การพูดมากก็ดีในวาจา..นี่ก็เรียกเป็นการส่งจิตออกไปมาก ก็จะเสียกำลังมาก เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติธรรมก็ดี สิ่งที่เราพูดออกไปส่งออกไปนั้นแล..มันจะกลับมาหาเรา ให้เป็นตัวเวทนาในความคิดในความรู้สึก ว่าสิ่งที่เราพูดไปมันเป็นอย่างไร แล้วก็จะไปสนใจในกิริยาของคนอื่น ในคำพูดที่เค้าพูดกลับมาส่อเสียด กลายเป็นจิตที่เป็นโทสะเกิดขึ้น เรียกว่าโทสะจริต
ดังนั้นเราต้องทำยังไง ให้รู้จักรู้รู้ รู้จักอธิษฐานคือแผ่เมตตา สำรวมกาย วาจา ใจ ตั้งใจเสียใหม่..ว่าวันนี้เรานั้นจะสำรวมอินทรีย์ สำรวมในศีล ในสมาธิ เพื่อให้เข้าถึงตัวปัญญา เข้าถึงจิต ให้เข้าถึงพรหมจรรย์แห่งความบริสุทธิ์ เรารักษาอย่างนี้คือรักษาใจให้เรานั้นไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
ทำอย่างนี้ได้ เมื่อมันจะโกรธ มันจะโลภ มันจะหลงขึ้นมา ก็ให้มีภาวนา ภาวนาเมื่อเราไปภาวนากำหนดรู้แล้ว อารมณ์เหล่านั้นมันจะค่อยๆจางหายและดับลงไป เมื่อเราเห็นอารมณ์นั้นอยู่บ่อยๆ เห็นอยู่บ่อยๆเราก็จะเท่าทัน..มีกำลังเท่าทัน เมื่อเราเท่าทันก็เหมือนเราอยู่ที่สูงย่อมเห็นที่ต่ำได้
ไอ้ที่ต่ำนั้นคืออวิชชา เราก็จะรู้ว่าจิตที่เราต่ำตมอยู่มันมีความเสื่อมอย่างไร มันเป็นเพราะอะไร เราก็จะแก้ไขในการเพ่งโทษของตัวเราเอง ไม่ต้องไปเพ่งโทษใคร เราไม่สามารถไปเปลี่ยนใครได้ เพราะมนุษย์ก็มีกรรมเป็นของตัวเอง แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนได้คือตัวของเราเอง พิจารณาเพ่งโทษอย่างนี้อยู่บ่อยๆแล้ว..วาสนามันก็จะเปลี่ยน ดวงมันก็เปลี่ยน การประพฤติปฏิบัติมันก็จะก้าวหน้า
อย่างที่ฉันบอก โยมฝึกจิตไป เมื่อเราอยู่ท่ามกลางความทุกข์..เราจะสามารถพ้นทุกข์ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ การมาปฏิบัตินี้เพื่อให้รู้ทุกข์เห็นทุกข์..แล้วละที่จะออกจากทุกข์ ก็คือกายมันเป็นทุกข์เราต้องละกายให้มาก สิ่งที่เราเป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะเราไปยึดกาย ยึดมาเนิ่นนานหลายภพหลายชาติ..เป็นเอนกอนันต์
คำว่า"เอนก"นี้จึงว่านับชาติไม่ได้ มันนับไม่ได้ เมื่อมันนับไม่ได้แล้ว..ที่มันนับได้คืออะไร นี่ไงจ๊ะ..ในปัจจุบันของจิตเค้าเรียกว่านับใหม่ สิ่งที่ผ่านมาล่วงมาแล้วให้วางเฉยเสีย ให้ตัดออกไป สิ่งที่เราจะเริ่มใหม่ได้คือในอารมณ์ในปัจจุบันนี้ของจิต ดังนั้นแล้วก็ทำตรงนี้ให้มากๆ คือฟื้นฟูจิตขึ้นมาใหม่
เมื่อฟื้นฟูจิตสติมันตั้งมั่นมากๆเข้านั่นแล เราจะระลึกได้ว่ากรรมชั่วทั้งหลายที่เราทำมาผ่านมา..มันเป็นเพราะอะไร เพราะเรานั้นยังไปข้องไปพอใจอยู่ เมื่อไปพอใจไปข้องอยู่อย่างนี้ ภพชาติมันก็ต้องเสวยอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นเราต้องมาเพียรละอารมณ์แห่งความพอใจแห่งความยินดี นั่นก็คือการละความเพลินความสุข
เมื่อว่าขณะนี้เรามาเจริญความเพียรเราต้องละอะไร ละความสุขที่เราควรไปหลับไปนอน อย่างนี้เค้าเรียกเป็นการอุทิศกายสังขาร อธิษฐานจิตต่อพระรัตนตรัย เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่อบิดามารดาพระอรหันต์ของเรา ถ้าทำได้อย่างนี้แลบุคคลผู้นั้นจะมีแต่ความเจริญ หาความเสื่อมไม่มี..
นั้นฉันก็ขอโมทนาสาธุที่โยมได้อุทิศกายสังขารอุทิศตน เพื่อมาเจริญศีล สมาธิ ภาวนานี้ ให้เข้าถึงตัวปัญญา การให้เข้าถึงตัวปัญญาคือตัววิมุติ คำว่าตัววิมุติคือตัวที่หลุดพ้น ที่จิตนั้นเป็นอิสระจากบ่วงมารใดๆแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่หลุดต้องทำอย่างไร เราก็ต้องรู้จักอารมณ์ของมาร
พอเรามีโอกาส..เมื่อมารมันหลับมันหยุดแล้วมันสงบแล้ว ให้เรายกจิตขึ้นมาเพ่งโทษในกาย อารมณ์ที่จิตมันสงบนั้นเค้าเรียกว่ามารมันนอนหลับ โยมรู้มั้ยจ๊ะว่ามารมันหลับตอนไหน กิเลสมันหลับตอนไหน เมื่อเรามีความอยากจิตเรานั้นจะดิ้นรนดิ้นพล่าน กระเสือกกระสน
เพราะเรานั้นกายสังขาร..เช่นความหิวเป็นโรคอย่างหนึ่ง ใช่มั้ยจ๊ะ พอเราบริโภครู้สึกอิ่มแล้วรู้สึกสบายมั้ยจ๊ะ สุขก็เกิดขึ้น คนหิวหลับลงได้ยาก คนมีความคิดมีความทุกข์ก็หลับลงได้ยาก เมื่อมันรู้สึกอิ่มแล้ว มันมีความสุขแล้ว มันก็เสวยสุขคือการหลับนอนพักผ่อนได้..
ดังนั้นเมื่อตอนนี้เราไม่หลับไม่นอน แต่เราทำยังไงให้เหมือนได้พักได้ผ่อน ก็คือการภาวนาจิต ให้จิตมันสงบ คือการทรงฌาน การทรงฌานก็คือการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง เป็นการยืดอายุ..อายุขัย การเพิ่มพูนความแข็งแรงของกายสังขารที่มันเสื่อม เป็นเพราะยังไง..
เพราะการที่เรามาเจริญภาวนาจิตเจริญสมาธินี้ โยมใช้กำลังมากมั้ยจ๊ะ..แทบไม่ได้ใช้กำลังอะไรเลย นั่งเฉยๆนี่ใช้กำลังมากมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่มากครับ) คนที่ใช้ความคิดสิจ๊ะ..ใช้กำลังมาก คนที่แบกหามใช้กำลังมาก คนที่มีความโกรธอยู่ใช้กำลังมาก คนที่มีจิตริษยาอยู่ใช้กำลังมาก คนที่ยังหลงอยู่ใช้กำลังมาก
คนที่ไม่ใช้กำลังเป็นอย่างไร หรือใช้กำลังน้อย คนที่หยุดคิดนี้เรียกว่าแทบไม่ใช้อะไรเลย ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะคนที่คิดอยู่เท่ากับว่าแบกโลกอยู่ เพราะนี่เรียกตัวยึด จึงทำให้กายเสื่อม จิตเสื่อม คุณธรรมเสื่อม ศีลเสื่อม ฌานเสื่อม ญาณเสื่อม นั้นการที่เรามาภาวนาจิตนี้จึงเรียกว่าใช้กำลังน้อย..แต่ต้องมีศรัทธาให้มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าศรัทธาโยมน้อยมันก็เข้าถึงได้ยากในความเพียร นั้นการที่โยมนั้นเอาสติเอาความเพียรมาประคองธาตุขันธ์ของกายนี้ เพื่อจะให้ข้ามขันธมาร ก็คือตัวมารภายในคือขันธมาร เพราะว่ากายนี้มันคอยจะหลับจะนอนอย่างเดียว มันติดอยู่ในสุข พอถึงเวลามันก็อยากจะหลับอยากจะอะไร แต่ถ้ามันหลับก็ให้มันหลับไป..แต่จิตต้องมีภาวนา นี่เค้าเรียกว่าจิตและกายแยกกันแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แม้จิตนั้นแม้กายนั้นมันจะผ่อน ก็ให้ผ่อนกายสังขารลงไป แต่จิตกำหนดรู้ในอานาปานสติและก็กำหนดภาวนาจิต..ว่าพุทโธ พุท..เข้า โธ..ออก พุทธัง สรณัง คัจฉามิ อยู่ที่ระหว่างกลางหน้าผาก กับเหนือสะดือศูนย์กลางกาย และที่ลมนั้นกระทบเข้ากระทบออกที่ปลายจมูก นี่เค้าเรียกว่าจิตและกายเป็นคนละส่วนกัน
เมื่อจิตเราภาวนาไปมากๆแล้ว ภาวนาไปมากๆเค้าเรียกว่าอินทรีย์ คือการสำรวมกาย วาจา ใจมันตั้งมั่น ก็เกิดศีล เมื่อศีลมันมารวมตัวกัน มันก็ประสานกายขึ้นมาใหม่ เพราะผู้ใดมีศีลผู้นั้นจะนั่งอย่างสง่าผ่าเผย ผู้ใดไม่มีศีลตัวจะเริ่มอ่อน ศีลนั้นจึงสำคัญนัก ศีลนั้นจะประคับประคองโรค ประคับประคองธาตุขันธ์ให้เรา แม้เราจะมีวัยที่มากก็ดี แต่ศีลนั้นจะช่วยให้เรานั้นมีกำลังเหมือนวัยหนุ่มสาวได้ ไอ้คนที่มีแต่ความอ่อนล้าอ่อนแรง..เป็นเพราะพวกนี้ขาดศรัทธา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น