การทำสมาธิภาวนานั้น บางที ทำยังไงมันก็แข็งๆ
อยู่อย่างนั้น ทำสมาธิไม่ลง ทำยังไงก็ไม่ลง ทำไปๆ มันไม่สงบ
บอกมันว่า เจ้าเป็นผีนรกวิ่งขึ้นจากอเวจี จึงแข็งกระด้างเพราะไฟเผา ไล่ให้มันลงไปจมอเวจีอีก อย่าให้มันขึ้นมาอีก ให้อเวจี
เผาต้มมันอีก ด่าอีก แล้วก็ลงนอน
พอเช้ามาก็ไปถ่ายโถนล้างกระโถน ปฏิบัติท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์ลุกขึ้นมาว่า
“ท่านขาว คนเป็นประเสริฐอยู่ มาด่าตนเฮ็ดหยัง ให้ลงนรกอเวจียังไงนี่ ประจานตนนี่ ท่านประกอบกิจอยู่อย่างนี้แล้ว หนักเข้าละฆ่าตัวตายหนา ครั้นฆ่าคนตายแล้วนับชาติไม่ได้หนา ที่ฆ่ากันอยู่นี่ ไม่มีพ้นทุกข์แล้ว
ความที่โกรธนี่ หนักเข้าๆ ก็เลยฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายแล้ว
ก็ห้าร้อยชาติไปเที่ยวเอาภพเอาชาติ ทำเวรผูกเวรกัน ฆ่าตัวตายอย่างนั้นแหละ อย่าไปทำอีกเทียว ตนบริสุทธิ์ อย่าไปท้าตนอย่าง
นั้นอย่างนี้” ท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ใครนึกอย่างใด ทำอย่างใด ท่านรู้ม๊ด ท่านก็อยู่กุฏิโน่นแน่ะ แต่มันก็ยังโกรธอยู่นั่นแหละ ขึ้นอยู่บนดอยของพวกมูเซอร์ มันก็มีแต่เสือใหญ่ๆ ลายพาดกลอน
เดินอยู่กลางคืน ให้เสือมันมากินมึงเสีย มึงเป็นหยัง มึงหยาบแท้ มึงแข็งแท้ เดินจงกรมแล้วก็นั่งสมาธิ นั่งจิตมันก็ไม่ลง ก็เลยนอน หลับไป ปรากฏว่ามารดามานั่งอยู่ นั่งข้างๆ มูเซอร์มันมาจากไร่มัน มีผักหลาย มันจะเอาผักไปบ้านมัน “ไม่ยาก ไม่ยากดอก เอาของอ่อนให้กินเน้อ อย่าไปให้กินของแข็ง ถ้ากิจของแข็งแล้ว ไม่เป็น ครั้นกินของอ่อนละเป็น”
แม่ก็เลยว่าไม่เข้าใจของอ่อนของแข็ง แม่ก็เอิ้นถามอีกว่า “
ของอ่อนนี้มันอะไรหนอ” มันว่า “เอาสาหร่ายซิ มาให้กิน” ก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิ เริ่มต้นพิจารณา พิจารณาของแข็งก่อน อะไรหนอ มันว่าของแข็ง มูเซอร์มันว่า อะไรเป็นของแข็ง พิจารณาไปๆ มาๆ “ความขี้โกรธ” อันนั้นแหละของแข็ง อ่อนล่ะ มันว่าให้เอาของอ่อน มากินก่อน อ่อนอะไร พิจารณาไปๆ มาๆ “เมตตา” ได้ความแล้ว
เมตตา ตั้งแต่นั้นมาก็แผ่เมตตาไปทั่วทิศานุทิศ แผ่ไปม๊ด
สัตว์ทั้งหลาย แผ่เมตตาไป ความโกรธนั้นอ่อนลงๆ ความโกรธ ไม่ค่อยทำ จิตไม่แข็งแล้ว จิตอ่อนแล้ว
จิตอ่อนมันควรแก่การงานทั้งนั้นแหละ จะทำอะไรมันก็ควรแก่
การงาน จะพิจารณาอะไรมันก็เหมาะ จิตอ่อนหมายความว่า
จิตเบา จิตว่าง เราภาวนานี่ก็อบรมจิตนี่แหละ ต้องการให้จิตอยู่ ครั้นจิตอยู่แล้ว มันจึงจะเกิดแสงสว่างขึ้น จิตเดิมมันเป็นของสว่าง เป็นของเลื่อมประภัสสร แต่อาศัยอาคันตุกะกิเลส มันจรเข้ามาปกคลุม รัดรึงให้ขุ่นมัว เร่าร้อน อาคันตุกะกิเลสก็ไม่อื่นไม่ไกล ดอก มันไม่พ้นนิวรณ์ธรรมทั้งห้า กามฉันทะ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุทัจจะ กุกุจจะ วิจิกิจฉา นี่หละ เมื่ออารมณ์เหล่านี้ไม่เข้าครอบงำแล้ว จิตนี้มันก็อ่อน จิตสว่างไสว ควรแก่การงาน
การงานที่พิจารณา มันเป็นแสงสว่างขึ้น นิวรณ์นี้มันมาปกคลุมหุ้มห่อให้จิตเศร้าหมองขุ่นมัว มืดดำให้จิตร้อนเป็นไฟขึ้น
(มีผู้ถามถึงการแก้ความง่วง)
เมื่อถีนมิทธะ ความง่วงเข้าครอบงำ ให้มองดูดวงดาว มองขึ้นไปดูอากาศ หรือถ้าไม่ยังงั้นก็ให้นึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ หรือคุณความดีของเราอย่างหนึ่งที่เราได้บำเพ็ญมาเมื่อระลึกแล้วมันมีความดีใจที่ได้ทำมามันก็จะหายง่วงเหงาหาวนอน ให้แผ่เมตตาเรื่อย ๆ มันเป็นที่จิตเรานั่นแหละ เป็นเพราะอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มายุยงให้จิตผูกจิต เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้ชำระอินทรีย์ทั้งหลายไม่ให้ยินดียินร้ายในสัมผัสทั้งหลาย ทำจิตให้เป็นกลางต่ออารมณ์
หลวงปู่ขาว อนาลโย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น