18 พฤษภาคม 2563

เรื่อง *พระพุทธเจ้า ทรงแสดงพระอภิธรรม โปรดพระพุทธมารดา


*โอวาท : หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ*

..." วันนี้ วันทำบุญตักบาตรเทโวฯ โดยประเพณีถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ คือเป็นวันที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงสเทวโลก ลงมาที่ประตู เมืองสังกัสนคร.

.. เพลานั้นองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก่อนวันเข้าพรรษาสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ ที่ เมืองสาวัตถี  ซึ่งมี พระเจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์เป็นองค์อุปถัมภ์.

.. ในเมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ แล้ว ปรากฏว่าเวลานั้นเป็นเวลาพรรษาที่ ๗ แห่งการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดามาระลึกถึงพระพุทธมารดา คือ *ท่านสิริมหามายาราชเทวี*

.. ในเมื่อ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติแล้วได้ ๗ วัน  ท่านก็สวรรคต. 

.. ปรากฏว่า ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต  ก็ในฐานะที่เป็นพุทธมารดา แต่ว่าการเกิดในสถานที่นั้นมิได้เป็นผู้หญิง เป็นเทพบุตรคือเป็นผู้ชาย. 

.. เพราะขึ้นชื่อว่าครรภ์ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดแล้ว ครรภ์ของสตรีผู้นั้นไม่ควรที่จะมีบุคคลอื่นใดเข้ามาเกิดผสมได้.

.. เหตุฉะนั้น  เมื่อคลอดองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว ๗ วัน จึงได้เสด็จสวรรคตตามบุญบารมี.

.. องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมี ความกตัญญูกตเวที เป็นเหตุ.

.. เหตุฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ จึงได้คิดถึงคุณพระมารดาเป็นสำคัญ  คิดว่าจะสนองคุณพระมารดานี้นั้นได้ต้องอาศัยเสด็จไปดาวดึงสเทวโลก  แสดงพระสัทธรรมเทศนาสนองคุณพระมารดา.

~ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ยมกปาฏิหาริย์ แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงแสดงปาฏิหาริย์พิเศษ  คือก้าวจากที่นั้นไปยอดภูเขา ยุคันธร แล้วองค์สมเด็จพระชินวรก้าวอีกครั้งหนึ่ง ขึ้นไปยอดเขา พระสุเมรุ.

~ ในตอนนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อขึ้นไปแล้ว ปรากฏว่า ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์ ได้ทราบข่าวว่า  องค์สมเด็จพระมหามุนินทร์เสด็จมา จึงได้พาเทวดาทั้งหลายมาต้อนรับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา และก็ทูลเชิญสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ให้ประทับอยู่ที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์.

.. ความจริง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นี้  มีความยาว ๖๐ โยชน์  มีความกว้าง ๓๐ โยชน์ของมนุษย์  เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไป.

~ พระอินทร์ก็คิดในใจว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเป็นมนุษย์นี่ตัวเล็กนัก  ถ้าทรงเสด็จประทับอยู่ที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์  ก็จะมีภาพคล้าย ๆ กับแมลงตัวเล็ก ๆ นั่งหรือจับอยู่บนเตียงนอนของบุคคลธรรมดา. 

~ พระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบความดำริของพระอินทร์ดังนั้นแล้วไซร้.

~ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  จึงได้ทรงโยนผ้าสังฆาฏิที่พาดบ่า   สังฆาฏิคลุม บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พอดี. 

~ แล้ว องค์สมเด็จพระชินสีห์  ก็ทรงประทับนั่งพระวรกายของพระองค์ใหญ่พอดิบพอดีกับ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์.

~ เป็นเหตุให้ ท้าวโกสีย์สักกเทวราช ทรงมีความแปลกพระทัยว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดานี้มีพระพุทธปาฏิหาริย์เป็นเลิศ ประเสริฐกว่าบุคคลผู้ใด แต่ก็มิได้กล่าวอะไรเพราะว่าเห็นเป็นของอัศจรรย์.

.. ในขณะที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จประทับอยู่ที่นั้น  พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกากล่าวกับ ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์ว่า :-

"เทวราชะ ! ดูก่อนเทวดาผู้ประเสริฐ การมาของตถาคตในคราวนี้  มีความต้องการจะแสดง ความกตัญญูกตเวที  สนองคุณความดีของพระมารดา  ที่ให้ชีวิตมา. 

  ฉะนั้นขอเชิญ ท้าวโกสีย์สักกเทวราช โปรดกรุณาไปตามพระพุทธมารดา จากสวรรค์ชั้นดุสิตมาด้วย  ช่วยให้มารับ ความกตัญญูกตเวที"

.. ครั้น ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์  ได้รับพระพุทธบัญชาแล้ว  ก็เสด็จไปชั้นดุสิตเทวโลก เชิญพระพุทธมารดาเสด็จเข้ามา.

~ เมื่อพระพุทธมารดาเสด็จมาแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  จึงได้มีพระพุทธฎีกากล่าวว่า:-

"อามะ ! ข้าแต่แม่เจ้าผู้เจริญ บัดนี้ตถาคตมีความประสงค์จะใช้หนี้ข้าวก้อน และนํ้านมที่ให้ชีวิตมา  ขอพระมารดาจงตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนา"

.. ในตอนนั้น  และขณะที่จะแสดงพระสัทธรรมเทศนา องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมาดำริว่า : ไตรปิฎกทั้ง ๓ ประการ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก..

~ คำว่า “ปิฎก” ก็คือ หมวดคำสอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน  แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท.

~ สมเด็จพระทรงสวัสดิ์  มาพิจารณาว่า ถ้าเราจะแสดง พระวินัยปิฎก ก็ดี พระสุตตันตปิฎก ก็ดี คุณธรรมทั้ง ๒ ประการนี้ไม่คู่ควรกับคุณของมารดา.

.. แต่องค์สมเด็จพระบรมศาสดา  ก็ทรงพิจารณาว่า สำหรับ พระอภิธรรมปิฎก  ซึ่งเป็นธรรมะสูงสุดนี่เป็นการคู่ควรอย่างยิ่ง  และต่อจากนั้นไปองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ทรงแสดง พระอภิธรรมปิฎก.

.. สำหรับ พระอภิธรรมปิฎก นี้ เขาบรรยายกันไว้มากมาย  แต่เนื้อแท้จริง ๆ มีเนื้อความจริง ๆ โดยย่อเป็น มาติกา อยู่ ๓ ประการเท่านั้น ได้แก่ :-

~ กุสลา ธัมมา

~ อกุสลา ธัมมา

~ อัพยากตา ธัมมา

* กุสลา ธัมมา ได้แก่ : ธรรมที่เป็นกุศล  ที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ทำแล้วในวันนี้  เป็นการบูชาพระรัตนตรัยก็ดี  ถวายทานแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ก็ดี  สมาทานศีลก็ดี  สดับรับรสพุทธพจน์เทศนา  เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี  อย่างนี้องค์สมเด็จพระพระชินสีห์ตรัสว่า : เป็น กุสลา ธัมมา คือ สร้างธรรมที่เป็นกุศล.

* สำหรับ  อกุสลา ธัมมา  นั้น  องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาทรงหมายว่า : ธรรมที่เป็นอกุศล คือความชั่ว ทำตัวให้ตกอยู่ในอำนาจของอกุศลกรรม  มีการไม่เคารพในศีล ๕ เป็นต้น.

* สำหรับ  อัพยากตา ธัมมา  นั้น  เป็นธรรมที่เป็นมหากุศล  คือทำใจของตนให้เป็น  อัพยากฤต  ตั้งจิตเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์

.. คือมีอารมณ์คิดเห็นว่า : กามฉันทะ คือนิวรณ์ ๕ ได้แก่ กามฉันทะ  มี.. รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อันจะเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี เป็นวัตถุธาตุก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็น “อนิจจัง”  หาความเที่ยงมิได้.

~ และก็ ถ้าจิตใจของเราไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันจะทรงอยู่ตลอดกาล ตลอดสมัย เมื่อมันเคลื่อนไปใจก็เป็นทุกข์ หาความสุขมิได้.

* ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  จึงให้ปลดใจเรื่องนี้เสีย  คิดเห็นว่า เป็นของธรรมดา ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ที่เกิดมานี้  ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน 

~ แม้แต่ร่างกายของเราเองก็เป็นสำคัญ มีความเกิดขึ้นมาแล้ว  ก็มีความแก่เป็นธรรมดา  ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้  ทำใจให้มีความรู้สึกอย่างนี้ เป็นปกติ. 

~ เมื่อความแก่เข้ามาถึง อารมณ์ใจของเราก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะจิตมันมีความรู้สึกอยู่แล้ว ว่า มันจะต้องเป็นอย่างนี้.

* ข้อที่ ๒ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาตรัสว่า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วทรงชีวิตอยู่  สมเด็จพระบรมครูก็กล่าวว่า ร่างกายเป็น โรคนิทธัง  มันเป็นรังของโรค.

~ เราจะมีความป่วยไข้ไม่สบายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้  ทำใจรับสถานการณ์ไว้เป็นปกติ  ในเมื่อความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น  ความทุกข์ใจมันก็ไม่มี.

~ ถือว่าอาการอย่างนี้ เป็นปกติธรรมดาของคน และสัตว์ ที่เกิดมา จะต้องรับเสมอไป  ในเมื่อจิตใจยอมรับแล้วมันก็มีความสุข.

* ในที่สุดทรงกล่าวว่า : เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วป่วยแล้ว ก็มีความตายเป็นธรรมดา  ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้  คิดเสมอไว้ว่าเราจะต้องตาย เมื่อความตายจะเข้ามาถึง  จิตใจก็ไม่กระสับกระส่าย  ใจเป็นสุขเพราะถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา.

* ประการที่ ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตามปกติเป็นธรรมดา. 

~ นี่หมายความว่า  เราจะตายหรือเรายังไม่ตายก็ตามที คนที่เรารัก สัตว์ที่เรารัก วัตถุธาตุที่เรารัก  ในเมื่อมันมีสภาพเป็น อนิจจัง และก็มีสภาพเป็น อนัตตา   คือไม่เที่ยง แล้วก็สลายตัวไป 

~ อาการอย่างนี้ปรากฏขึ้นมาเมื่อไร เราทราบอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว กล่าวว่า ให้ยอมรับนับถือในเรื่องนี้  จิตใจของเราก็เป็นสุข เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวต่อไปว่า :-

  "เรามีกรรมเป็นของตน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเรากลัวความทุกข์เราก็ทำแต่ความดี"

* สำหรับในเรื่องของ พระอภิธรรม นี้  องค์สมเด็จพระชินสีห์ ตรัสหัวข้อไว้ ๔ ประการ คือ : จิต เจตสิก รูป นิพพาน 

~ หมายความว่า : องค์สมเด็จพระพิชิตมาร บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงแนะนำให้บรรดาท่านพุทธบริษัท  รักษากำลังใจเป็นสำคัญ. 

~ ถ้าใจของเรานี้นั้น  ไม่หมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์  และใจของเราไม่หมกมุ่นอยู่ในความโลภ  ละโมบอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น  ที่เขาไม่ให้มาเป็นของตน อารมณ์จิตน้อมไปด้วยกุศล  กล่าวคือมีความเมตตาปรานีแทน โทสะ ที่มันเข้ามาสิงใจ.

* และประการสุดท้าย  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า :-

 "เรามีอุเบกขารมณ์  หมายความว่า : มีอาการวางเฉยทุกอย่างในสภาวะของโลก"   

~ ร่างกายมันจะแก่ก็เชิญแก่  ร่างกายมันจะป่วยก็เชิญป่วย  ร่างกายมันจะตายก็เชิญตาย   สิ่งที่เรารักเราชอบใจ  มันจะพลัดพรากจากไป  แต่จิตใจของเราก็ปกติ.

* อย่างนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีกล่าวว่า : บุคคลผู้นั้นทำใจได้อย่างนี้ ย่อมเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน.

~ อันนี้เป็นใจความที่องค์สมเด็จพระพิชิตมาร บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงเทศน์โปรดพระพุทธมารดา.

.. สวัสดี..."

( ที่มา : เพจ.. มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร..เทศน์วันพระ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีระกา )

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...