนี้ไปก่อนเวลาอันสมควรนั่นเอง แล้วก็ค่อยกลับมาเกิดใหม่ เพื่อทำเริ่มต้นทำภารกิจใหม่อีกครั้งหนึ่ง
** Free will หรือทางเลือกเสรี**
ดาวเคราะห์โลกของเรา เป็นดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี ที่ทุกคนมีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ จักรวาลจะไม่ตัดสินชี้ถูกผิดเรา
แต่ว่า..เพราะว่าดาวเคราะห์โลกของเราเป็น "มหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้แห่งหนึ่งในจักรวาลแห่งนี้" ดังนั้น มันจึงมีกฎและระเบียบของมันอยู่หลายอย่าง เช่น
- อยู่ภายใต้การลืมเลือน ว่าตัวเองเป็นใคร และลงมาเกิดที่นี่ทำไม? เพราะว่านี่คือการสอบ ดังนั้น จึงต้องลืม
- อยู่ภายใต้กาลเวลาแบบเป็นเส้นตรง ที่จะมีอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ทั้งๆที่ในระดับจักรวาลแล้ว กาลเวลาไม่มีอยู่จริง เพราะมันเป็นเพียงโปรแกรมๆหนึ่งในมิติที่ 3-4 ของเราเท่านั้น
- อยู่ภายใต้ความเป็นทวิภาวะ หรือ ความเป็นขั้ว คือ..มีดี-มีชั่ว, มีสูง-มีต่ำ, มีทุกข์-มีสุข ทุกอย่างจะคู่กันเป็นคู่ๆไป อะไรแบบนั้น
- อยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำ หรือ กฎแห่งกรรม หรือ Law of Cause & Effect ซึ่งก็หมายถึง อยากทำอะไรก็ทำได้เต็มที่เลยนะลูก แต่ว่า..ผลของการกระทำนั้น ลูกก็ต้องรับผิดชอบเองด้วยนะจ๊ะ..อะไรแบบนั้นครับ
ดังนั้น นี่แหละจึงเป็นสาเหตุให้ พวกเราส่วนใหญ่บนโลกต้องวนเวียนกันกลับมาเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากันอยู่นี่แหละครับ เพราะว่าเราไปทำผิดกติกากับคนอื่นๆไว้เยอะแยะนั่นเอง เลยต้องกับมาแก้กันอยู่เนี่ยแหละ จนกว่าจะหมดหนี้กรรมต่อกัน
แต่ว่า..การเกิดหนี้กรรมที่ว่านี้ ก็จะแตกต่างจากที่ในศาสนาสอนอยู่บ้างนะครับ เพราะถ้าในแง่ศาสนาสอนนั้น อะไรๆก็จะเป็นกรรมไปหมดใช่ไหมหละครับ แต่ในข้อความจากต่างมิติพวกนี้จะไม่ใช่แนวนั้น และการชดใช้กรรม มันก็ไม่ใช่ในแบบที่ศาสนาสอนอีกด้วยนะครับ แม้จะมีบางส่วนที่ตรงกันอยู่บ้างก็ตาม
**ความขัดแย้ง และ ความสอดคล้อง ระหว่าง Soul Contract กับ Free will**
1).เราจะบอกว่าพรหมลิขิตมีจริงก็ใช่ จะบอกว่าไม่มีจริง ก็ใช่ เพราะว่า Soul contract เป็นแต่เพียงแผนการคร่าวๆที่ร่างเอาไว้เท่านั้นเอง ส่วนการจะทำจริงหรือไม่ อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่การทางเลือกเสรีของมนุษย์โลกเอง
แต่มนุษย์โลก ก็เป็นผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองขึ้นมาจริงๆ เพราะเราเนรมิตด้วยความคิดและอารมณ์ของเรา และเราดึงดูดสิ่งต่างๆเข้ามาด้วย Vibration ของเราเอง
2).ถ้ามนุษย์มี Free will จริงๆทำไมจิตวิญญาณต้องคอยจัดการ หรือเรียกว่าบังคับเลยก็ได้..ให้เราต้องทำตามความประสงค์ของเขาด้วยหละ?
คำตอบก็คือ เพราะว่าเวอร์ชั่นที่เป็นมนุษย์นี้ของเรา เป็นภาค หรือ ส่วนหนึ่งของตัวตนรวมทั้งหมดของเรา ที่เป็นภาคพลังงานที่อยู่ในหลากหลายมิติ เหนือช่องว่างและการเวลา ดังนั้น สิ่งใดที่เกิดขึ้นกับเรา จึงเกิดขึ้นกับพวกนั้นด้วย
ดังนั้น เมื่อใดที่เราทำตัวเป็นเชื้อโรค หรือเป็นมะเร็งมาทำร้ายตัวเองหละก็ จิตวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นเหมือนร่างกายทั้งร่างของเรา ก็ต้องคอยจัดการและดูแลสุขภาพให้กับส่วนรวมเป็นธรรมดา อาจจะโดยการชำระล้างเรา อะไรแบบนั้นเป็นต้น
หรือยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆอีกอย่างก็คือ มันจะคล้ายๆการออกกำลังกาย หรือฝึกโยคะนี่แหละครับ ที่เราต้องการทำท่านั่งฉีกขา 180 องศาให้ได้ ดังนั้น เราก็เลยต้องฝึกให้กร้ามเนื้อขาและสะโพกหลายส่วนยืดหยุ่นจนถึงจุดนั้นให้ได้
ดังนั้น ขาและสะโพกของเรา ก็เลยต้องเจ็บตัวหน่อยเป็นธรรมดา เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมทั้งร่าง เพราะว่าถ้าจะมายึดเอาตาม Free will ของขาซึ่งไม่อยากยืดอยู่แล้วนี่ ก็คงจะไม่ต้องบรรลุเป้าหมายอะไรแล้วหละครับ
3).จริงอยู่ฟังดูแล้ว เหมือนจิตวิญญาณของเรานี้ ช่างโหดเหี้ยม และไร้ความเมตตาสิ้นดีเลย ใช่ไหมครับ?
แต่ว่าจิตวิญญาณของเรา ก็คือผู้ที่ส่งพลังชีวิตมาหล่อเลี้ยงกายเนื้อของเราไว้ และถ้าไม่มีเขา เราก็ตายสถานเดียว ไม่มีข้อยกเว้นเลย
และดังนั้น จิตวิญญาณของเรา จึงรักและทะนุถนอมเรามาก และเขาจะทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องเรา ให้ปลอดภัยที่สุด เพื่อที่จะได้ทำภารกิจได้อย่างยอดเยี่ยมต่อไป
และอีกอย่างหนึ่ง..เรื่องการลงมาเกิด และการตายจากไปของร่างมนุษย์ในมิติที่ 3 นี้ ในมุมมองของจิตวิญญาณ ที่อยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลาแล้ว ไม่มีอะไรซีเรียสเลย
เพราะว่า..การตายก็แค่การเปลี่ยนสภาวะ หรือแค่การถอดเสื้อตัวหนึ่งออก เพื่อเตรียมตัวจะไปใส่เสื้อตัวใหม่เท่านั้นเอง เพราะคนที่ใส่ก็ยังเป็นคนเดิมอยู่ อะไรแบบนั้นนะครับ
4).อีกอย่าง..ในมุมมองของจักรวาลแล้ว ไม่มีสิ่งไหนที่เรียกว่า "ดี" หรือ "ชั่ว" เลย เพราะว่ามันคือสิ่งเดียวกัน ที่อยู่คนละขั้วของความเป็นทวิภาวะ หรือ Duolity เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ต่อให้เราเป็น "คนดี" ซักแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเรายังไม่สนใจจะทำภารกิจของตัวเองซะทีหละก็ มัวแต่นั่งแช่-นอนแช่อยู่ใน comfort zone อยู่หละก็ เราก็มีสิทธิ์ที่โดนจิตวิญญาณของตัวเอง "จัดหนัก" ให้ได้เหมือนกันนะครับ ฮิฮิ
ทั้งหมดนี้..แน่นอนว่ามันมีประเด็นที่ขัดแย้งในความคิดของเราอยู่มากมาย ซึ่งก็รวมทั้งตัวผมเองด้วย (แม้ว่าส่วนใหญ่ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้วก็ตาม) ดังนั้น ก็อย่าคิดมากนะครับ ให้อ่านผ่านๆไปซะก่อน แล้วค่อยไปขบคิดพิจารณากันดูอีกที อย่าเพิ่งรีบตัดสินว่าผิดหรือถูกซะก่อนนะครับ
เล่าสู่กันฟังครับ
ที่มา
Chayutt Naowarat
15/05/20
..............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น