#ท่านบอกว่าต้องอาศัยเหตุ ๓ ประการ ว่าโดยย่อได้แก่ คือ#ศีล #สมาธิ #ปัญญา แต่ใน #อริยสัจ ๔ ท่านบอกว่าต้องอาศัย #มรรค ๘ #มรรค ๘ นี่ย่อลงได้ ๓ อย่างคือ #ศีล #สมาธิ #ปัญญา
คำว่า ศีล" แปลว่า ปกติ ทรงอารมณ์ให้สบาย ทำใจให้สงบ ได้แก่
ศีล ๕ เป็นภาคพื้นเบื้องต้น เป็นศีลของ
#พระโสดาบันและพระสกิทาคามี คือมี
ศีล ๕ นี่นะ
#รวมความว่า #ถ้าเราจะตัดความทุกข์ #ตัดความเกิด #แก่ #เจ็บ #ตาย
#ในวัฏสงสาร ก็ต้องอาศัย #ศีล #สมาธิ #ปัญญา ศีลอันดับต้น คือใช้ศีล ๕ เป็นภาคพื้น อย่าลืมว่า ศีล ๕ นี้เป็นศีลของ
#พระโสดาบันและพระสกิทาคามี
#สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีนี่ความสำคัญจริงๆอยู่ที่ศีล๕ #ถ้าใครทรงศีล ๕ #เป็นสมุจเฉทปหานแน่นอนได้เมื่อไร #ก็เป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีแน่นอน
#สำหรับอารมณ์ที่จะเลยไปนิดหนึ่งก็คือ #จิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ นี่เอง #อย่าลืมนะว่า #พระโสดาบัน
# มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง
# มีความเคารพในพระธรรมจริง
# มีความเคารพในพระอริยสงฆ์จริง มีศีล ๕ บริสุทธิ์จริง จิตใจต้องการอย่างเดียว ตายเมื่อไรขอไปนิพพานจุดเดียว อย่างนี้เขาเรียกว่าพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี
# สำหรับพระอนาคามี ฆราวาสรักษาศีล ๘ ถ้าบุคคลใดมีกำลังใจต้องการ
ศีล ๘ เป็นปกติ โดยไม่มีเกณฑ์บังคับหรือบีบคั้นกำลังใจของตนเอง รักษาศีล ๘ ได้แบบสบายๆ อารมณ์ใจก็เป็นสุข กายก็ไม่มีทุกข์ ท่านถือว่าบุคคลนั้น ก้าวเข้าเขตของพระอนาคามี เพราะศีล ๘ เป็นศีลของพระอนาคามี
# ถ้ากำลังใจเริ่มเข้าเขตพระอนาคามี ศีล ๕ จะไม่พอใจสำหรับท่านผู้นั้น จะพอใจเฉพาะศีล ๘ เท่านั้น และถ้าจิตใจก้าวเข้าสู่เขตของศีล ๘ ให้พึง
ทราบเลยทีเดียวว่า เวลานี้อนาคามีมรรคเริ่มเข้ามาถึงจิตเราแล้ว
แต่อย่าลืมว่า ถ้าทำไม่ดีก็ไม่ถึงผลเหมือนกัน แต่ก็ต้องถอยหลังมาดูกำลังใจตนเองว่าม การเคารพในพระพุทธเจ้าจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริง มีในเราไหม และศีล ๕ ของเราบกพร่องไหม เรามีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงไหม
# เมื่อความมั่นใจอย่างนี้มีอยู่ ก็มั่นใจว่าเราเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้นคือ
พระโสดาบัน และพระสกิทาคามี ถ้าเราพอใจเริ่มรักษาศีล ๘ เป็นปกติ มีความ
สุขเพราะศีล ๘ อย่างนี้เริ่มเป็นพระอนาคามีเบื้องต้น
# ต่อไปเมื่อเป็นมรรคแล้วก็ต้องทำให้เข้าถึงผล การจะทำให้เข้าไปถึงผล
เบื้องต้น ก็ต้องดูตัว "กามฉันทะ" การตัด"กามฉันทะ" ต้องอาศัยตัด"กายคตานุสสติ" กับ"อสุภกรรมฐาน" ควบคู่กันไปกับ"วิปัสสนาญาณ"
# สำหรับวิปัสสนาญาณนั้นไม่ต้องมีอะไร ใช้ตัวปลายตัวสุด คือ ตัด"อวิชชา"
ไปเลย คือมีความรู้สึกว่า การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี
ไม่มีสำหรับเรา เราไม่ต้องการ เราต้องการจุดเดียวคือ" พระนิพพาน" ก็ตัดตัวเดียว ตัวสุดท้ายคือ ตัด" อวิชชา"
แล้วต่อจากนั้นไปก็มานั่งคลำ "กายคตานุสสติกรรมฐาน" กับ "อสุภกรรมฐาน"
# ในเมื่อร่างกายของคนและสัตว์ เป็นดินแดนแห่งความสกปรก จนกระทั่ง
อารมณ์ในเพศไม่เกิดขึ้นกับใจ ถือว่าเราได้หนึ่งในพระอนาคามี พระอนาคามีนี้มี
๒ ข้อ
# แล้วต่อไปก็มาคลำใจด้านของ "พรหมวิหาร ๔" คือ "ตัวเมตตา" ความรัก
" กรุณา" ความสงสาร" มุทิตา" มีจิตใจอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร และ "อุเบกขา" วางเฉย เฉยในคำสาป คำแช่ง คำค่อนขอด คำค่อนแคะ คำด่า เป็นต้น
เขาด่ามาเราโกรธแต่ยับยั้งได้เร็ว ใกล้พระอนาคามีเข้าไปแล้ว เขาด่ามา
เราโกรธเหมือนกันแต่โกรธช้ากว่าปกติ ก็ใกล้มามากเข้าไป เขาด่ามากระทบใจ
เข้านิดหนึ่ง แล้วก็หล่นไป จวนจะถึงพระอนาคามีผล จนกระทั่งคำด่าของเขาชน
ต่อหน้าเราไม่มีความรู้สึกโกรธ อันนี้เป็น"พระอนาคามี" ผลแน่ ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท ยังอยู่ใน"พระโสดาบัน" ก็ดี "พระสกิทาคามี" ก็ดี ถ้าเราถึง"พระอนาคามี" นี้มีความหมายแน่นอน ไปนิพพานแน่..
ที่มา
🖊️📖หนังสือพ่อสอนลูก หน้าที่๒๖๐~๒๖๒
🙏🙏หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
🖊️นภา อิน 🙏🙏😊😊🌺🌺
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น