#ความจริงเรื่องของพระนิพพานนี่ ถ้าเราแม้จะได้ทิพจักขุญาณก็ดี จะได้มโนมยิทธิก็ดี จะได้อภิญญาก็ดี จำไว้ด้วยนะ ถ้า
#หากว่าจิตของเราเข้าไม่ถึงโคตรภูญาณ #เราจะไม่สามารถเห็นพระนิพพานได้เลย เว้นไว้แต่พระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ทำได้ ถ้าพระโพธิสัตว์มีบารมีตั้งแต่อุปบารมีขึ้นไป #อันนี้สัมผัสนิพพานได้เป็นปกติ อันนี้เป็นกำลังใหญ่ สำหรับสาวกภูมินี่ถ้ามีอารมณ์ไม่ถึงโคตรภูญาณ โคตรภูญาณ คือ #ระหว่างโลกีย์ กับ #โลกุตตระ คืออยู่กลางๆ จิต
อยู่กลางๆ #จะเป็นปุถุชนก็ไม่ใช่ จะเป็น
#พระโสดาบันก็ไม่ใช่ เหมือนกับคนยืนคร่อมลำรางเล็กๆ เท้าซ้ายอยู่ฝั่งนี้ เท้าขวาอยู่ฝั่งโน้น ยังไม่ยกเท้าซ้ายมาหรือยังไม่ยกเท้าขวามา อารมณ์ตอนนี้
เป็นอารมณ์กลางๆ ท่านเรียกว่าโคตรภูญาณ
#ถ้าอารมณ์เข้าถึงตอนนี้จึงจะจับสัมผัสกับพระนิพพานได้ #ถึงแม้ว่าจะได้ทิพจักขุญาณมโนมยิทธิ #หรืออภิญญาก็ตาม เว้นไว้แต่พระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ไม่มีโอกาสได้เป็นพระอริยเจ้า จนกว่าจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณด้วยตนเอง ดังนั้น จงจำไว้ว่าถ้าท่านผู้ใดสามารถ #ฝึกมโนมยิทธิ หรือว่า
#ทิพจักขุญาณ ถ้าได้แล้ว #ถ้ากำลังใจของท่านหยั่งเข้าสู่พระนิพพาน
ได้ #คือเห็นพระนิพพานได้ #ถ้าเป็นพวกทิพจักขุญาณหรือว่าพวกที่ได้มโนมยิทธิสามารถเข้าไปสู่แดนพระนิพพานได้ พึงทราบว่ากำลังใจของท่านเวลานั้นอย่างเลวตกอยู่ในเขตโคตรภูญาณหรือ
พระโสดาบันแล้วจึงจะไปได้
🚩🚩บรรลุพระโสดาบัน
#ฟังต่อไป #องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่าง #เวลานี้เจ้าไม่ใช่ปุถุชนแล้ว #เจ้าเลยโคตรภูมาแล้ว ฉะนั้น #เจ้าเป็นพระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุง
#จำได้ไหม #เขาเรียกพระโสดาบันขั้นแรก #สำหรับพระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตงนั้น เจ้าได้เมื่อพรรษาก่อน ระหว่างนี้เป็น #โกลังโกละ ความจริงนี่มัวนั่งสงสัยตัวเองนี่หลวงตาองค์นี้
เรียกท่านว่าหลวงตา แก่แล้วนี่เรียกได้ มิน่าเล่า....ท่านจึงสอนขั้นพระอนาคามีมาตลอดเวลา ให้ตัดโน่นตัดนี้ ตัดนี้ตัดนั้น ท่านบอกว่าอยากจะได้พระโสดาบันให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เนื้อแท้จริงๆ #โสดาขั้นสัตตักขัตตุงได้ตั้งแต่พรรษาก่อน แต่ทว่าท่านเป็นพระที่มีความสงสัยตัวอยู่เสมอ ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเป็นคนดี คอยจับผิดคิดชั่วว่า ตัวมันเลวใจมันเลวอยู่เสมอ จึงไม่มั่นใจว่าตัวเองได้พระโสดาบัน ความจริงใจของท่านอาจจะมีความเข้าใจ แต่ว่าการเข้าใจว่าได้
ท่านถือว่ามันเล็กเกินไป คิดว่าไม่ได้ไว้ก่อนดีกว่า #ถ้าพระโสดาบันจริงๆ ต้อง
#เป็นเอกพิชี #โกลังโกละ #สัตตักขัตตุง #สัตตักขัตตุง ต้องเกิดอีก ๗ ชาติ#
# โกลังโกละ ต้องเกิดอีก ๓ ชาติ# มันก็ยังไม่เต็มพระโสดาบัน นี่เข้ามาครึ่งๆ
# เป็นอันว่าฟังต่อไปว่า สัตตักขัตตุงนั้นเจ้าได้ตั้งแต่ระหว่างกลางพรรษาก่อนโน้น แต่ว่าเวลานี้เป็นโกลังโกละ เป็นพระโสดาบันชั้นกลาง ต่อไปนี้ไม่เกิน ๗ วันนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต่อนี้ไปไม่เกิน ๗ วัน ท่านว่าไม่เกิน ๗ วันนะ ไม่ใช่ภายใน ๗ วัน นับตั้งแต่วันนี้ไป ๕ วัน
จะได้ "เอกพิซี" เห็นไหม นี่เป็นพุทธพยากรณ์ ถ้าไม่ใกล้จริงๆ แหม...ตอนก่อนขู่เสียเกือบแย่ ๑๐ ปีเศษๆ มีหวังแน่ไม่เป็นไร ว่าอย่างนั้น ทีนี้คนก็นึกว่ายังไม่ได้ บุกใหญ่เลย อีก ๑๐ ปีนี่จะอยู่ไปทำไม ฟัดมันให้แหลกไปด้วยกัน ไปๆ มาๆ ได้พระโสดาบันท่านไม่ยอมรับรอง ไม่ยอมรับรองก็เชื่อตัวเองไม่ได้ ถ้าได้ตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป เขาต้องอาศัยพระพุทธเจ้าทรงรับรอง นี่ท่านบอกว่าอีกไม่เกิน ๗ วัน นับแต่วันนี้ไปอีก ๕ วันจะได้เอกพิชีในพรรษานี้ ถ้าหากว่าไม่
ขี้เกียจ อย่างต่ำจะได้อนาคามีหรือว่าถึงที่สุดก็ได้ นี่ยังมีวงเล็บอีก ในพรรษานี้ถ้าไม่เกียจคร้านอาจจะได้อรหันต์เสียหมดเรื่องหมดราว แต่ท่านไม่ยอมพูดอย่างนั้น ท่านพูดอย่างพระพุทธเจ้า
ดีไม่ดีท่านผู้เฒ่าผู้นั้นก็เกิดขีเกียจขึ้นมา จะนั่งตีขลุมมาว่าเราได้อรหันต์แน่ ก็เลยนอนส่งเดช เลยไม่ต้องได้กัน
# ท่านจึงบอกว่าถ้าในพรรษานี้ถ้าหากว่าเธอไม่เกียจคร้านอย่างต่ำจะได้อนาคามี หรือว่าถ้าขยันแล้วก็ทำดีๆ ทำให้ถูกจะถึงที่สุดคืออรหัตตผล ฟังแล้วชื่นใจไหม ท่านบอกว่าฟังแล้วชื่นใจ แล้วก็ต่อไปว่า ถ้าไม่เกียจคร้านก็ไม่เกิน ๒๕๐๘ ถ้าเกียจคร้านหน่อยๆ ก็ไม่เกิน ๒๕๐๘
จะจบกิจพระพุทธศาสนา ท่านกล่าวว่า ท่านทรงอารมณ์ตั้งอยู่ในขั้น นิพพานะสุขัง ถึง ๑๑.๐๐ น. พอดี จิตของท่านก็ตกจากภาวะของอารมณ์แห่งฌานเพราะมันเป็นเวลาเพล ความจริงไม่ได้ตั้งเวลาไว้ จิตมันเพลินไป พอถึง ๑๑.๐๐ น. จิตตก ดึงไม่ขึ้น ลืมตาขึ้นมาดูว่า
โอหนอ... นี่เวลาเพลเสียแล้ว น่าเสียดายจริงๆ วันนี้ไม่อยากจะกินข้าว ข้าวปลานี้ไม่อยากจะกินมันต่อไป อยากจะโหมมันเสียให้เสร็จในวันนั้น ให้เป็นอรหันต์ ท่านบอกว่าอย่างนั้น ตายเรื่องเล็ก ขันธ์ ๕ นี่มันเป็นโทษมันเป็นทุกข์ มันเป็นศัตรูใหญ่ ไม่อยากพบหน้ามันต่อไปอีก เกลียด
เหลือเกิน นี่ดูอารมณ์ของนักปฏิบัติพระกรรมฐานที่เขาเอากันจริง นี่มันเป็นแบบนี้
# บันทึกของท่านต่อไปว่า วันที่ ๒๒ ท่านจบเรื่องไปแล้ว ท่านก็มาบันทึกอีกทีวันที่
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๖ ท่านบอกว่าวันนั้นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา คือท่านพระมหากัจจายนะ โปรดให้โอวาทว่า
🌿จงกำจัดอุปาทานนั้นเสีย อุปาทานนั้นได้แก่
🙏🙏ฉันทะ คือ ความพอใจ ๑
🙏🙏ราคะ ได้แก่ความกำหนัดยินดี ๑
🙏🙏ฉันทะ คือ ความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นเทวดา การเกิดเป็นพรหม
🙏🙏ราคะ คือ มีความเห็นว่ามนุษยโลกสวยน่าอยู่ เทวโลกสวยน่าอยู่สบาย พรหมโลกสวยน่าอยู่สบาย จงอย่ามีในใจของเธอ ตัดอารมณ์อย่างนี้เสียให้ขาดไป
🌿เรามีความพอใจอย่างเดียวคือพระนิพพาน🌿
# ท่านกล่าวว่าถ้าฉันทะเกิดขึ้น ให้พิจารณาว่าอนิจจังมันไม่เที่ยงหนอ ทุกขังมันเที่ยงหนอ อนัตตามันไม่เที่ยงหนอ เมื่อฉันทะความพอใจเกิดขึ้น ก็บอกว่า อนิจจัง มันไมเที่ยง อย่าไปเกาะมันเลย โลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก มันไม่อยู่กันจริงจัง เป็นมนุษย์เดี๋ยวก็ตายเป็น
เป็นเทวดาหรือว่าพรหมเดี๋ยวก็จุติ ทุกขัง มนุษย์ทุกข์มาก เทวโลกกับพรหมโลกก็ยังทุกข์ เพราะยังไม่เสร็จกิจ มีกิจที่จะต้องทำต่อไป อนัตตา อาการทั้งหลายทั้ง ๓ ภพนี้มันสลายตัวเสมอ ไม่มีการทรงตัว นี่ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด ปฏิบัติได้ก็ปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ได้ก็เอาตามใจของ
ท่าน ถนัดแบบไหนทำแบบนั้น นี่เอาเรื่องของท่านผู้เฒ่ามาเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า ถ้าราคะเกิดขึ้นให้พิจารณาอย่างนี้ ให้พิจารณาเป็นปฏิกูลสัญญา คือเป็นอสุภะเสียให้หมด ก็รวมความว่า
ถ้าราคะความรักสวยรักงามในภพใดๆ คนใดๆ เทวดาหรือพรหมใดๆ เกิดขึ้นก็ตาม ให้เห็นว่าท่านผู้นั้นก็คือผีเน่านั่นเอง
# ที่นี้ผมก็อยากจะย้อนต้นว่า จงจำไว้ว่า ถ้าปรารถนานิพพานจงพยายามตัดฉันทะกับราคะ ฉันทะกับราคะที่เรียกกันว่าเป็นอุปาทาน นี่มันเป็นอะไร ความจริงผมเคยบอกไว้เสมอๆ นะ เคยเจอะในขันธวรรค ท่านเคยพูดถึงอารมณ์ของอวิชชา อวิชชานี่เราแปลกันว่าไม่รู้กันตะบัน ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนั้น แต่ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านบอกว่า คำว่า อวิชชา นี่แปลว่า รู้ไม่ครบ เพราะว่าคนและสัตว์ที่เกิดมาไม่รู้ไม่มี ใน ขันธวรรค ท่านบอกว่า การตัดอวิชชาก็คือการตัดฉันทะกับราคะนั่นเอง คำว่าอวิชชาแยกศัพท์ออกมาได้เป็นจริยา คือ เป็นอาการของอวิชชา คือฉันทะ ความพอใจ ราคะ ความกำหนัดยินดี ถ้าอารมณ์ทั้ง ๒ ประการนี้ยังมีในจิต ก็เชื่อว่าบุคคลนั้นยังมีอวิชชาอยู่ในใจ ไป
นิพพานยังไม่ได้
🌿ฉันทะ... พอใจอะไร พอใจความร่ำรวย พอใจในความสดสวยงดงาม พอใจในความโกรธ พอใจในความพยาบาท พอใจในชาติในภพ ชาติภพคือชาติมนุษย์ ชาติเทวดา ชาติพรหม
🌿ราคะ.. มีความกำหนัดยินดี นี่ชื่นอกชื่นใจเหลือเกิน มีความร่ำรวย มีของสวย
โกรธใครเขาได้ หรือติดชาติติดภพ เกิดเป็นคนได้ เกิดเป็นเทวดาได้ เกิดเป็นพรหมได้ ดีอกดีใจ ชื่นใจ รักมาก
# นี่อาการอย่างนี้เป็นอาการของอวิชชา ความโง่ดึงตัวให้ติดอยู่เรียกว่า อุปาทาน ถ้าตัดเหตุทั้งสองประการนี้ได้แล้วก็ไม่ต้องไปตัดอะไร ถ้ามุ่งใจตัดฉันทะกับราคะ สองตัวพอแล้วอารมณ์ของท่านก็ไปถึงนิพพานเพราะทำลายอวิชชาได้ อย่างอื่นมันก็ไม่เหลือ กิเลสทั้งหมดที่
มันจะเกิดได้ก็เพราะอาศัยอวิชชาเป็นนาย
# เอาล่ะท่านทั้งหลายเวลากาลสมควรแล้ว สำหรับเรื่องราวของพระท่านผู้เฒ่าที่เล่ากันมาในวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี.
ที่มา
🖊️📖หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๒๙ หน้าที่๓๓~๓๖
🙏🙏หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
🖊️นภา อิน🙏🙏😊😊🌺🌺
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น