*โอวาท : หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ*
..." วันนี้ วันทำบุญตักบาตรเทโวฯ โดยประเพณีถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ คือเป็นวันที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงสเทวโลก ลงมาที่ประตู เมืองสังกัสนคร.
.. เพลานั้นองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนวันเข้าพรรษาสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ ที่ เมืองสาวัตถี ซึ่งมี พระเจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์เป็นองค์อุปถัมภ์.
.. ในเมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ แล้ว ปรากฏว่าเวลานั้นเป็นเวลาพรรษาที่ ๗ แห่งการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดามาระลึกถึงพระพุทธมารดา คือ *ท่านสิริมหามายาราชเทวี*
.. ในเมื่อ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติแล้วได้ ๗ วัน ท่านก็สวรรคต.
.. ปรากฏว่า ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต ก็ในฐานะที่เป็นพุทธมารดา แต่ว่าการเกิดในสถานที่นั้นมิได้เป็นผู้หญิง เป็นเทพบุตรคือเป็นผู้ชาย.
.. เพราะขึ้นชื่อว่าครรภ์ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดแล้ว ครรภ์ของสตรีผู้นั้นไม่ควรที่จะมีบุคคลอื่นใดเข้ามาเกิดผสมได้.
.. เหตุฉะนั้น เมื่อคลอดองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว ๗ วัน จึงได้เสด็จสวรรคตตามบุญบารมี.
.. องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมี ความกตัญญูกตเวที เป็นเหตุ.
.. เหตุฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ จึงได้คิดถึงคุณพระมารดาเป็นสำคัญ คิดว่าจะสนองคุณพระมารดานี้นั้นได้ต้องอาศัยเสด็จไปดาวดึงสเทวโลก แสดงพระสัทธรรมเทศนาสนองคุณพระมารดา.
~ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ยมกปาฏิหาริย์ แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงแสดงปาฏิหาริย์พิเศษ คือก้าวจากที่นั้นไปยอดภูเขา ยุคันธร แล้วองค์สมเด็จพระชินวรก้าวอีกครั้งหนึ่ง ขึ้นไปยอดเขา พระสุเมรุ.
~ ในตอนนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อขึ้นไปแล้ว ปรากฏว่า ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์ ได้ทราบข่าวว่า องค์สมเด็จพระมหามุนินทร์เสด็จมา จึงได้พาเทวดาทั้งหลายมาต้อนรับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา และก็ทูลเชิญสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ประทับอยู่ที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์.
.. ความจริง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นี้ มีความยาว ๖๐ โยชน์ มีความกว้าง ๓๐ โยชน์ของมนุษย์ เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไป.
~ พระอินทร์ก็คิดในใจว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเป็นมนุษย์นี่ตัวเล็กนัก ถ้าทรงเสด็จประทับอยู่ที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ก็จะมีภาพคล้าย ๆ กับแมลงตัวเล็ก ๆ นั่งหรือจับอยู่บนเตียงนอนของบุคคลธรรมดา.
~ พระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบความดำริของพระอินทร์ดังนั้นแล้วไซร้.
~ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงได้ทรงโยนผ้าสังฆาฏิที่พาดบ่า สังฆาฏิคลุม บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พอดี.
~ แล้ว องค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็ทรงประทับนั่งพระวรกายของพระองค์ใหญ่พอดิบพอดีกับ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์.
~ เป็นเหตุให้ ท้าวโกสีย์สักกเทวราช ทรงมีความแปลกพระทัยว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดานี้มีพระพุทธปาฏิหาริย์เป็นเลิศ ประเสริฐกว่าบุคคลผู้ใด แต่ก็มิได้กล่าวอะไรเพราะว่าเห็นเป็นของอัศจรรย์.
.. ในขณะที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จประทับอยู่ที่นั้น พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกากล่าวกับ ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์ว่า :-
"เทวราชะ ! ดูก่อนเทวดาผู้ประเสริฐ การมาของตถาคตในคราวนี้ มีความต้องการจะแสดง ความกตัญญูกตเวที สนองคุณความดีของพระมารดา ที่ให้ชีวิตมา.
ฉะนั้นขอเชิญ ท้าวโกสีย์สักกเทวราช โปรดกรุณาไปตามพระพุทธมารดา จากสวรรค์ชั้นดุสิตมาด้วย ช่วยให้มารับ ความกตัญญูกตเวที"
.. ครั้น ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์ ได้รับพระพุทธบัญชาแล้ว ก็เสด็จไปชั้นดุสิตเทวโลก เชิญพระพุทธมารดาเสด็จเข้ามา.
~ เมื่อพระพุทธมารดาเสด็จมาแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จึงได้มีพระพุทธฎีกากล่าวว่า:-
"อามะ ! ข้าแต่แม่เจ้าผู้เจริญ บัดนี้ตถาคตมีความประสงค์จะใช้หนี้ข้าวก้อน และนํ้านมที่ให้ชีวิตมา ขอพระมารดาจงตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนา"
.. ในตอนนั้น และขณะที่จะแสดงพระสัทธรรมเทศนา องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมาดำริว่า : ไตรปิฎกทั้ง ๓ ประการ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก..
~ คำว่า “ปิฎก” ก็คือ หมวดคำสอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท.
~ สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ มาพิจารณาว่า ถ้าเราจะแสดง พระวินัยปิฎก ก็ดี พระสุตตันตปิฎก ก็ดี คุณธรรมทั้ง ๒ ประการนี้ไม่คู่ควรกับคุณของมารดา.
.. แต่องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ก็ทรงพิจารณาว่า สำหรับ พระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นธรรมะสูงสุดนี่เป็นการคู่ควรอย่างยิ่ง และต่อจากนั้นไปองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ทรงแสดง พระอภิธรรมปิฎก.
.. สำหรับ พระอภิธรรมปิฎก นี้ เขาบรรยายกันไว้มากมาย แต่เนื้อแท้จริง ๆ มีเนื้อความจริง ๆ โดยย่อเป็น มาติกา อยู่ ๓ ประการเท่านั้น ได้แก่ :-
~ กุสลา ธัมมา
~ อกุสลา ธัมมา
~ อัพยากตา ธัมมา
* กุสลา ธัมมา ได้แก่ : ธรรมที่เป็นกุศล ที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ทำแล้วในวันนี้ เป็นการบูชาพระรัตนตรัยก็ดี ถวายทานแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ก็ดี สมาทานศีลก็ดี สดับรับรสพุทธพจน์เทศนา เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี อย่างนี้องค์สมเด็จพระพระชินสีห์ตรัสว่า : เป็น กุสลา ธัมมา คือ สร้างธรรมที่เป็นกุศล.
* สำหรับ อกุสลา ธัมมา นั้น องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาทรงหมายว่า : ธรรมที่เป็นอกุศล คือความชั่ว ทำตัวให้ตกอยู่ในอำนาจของอกุศลกรรม มีการไม่เคารพในศีล ๕ เป็นต้น.
* สำหรับ อัพยากตา ธัมมา นั้น เป็นธรรมที่เป็นมหากุศล คือทำใจของตนให้เป็น อัพยากฤต ตั้งจิตเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์
.. คือมีอารมณ์คิดเห็นว่า : กามฉันทะ คือนิวรณ์ ๕ ได้แก่ กามฉันทะ มี.. รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อันจะเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี เป็นวัตถุธาตุก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็น “อนิจจัง” หาความเที่ยงมิได้.
~ และก็ ถ้าจิตใจของเราไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันจะทรงอยู่ตลอดกาล ตลอดสมัย เมื่อมันเคลื่อนไปใจก็เป็นทุกข์ หาความสุขมิได้.
* ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงให้ปลดใจเรื่องนี้เสีย คิดเห็นว่า เป็นของธรรมดา ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ที่เกิดมานี้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
~ แม้แต่ร่างกายของเราเองก็เป็นสำคัญ มีความเกิดขึ้นมาแล้ว ก็มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ ทำใจให้มีความรู้สึกอย่างนี้ เป็นปกติ.
~ เมื่อความแก่เข้ามาถึง อารมณ์ใจของเราก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะจิตมันมีความรู้สึกอยู่แล้ว ว่า มันจะต้องเป็นอย่างนี้.
* ข้อที่ ๒ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาตรัสว่า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วทรงชีวิตอยู่ สมเด็จพระบรมครูก็กล่าวว่า ร่างกายเป็น โรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค.
~ เราจะมีความป่วยไข้ไม่สบายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ ทำใจรับสถานการณ์ไว้เป็นปกติ ในเมื่อความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ความทุกข์ใจมันก็ไม่มี.
~ ถือว่าอาการอย่างนี้ เป็นปกติธรรมดาของคน และสัตว์ ที่เกิดมา จะต้องรับเสมอไป ในเมื่อจิตใจยอมรับแล้วมันก็มีความสุข.
* ในที่สุดทรงกล่าวว่า : เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วป่วยแล้ว ก็มีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ คิดเสมอไว้ว่าเราจะต้องตาย เมื่อความตายจะเข้ามาถึง จิตใจก็ไม่กระสับกระส่าย ใจเป็นสุขเพราะถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา.
* ประการที่ ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตามปกติเป็นธรรมดา.
~ นี่หมายความว่า เราจะตายหรือเรายังไม่ตายก็ตามที คนที่เรารัก สัตว์ที่เรารัก วัตถุธาตุที่เรารัก ในเมื่อมันมีสภาพเป็น อนิจจัง และก็มีสภาพเป็น อนัตตา คือไม่เที่ยง แล้วก็สลายตัวไป
~ อาการอย่างนี้ปรากฏขึ้นมาเมื่อไร เราทราบอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว กล่าวว่า ให้ยอมรับนับถือในเรื่องนี้ จิตใจของเราก็เป็นสุข เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวต่อไปว่า :-
"เรามีกรรมเป็นของตน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเรากลัวความทุกข์เราก็ทำแต่ความดี"
* สำหรับในเรื่องของ พระอภิธรรม นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ ตรัสหัวข้อไว้ ๔ ประการ คือ : จิต เจตสิก รูป นิพพาน
~ หมายความว่า : องค์สมเด็จพระพิชิตมาร บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแนะนำให้บรรดาท่านพุทธบริษัท รักษากำลังใจเป็นสำคัญ.
~ ถ้าใจของเรานี้นั้น ไม่หมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์ และใจของเราไม่หมกมุ่นอยู่ในความโลภ ละโมบอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น ที่เขาไม่ให้มาเป็นของตน อารมณ์จิตน้อมไปด้วยกุศล กล่าวคือมีความเมตตาปรานีแทน โทสะ ที่มันเข้ามาสิงใจ.
* และประการสุดท้าย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า :-
"เรามีอุเบกขารมณ์ หมายความว่า : มีอาการวางเฉยทุกอย่างในสภาวะของโลก"
~ ร่างกายมันจะแก่ก็เชิญแก่ ร่างกายมันจะป่วยก็เชิญป่วย ร่างกายมันจะตายก็เชิญตาย สิ่งที่เรารักเราชอบใจ มันจะพลัดพรากจากไป แต่จิตใจของเราก็ปกติ.
* อย่างนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีกล่าวว่า : บุคคลผู้นั้นทำใจได้อย่างนี้ ย่อมเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน.
~ อันนี้เป็นใจความที่องค์สมเด็จพระพิชิตมาร บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเทศน์โปรดพระพุทธมารดา.
.. สวัสดี..."
( ที่มา : เพจ.. มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร..เทศน์วันพระ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีระกา )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น