สมเด็จพระพุทธกัสสป ทรงตรัสว่า "เมื่อวานนี้คุณบันทึกเสียง บอกถึงความดีของบรรดาลูกศิษย์ ลูกหลานทั้งหลายที่เขาทำกันว่า แต่ละคนมีวิมาน นี่คุณยังพูดไม่ครบถ้วนนะ วันพรุ่งนี้คือวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๕ คุณต้องย้อนพูดใหม่นะ เวลาจะพูดอะไร พูดให้ครบซี ทำอะไรนี่ก็ทำให้มันพอดีๆ อย่าให้มันขาดตกบกพร่อง คุณไม่ต้องไปเกรงใคร ในเมื่อเราพูดตามความเป็นจริง
🙏🙏ก็กราบทูลถามว่า"ข้าพระเจ้า พูดบกพร่องตรงไหนพระพุทธเจ้าข้า"
✨ท่านก็บอกว่า "ตอนที่คุณบอกว่าทุกคนเขามีวิมานน่ะ แต่คุณไม่ได้บอกนี่ว่าวิมานน่ะ มันเป็นวิมานประเภทไหน คุณต้องบอกเขา วิมานบนสวรรค์มันมีอยู่หลายขนาด คือ"
🚩๑..วิมานเงิน
🚩๒..วิมานทอง
🚩๓..วิมานแก้ว แก้วอย่างเดียวนะ เป็นแก้วๆ
🚩๔..วิมานแก้ว ๓ ประการ
🚩๕..วิมานแก้ว ๕ ประการ
🚩๖..วิมานแก้ว ๗ ประการ
🚩๗..วิมานแก้ว ๙ ประการ
"นี่บุญญาธิการของเทวดาแต่ละคนย่อมไม่เสมอกัน วิมานไม่เท่ากัน มีวิมานเหมือนกัน แต่ทว่าความสดสวยของวิมานไม่เหมือนกัน แล้วคุณทำไมไม่บอกเขาล่ะว่า ทุกคนน่ะที่เป็นลูกหลานของคุณที่เป็นบริษัทของคุณน่ะ เขามีวิมานขนาดไหน คุณต้องบอกเขาซิ"
"ทุกคนที่เป็นบริษัทของคุณน่ะ เขามีวิมานชั้นแก้ว ๗ ประการ ด้วยกันทุกคนแล้วเป็นอย่างต่ำ ถึงแม้ว่าใครเขาจะทำบุญมากก็ตาม ใครเขาจะทำบุญน้อยก็ตาม แต่ว่าที่ทำ ทำไปด้วยศรัทธาแท้ ไม่ใช่จำใจทำนะ คำว่า บริษัทของคุณน่ะ หมายความว่า ที่เขามีความเลื่อมใสในคุณจริงๆมีความเลื่อมใสในการที่คุณนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาบอกเขา แล้วก็แนะนำเขาให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วเขามีความเลื่อมใสจริงๆ อย่างนี้เราเรียกกันว่า บริษัท แต่หากว่าประเภทที่จำใจทำ เขายังไม่เรียกกันว่า บริษัท ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก แต่ว่าเขาให้มาเขาก็พอได้ ชนิดวิมานเงินวิมานทองก็พอมีอยู่ แต่ถ้าบริษัทแท้ๆ ที่มีความมั่นใจในคุณจริงๆ เขามีวิมานแก้ว ๗ ประการ ๙
ประการ
ทีนี้ก็มาว่ากันถึงความผ่องใสของวิมาน ความผ่องใสของวิมานย่อมแตกต่างกัน ด้วยอำนาจบุญบารมี คือ กำลังของใจ แต่ก็ควรจะบอกเขาว่า วิมานแต่ละวิมาน ก็มีความสวยสด ความน่ารื่นรมย์ทั้งนั้น เขตวิมานแต่ละวิมาน บริเวณกว้างขวางไพศาล มีที่อยู่เป็นสุขสบาย มีความเลื่อมสวยสะอาดวิจิตรตระการตา นี่ก็เรียกว่า ความงามของแต่ละวิมานน่ะ พรรณากันไม่ถูก นี่ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะ ฉันไปเห็นมาแล้ว ก็เห็นตามนั้น แต่ฉันไม่ได้บอก
🙏🙏จึงกราบลงไป แล้วทูลถามสมเด็จบรมครูว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่พระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัย ที่องค์พระจอมไตรทรงชี้แจงให้ข้าพระพุทธเจ้าทราบว่า
"ลูกหลานของพระพุทธเจ้า เป็นคนมีวิมาน ๗ ประการก็ดี วิมานอยู่พรหมก็ดี วิมานอยู่นิพพานก็ตาม แต่ คนทั้งหลายเหล่านี้ ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าทุกคน แต่ใครจะเป็นบ้างนั้น ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ"
"สมมติว่าถ้าเขายังไม่เป็นพระอริยเจ้ากันทุกคน คนทุกคนย่อมมีความผิด ย่อมตกอยู่ในความชั่ว เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องบีบบังคับ ถ้าบังเอิญว่าเขามีจิตชั่ว เขามีวาจาชั่วในบางขณะ แล้วตอนกลางวันเขาชั่ว ตอนกลางคืนเขาชั่ว แล้วอย่างนี้เขาไม่ไปตกนรกก่อนหรือพระพุทธเจ้าข้า"
🙏🙏#เมื่อกราบทูลถามท่าน ท่านก็แย้มพระโอษฐ์ ตรัสว่า"สัมพเกษี วิธีป้องกันนะ การยึดเหนี่ยวสถานที่ หรือ บุญกุศลที่ได้แล้ว มันเป็นของไม่ยาก พวกเธอจะเรียนกันมากไปนะ เวลาที่เธอเทศน์เธอก็เทศน์มากไป สอนชาวบ้านก็สอนมากไป แต่การสอนมากก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของคน ก็เป็นของธรรมดานะ สัมพเกษีนะ แม้แต่ตถาคตเองก็เหมือนกัน ต้องสอนถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทั้งนี้ก็เพราะว่า อัธยาศัยของคนไม่เหมือนกัน คนกลุ่มนี้พูดอย่างนี้รู้เรื่อง คนกลุ่มโน้นพูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง ต้องพูดกันใหม่ เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเข้าไว้นะ บอกว่าตถาคตบอกว่าอย่างนี้ ให้ลูกหลานของเธอทุกคนหรือบริษัทของเธอทุกคนเขาตั้งใจไว้อย่างฉันพูดนะ"
"การจะไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี เป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างที่นักปราชญ์ในโลก เขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากเขาถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ฉันเห็นว่านั่นไม่ถูก ถ้าตามคติของฉัน ฉันว่าไม่ถูก เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายนั้นดี และวิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ให้ง่ายที่สุดนั่นแหละดี เรียกว่าทำง่ายที่สุดและได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการสอนให้มันยากที่สุดแล้วให้ผลน้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดีไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน
"สัมพเกษี เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะว่า ให้ทุกคนรู้ตัวว่า มีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เมื่อเวลาเขาทำความชั่วมา ก็ช่างเถิด เวลาก่อนจะนอน ให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดี แล้วเอาใจนี่จับไว้ว่า นี่เรามีวิมานแก้ว ๗ ประการ ไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาจะตาย เราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วตั้งใจว่า เราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที
"พวกที่จะไปพรหมโลก ก็เป็นของไม่ยากนะ สัมพเกษี บอกเขานะว่า คนที่ต้องการไปพรหมโลกน่ะ คืนหนึ่งให้สร้างความดี ๑๐ นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว เอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าออกเท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วเป็นพรหมแน่"
" ทีีนี้คนไหนต้องการไปพระนิพพาน ก็เป็นของไม่ยาก สัมพเกษี ให้เขาคิดเห็นว่า โลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้ร่างกายของเราเองเราก็ไม่ชอบ ไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน
"แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพทรงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่าโลกนี้ทั้งโลกหาความดีไม่ได้
แล้วก็หันมาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตาย ยังจะพัง เรายังจะปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปนิพพาน
เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะ สัมพเกษีนะ ลูกหลานของเธอทุกคนจะพ้นนรกหมดพ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน
"นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ ลูกหลานที่รักทุกคน ได้ยินหรือยัง ถ้าได้ยินละก็จำไว้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้่ เป็นการสั่งสอนแบบง่ายๆ นี่เป็นความดีของพระ ของเทวดา ของพรหมท่านนะ
ที่มา
🖊️📖(คัดลอกบางส่วน)จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน หน้าที่ ๑๗๐~๑๗๕
🙏🙏พระธรรมคำสอนโดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี
🖊️พิมพ์พระธรรมโดย นภา อิน🙏🙏
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น